Wednesday, March 9, 2011

ก้าวเท้าออกไปเรียนวันแรก

เริ่มต้นเช้าวันจันทร์หลังจากพ่อตัวดีออกไปทำงานเรียบร้อยก่อน 7 โมงเช้า  ฉันก็ลุกขึ้นเก็บที่นอน เดินมาเก็บเศษซากอารยธรรมที่นังสามีแอบทิ้งไว้เกลื่อนตั้งแต่ห้องอาบน้ำ ห้องครัว จนถึงห้องนั่งเล่น  พอทุกอย่างเข้าที่ฉันก็เริ่มทำภารกิจของตัวเองบ้าง แต่วันนี้พิเศษหน่อยที่ต้องอาบน้ำแต่เช้า..หน้าหนาวแบบนี้จากคนรักสะอาดอาบน้ำวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น..กลายมาเป็นเหลือวันละครั้งพอ เลือกเอาว่าจะอาบตอนไหน..ฉันมีเรียนวันจันทร์ตอนเช้า 2 ชั่วโมง ทุกทีฉันจะแค่ล้างหน้าแปรงฟันแล้วออกไปเรียน พอกลับมาบ้านหลังหม่ำมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อย นั่งดูทีวีรอเวลาย่อยจนบ่ายคล้อยถึงจะได้ฤกษ์สะสางสังขารตัวเอง

แต่บ่ายนี้ฉันจะต้องไปเรียนภาษาอีกโรงเรียนหนึ่งเป็นครั้งแรก...คงไม่ดีแน่ถ้าจะเอาสังขารเน่าไปอวดโฉมให้คนอื่นดม จึงต้องกัดฟันอาบน้ำแต่เช้าแถมจะแช่น้ำอุ่นนานๆ ก็ไม่ได้ด้วย เวลาไม่อำนวย..เดินตัวหอมหน้านวลผ่อง ออกจากบ้านไปเรียน ทักทายกับ Marqaure อ่านว่า มาร์โก ผู้ดูแลคอร๋สสอนภาษาฝรั่งเศสพร้อมกับแจ้งเธอด้วยว่า พรุ่งนี้ตอนเช้า ฉันมาเรียนไม่ได้เพราะว่าโอฟี่ส่งฉันไปเรียนแล้ว เริ่มเรียนบ่ายวันจันทร์นี้ และอังคาร  พฤหัสบดีและศุกร์ตอนเช้า.. แต่บ่ายวันอังคารฉันก็จะมาเรียนที่นี่เหมือนเดิม..มาร์โกดีใจกับฉันด้วย แต่เธอบอกว่าที่โรงเรียนใหม่ฉันอาจจะเบื่อๆ เพราะว่าจะเริ่มสอนตั้งแต่ อา เบ เซ เด กันเลย ผิดกับที่นี่ที่เน้นสอนไวยากรณ์ แต่ก็ให้ไปเรียนเพื่อจะได้ไปฝึกพูด เจอคนอื่นจะได้พูดได้เร็วขึ้น แต่ยังไงก็ต้องมาเรียนกับเธอที่นี่ต่อนะ เพราะว่าฉันมีพัฒนาการเร็วมาก น่าเสียดายถ้าจะหยุดเรียนแล้วไปเริ่มใหม่ตั้งแต่พื้นฐานแบบนั้น..จากนั้นก็นั่งรอให้มาร์โกจัดสรรว่า วันนี้ครูแต่ละคนจะได้นักเรียนเป็นใครบ้าง เพราะว่าในแต่ละครั้งจะมีอาสาสมัครที่มาสอนมากน้อยไม่แน่นอน พอๆกับจำนวนนักเรียนที่ไม่แน่นอนเหมือนกัน

เรียนเสร็จตอน 11 โมง สองเท้าพาตัวเองกลับบ้านแต่วันนี้ได้เพื่อนเดินกลับบ้านเป็นหนุ่มจากไนจีเรียที่มาเรียนภาษาเหมือนกันเพียงแต่ว่าไม่เคยเรียนด้วยกันเท่านั้น พอรู้ว่าบ้านอยู่ละแวกเดียวกันก็เลยเดินคุยกันมาเรื่อยๆ แต่เอ๊ะ ทำไมเส้นทางแปลกๆ เขาหันมาบอกว่านี่คือ ทางลัด ..เขาสงสัยว่าฉันไม่รู้เหรอ..แล้วทุกทีมายังไง ฉันบอกว่าเดินขึ้นเนินมาเรื่อยๆกว่าจะถึงโรงเรียนก็ 20 นาที ..เขาส่งแววตาสมเพชมาให้ บอกว่าถ้าเดินทางนี้นะ 10 นาทีก็ถึงบ้านแล้ว...โอว แล้วทำไมฉันพึ่งจะมารู้ตอนนี้เนี่ย

ถึงบ้านจัดการหามื้อกลางวันให้ตัวเองเรียบร้อยด้วยข้าวไข่เจียวกินคู่กับน้ำพริกกะปิผักลวก  แปรงฟันดับกลิ่นไม่พึงประสงค์แล้วเตรียมของไปเรียนพร้อมเสบียงคู่กายคือน้ำเปล่าหนึ่งขวด  ดูตารางรถเมล์อีกครั้งก่อนออกจากบ้าน  ฉันต้องไปให้ถึงป้ายก่อน 13.05 ใช้เวลาเดินทาง 10 นาที ก็จะถึงโรงเรียนทันเข้าเรียนตอน 13.30 น.  มาแกร่วรอที่ป้ายรถเมล์ก่อนเวลา 10 นาทีเพราะกลัวพลาดเผื่อรถจะมาก่อน..ยืน รอ รอ รอ  ก็ยังไม่เห็นมาสักคัน หันออกไปมองป้ายอื่นๆ คนมายืนคอยแบบบางตา สงสัยออกไปเที่ยวกันหมด เพราะว่าช่วงนี้โรงเรียนปิด 15 วัน ให้ไปเล่นสกีบอกลาหิมะที่ใกล้จะละลายหมดแล้ว

ฉันยืนกระสับกระส่ายที่ป้ายอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง เลยเวลาเข้าเรียนมาเกือบสิบนาที ถึงจะเห็นรถเมล์สายที่ต้องขึ้นโผล่มา  ฉันโบกแขนส่งสัญญาณให้คนขับรู้ว่า จอดหน่อยจ้า..หนูจะขึ้น  สารถีวันนี้เป็นผู้หญิง ฉันก้าวขึ้นรถไป Bonjour Madame, Un aller-retour billet, sil vous plaît บงชูว์ มาดาม อา นาเล่ เครอทู บิลเย่ ซิลวูเปล  สวัสดีค่ะขอตั๋วไป-กลับใบหนึ่งคะ พร้อมส่งเงินให้ 1.90 ยูโร  เธอส่งตั๋วเล็กๆส่งกลับมาให้ ฉันรับมาแล้วเดินไปนั่ง..ระหว่างทางก็สำรวจทางและดูคนอื่นที่ทยอยมา พร้อมกังวลว่า ไปสายแบบนี้ต้องโดนครูด่าแน่เลย..

ถึงที่เรียนแล้ว ฉันเดินเข้าห้องเรียนที่ตอนนีัมีคนนั่งให้เต็มไปหมด..กล่าวสวัสดีกับคนที่น่าจะเป็นคุณครูแล้วส่งจดหมายเรียกตัวไปให้เธอดู เพราะไม่รู้ว่าจะบอกครูยังไงว่าฉันมาเรียนวันแรก..ครูรับไปอ่านจบก็บอกให้ไปนั่งที่กับนักเรียนคนอื่นๆอีก 12 คนที่นั่งอยู่ตามโต๊ะรูปตัวยู  ก่อนเริ่มเรียนมีเจ้าหน้าที่คนสวยมาบรรยายเรื่องการแยกขยะให้ฟัง ว่าถังขยะแต่ละสีใส่ขยะอะไรบ้าง ผ่านไปร่วมชั่วโมงครูก็จับแยกเป็นกลุ่มแล้วเดินเอาใบเซนต์ชื่อมาให้ฉันพร้อมทั้งส่งชีทมาให้หนึ่งแผ่นเป็นหัวข้อการแนะนำตัวเอง โดยให้เริ่มกรอกรายละเอียดของตัวเองลงไปก่อนแล้วจะให้แนะนำตัวเองตามชีท..อ่านตามนั่นแหละ แล้วจากนั้นจะให้จับคู่พลัดกันถาม-ตอบ ..กลุ่มที่ฉันอยู่มีอีก 4 สาว 2 คนมาจากตุรกี มาเซโดเนียและ โมรอคโค

ฉันใช้เวลาไม่นานก็กรอกเสร็จเพราะเคยทำแบบนี้มาหลายครั้ง แต่อีก 4 สาวที่เหลือดูเหมือนมันจะไม่ง่ายเลย เพราะว่าพวกเธอพูด อ่าน เขียน ไม่ได้เลย  ฉันเลยเอาชีทของฉันให้ดูพร้อมอธิบายให้ฟังว่าแต่ละข้อให้กรอกอะไร..สงสัยละสิว่าคุยภาษาอะไรกัน..แรกๆก็อังกฤษเพราะสาวมาเสโดเนียเธอพอฟังได้ แต่หลังๆครูดุว่าให้พูดฝรั่งเศส ห้ามพูดภาษาอื่น ฉันเลยต้องพูดฝรั่งเศสแบบงงๆ ปนกับภาษามือจนเข้าใจกัน เกือบสองชั่วโมงผ่านไปวันนี้ฉันได้แต่ถาม-ตอบ หัวข้อแนะนำตัวเองกับ 4 สาว  แอบมองกลุ่มอื่นมีเรียนเรื่องการไปซื้อของตั้งแต่เรื่องของคำศัพท์รวมถึงบทสนทนา  อีกกลุ่มเป็น สว. ที่กำลังหัดเขียนตัวอักษร ..ครูมีอยู่คนเดียวเพราะฉะนั้นก็จะไล่สอนไปทีละกลุ่ม

จนเกือบห้าโมงเย็นมีเพื่อนคนหนึ่งในห้องบอกครูว่า ต้องขอออกก่อนเพราะว่าตอนนี้อยู่ในช่วงวันหยุด รถเมล์วิ่งน้อยลง ถ้าขึ้นไม่ทันเที่ยวห้าโมงเย็น ต้องรอเป็นชั่วโมงกว่าเที่ยวถัดไปจะมา..ครูถามว่าใครต้องขึ้นรถเมล์บ้าง..เห็นยกมือกันทุกคน แม้แต่คนที่ขับรถมาเอง หรือประเภทมีสารถีมาคอยรับ-ส่งอยู่แล้ว..ฉันที่ยังงงๆกับตารางรถเมล์เลยหยิบสมุดตารางรถเดินไปถามเพื่อนๆ ถึงรู้ว่าทำไมฉันมาสาย เพราะว่าตารางรถเส้นทางหนึ่งจะแบ่งเป็นช่วงเวลาปกติ และวันเสาร์และช่วงเทศกาลอีกตารางหนึ่ง วันนี้ถึงไม่ใช่วันเสาร์แต่เป็นเทศกาลที่โรงเรียนหยุดเลยต้องไปดูอีกตารางหนึ่ง..แม่เจ้าพึ่งจะรู้

ดูตารางรถแล้วฉันพลาดเที่ยวก่อนหน้านี้ไปแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงคันใหม่ถึงจะมา..ฉันเลยไม่รีบร้อนออกจากห้องเรียนตามเพื่อนๆไป  เดินไปหาครูพร้อมเอาคำถามที่ฉันแอบสงสัยจากการเรียนภาษาเองกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไปถามครู..ครูอธิบายให้ฟังแล้วถามกลับมาว่า ถ้างั้นวันนี้ที่เรียนก็ง่ายเกินไปสำหรับฉันนะสิ..ฉันบอกว่าก็รู้หมดแล้ว แต่ได้ฝึกพูดก็ดี..เธอเลยให้ชีทที่เธอสอนอีกกลุ่มที่ยากขึ้นมาให้ฉันแล้วบอกว่า ลองเอาไปอ่านดู แล้วคราวหน้าเอาการบ้านมาส่งด้วย..

ได้เวลานั่งรถเมล์กลับบ้าน ขากลับไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรเหมือนตอนมา เลยมีเวลามองคนอื่นบ้าง  เห็นหลายคนที่ไม่มีตั๋วรายเดือนซื้อตั๋วเป็นเที่ยวเหมือนฉัน แต่พอเขาได้ตั๋วมาแล้ว ดันไปสอดเข้าเครื่องเล็กๆที่เสาด้านหลังเบาะคนขับด้วย..ดูอยู่หลายคนถึงได้รู้ว่าเขาเอาตั๋วไปประทับตราวันที่..กันพวกลับลอบเอาตั๋วเดิมๆมาวนใช้..เหรอ แต่หนูไม่ได้ทำอ่ะ อย่าว่าหนูเลยนะ ไม่รู้จริงๆ

กลับมาบ้านนั่งพักให้หายหนาว ก็ได้เวลาเตรียมมื้อเย็นกว่าจะเสร็จก็ก่อนสามีกลับมาบ้านไม่นาน..ไม่เหมือนตอนไม่ได้ไปเรียน ทอดไก่รอจากหนังกรอบเป็นหนังเหี่ยวเธอก็ยังไม่มา ..ระหว่างมื้อเย็นเราคุยกันเรื่องโรงเรียนใหม่ พอฉันบอกว่าวันนี้ไปสายเพราะว่าดูตารางรถผิดอัน ไม่ได้ดูในช่วงเทศกาล  พ่อตัวดีเลยเหวอแล้วรีบขอโทษว่า เออ ใช่ ลืมบอกฉันไปว่ามันเริ่มเทศกาลตั้งแต่วันเสาร์แล้ว..หึ สายไปแล้ว..ฉันตกรถไปเรียบร้อยแล้วยะ..ชิ

Tuesday, March 8, 2011

เตรียมตัวไปเรียนแบบเต็มขั้น

หลังจากไปทดสอบความรู้ภาษาฝรั่งเศสมาแล้ว ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์พ่อตัวดีก็ถือจดหมายฉบับหนึ่งมายื่นให้ตรงหน้า..เนื้อความเขียนไม่เยิ่นเย้อ เพราะคงรู้ว่าอารัมภบทเยอะจะอ่านแล้วปวดหัวกันมากกว่า..จับใจความได้ว่าวันจันทร์หน้าให้ไปเรียนได้แล้ว..

คอร์สเรียนภาษานี้ใช้เวลารวม 240 ชั่วโมง เรียนสัปดาห์ละ 16 ชั่วโมง โดยเรียนวันละ 4 ชั่วโมงยกเว้นวันพุธที่จะไม่มีเรียน..รวมกับคอร์สเรียนเดิมที่  Maison de quatier ฉันก็จะมีชั่วโมงเรียนอาทิตย์ละ 20 ชั่วโมง หายไป 2 ชั่วโมง เพราะว่าเวลาเรียนชนกัน เลยตัดเลือกเรียนที่ใดที่หนึ่ง..แน่ละ ฉันเลือกโรงเรียนจากโอฟี่ไว้ก่อนเพราะว่า ที่นี่ค่อนข้างจะมีกฎเข้มงวดเรื่องการเข้าเรียน คือ ห้ามมาสาย ห้ามขาดเรียนเกิน 3 ครั้ง หากป่วยต้องมีใบรับรองแพทย์มาแสดงด้วย ถ้าฝ่าฝืนคุณครูก็จะรายงานไปที่ โอฟี่ทันที เพราะว่า ถือว่าให้เรียนฟรีแล้วไม่ตั้งใจก็จะถูกหมายหัวไม่ให้การช่วยเหลือใดๆต่อไป

ทันทีที่อ่านจดหมายจบ ฉันรีบดัดเสียงอ่อนหวาน หน้าตาซื่อๆ หันไปถามพ่อตัวดีว่า พรุ่งนี้วันเสาร์ไม่ต้องไปทำงานใช่มั้ย..พ่อตัวดีพยักหน้ารับแต่แววตางงๆ เพราะร้อยวันพันปี นังเมียบ้าไม่เคยจะออดอ้อนแบบนี้ คราวนี้มันต้องขอให้ทำอะไรอีกแน่ๆ..ฉันเอียงคอแอ๊บแบ๊วว่า..พาไปซื้อตั๋วรถเมล์รายเดือนหน่อยนะ..เพราะสามีคงไม่มีเวลาไปส่งคุณเมียไปเรียนได้ทุกวันใช่มั้ย  ต้องรถเมล์ไปเอง ซื้อตั่วไปกลับเที่ยวละยูโร วันหนึ่งก็ 2 ยูโร อาทิตย์ละ 8 ยูโร..ซื้อตั๋วเดือนดีกว่า เดือนละ 24 ยูโร นั่งไปเลยไม่จำกัดจำนวนเที่ยว..พ่อตัวดีบอกว่า เสียดายที่ฉันแก่เกินไป ถ้าต่ำกว่า 25 ปีนะ..เดือนละ 6 ยูโรเอง..

หนอย..มานึกเสียดายเงินหรือเสียดายชะตากรรมตัวเองที่เลิอกเมียชรา..ต้องกราบกรานและเทิดทูนบูชาเมียนะคะ ..จะหาที่ไหนได้ เมียที่เสนอตัวนั่งรถเมล์ไปเรียนเองไม่ต้องเดือดร้อนสามี..ถือว่าวาสนาฉันน้อยแต่คุณชายวาสนาสูง เราถึงได้มาลงเอยกันได้..ไม่งั้นป่านนี้ฉันอาจได้ไปอยู่ในที่สูงกว่านี้ก็เป็นได้...คานนั่นเอง

จนเช้าช่วงสายของวันเสาร์ ฉันนั่งเล่นอินเตอร์เนทรอให้พ่อตัวดีตื่น  ในใจกะไว้ว่าสิบเอ็ดโมงจะเข้าไปเรียกเพราะว่าวันเสาร์เปิดขายตั๋วรายเดือนแค่ครึ่งวัน ปิดเที่ยง เพราฉะนั้นนอนเอาบ้านเอาเมืองจนถึงสิบเอ็ดโมงก็น่าจะเพียงพอ..นี่ขนาดว่าเห็นใจนะว่าตื่นแต่ไก่ยังไม่มีแรงโห่ออกไปทำงานทุกวัน กว่าจะกลับมาบ้านอีกทีไก่ก็หลับไปนานแล้ว เลยปล่อยให้พักผ่อนนอนใจไปเรื่อยๆ ก่อน  ส่วนฉันเตรียมเอกสารที่ต้องใช้ในการซื้อตั๋วเดือน คือ พาสปอร์ตและรูปถ่าย 1 ใบ

จนเกือบ 11 โมง สามีรู้งานก็ตื่นมาเองโดยไม่ต้องใช้กำลังข่มขู่..ส่งเสียงมาบอกว่า  ขอเวลา 10 นาทีแล้วออกไปซื้อตั๋วกัน..น่ารักมาก..จูงมือกันกระหนุงกระหนิงเดินไปไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงสำนักงานขายตั๋วรถเมล์..มีคนรอใช้บริการอยู่หนาตา ตอนแรกฉันคิดว่าช่วงสิ้นเดือนแบบนี้ คนอื่นก็คงมาซื้อตั๋วเดือนแบบฉันเหมือนกัน..แต่พอสนทนาระหว่างเข้าคิวก็ทราบว่า คนอื่นเขามาเปลี่ยนตั๋วรายเดือนแบบเดิมที่เป็นกระดาษธรรมดา มาเป็นการ์ดแข็งมีชิป หน้าตาคล้ายสมาร์ทการ์ดแบบบ้านเราที่ตอนนี้ยังต้องลุ้นกันใจหายใจคว่ำว่าจะได้ใช้กันก่อนสงกรานต์มั้ย เพราะได้ยินเสียงร่ำลือว่า บางคนถือบัตรเหลืองมาร่วมปีเพราะสมาร์ทการ์ดติดปัญหา

มาถึงคิวของเราแล้ว..พ่อตัวดีเอ่ยปากบอกพนักงานขายตั๋วไปว่า มาทำบัตรรายเดือนครับ เพราะภรรยาผมต้องไปเรียนเองทุกวัน..บอกซะละเอียด เพราะกะว่าพนักงานจะเมตตาถ้าเป็นนักเรียนแล้วจะลดค่าตั๋วให้..ฝันไปก่อนเถอะ..นักเรียนที่จะมีสิทธิ์ขอส่วนลดเหลือ 6 ยูโรต่อเดือน ต้องอายุไม่เกิน 25 ปียะ..แต่ถ้าไม่เรียนแล้ว 18 ขวบก็หมดสิทธิ์..เพราะฉะนั้นยัยนักเรียนแก่นี่ต้องจ่ายเต็มนะคะ..รับคำแบบจ๋อยๆ พร้อมส่งพาสปอร์ตและรูปส่งไปให้..ไม่เกิน 5 นาทีก็ได้บัตรมาครอบครองแลกกับ 24 ยูโรที่เสียไป..พนักงานบอกว่าเริ่มใช้บัตรได้วันที่ 1 ของแต่ละเดือน หมดอายุก็ตอนสิ้นเดือน อย่าลืมมาต่อบัตรด้วยหล่ะ..ฉันฟังแล้วแอบสะกิดพ่อตัวดีว่า วันจันทร์ที่หนูจะไปเรียนมันวันที่ 28 กพ. อยู่เลยอ่ะ ทำไงอ่ะ...สามีหันไปถามพนักงานก็ได้คำตอบว่า ไปซื้อตั๋วบนรถเมล์กับคนขับได้เลย..รถเมล์ที่นี่ไม่มีกระเป๋ารถเมล์คอยเก็บเงินแบบบ้านเรา

ก่อนกลับบ้าน ฉันขอให้คุณชายพาไปดูป้ายรถเมล์ที่ฉันต้องขึ้น  ...อย่าเพิ่งคิดว่าฉันเกิดอาการสมองตายหรือไง ไม่รู้จักป้ายรถเมล์ที่ออกจะคุ้นเคยสมัยอยู่เมืองไทย..ป้ายรถเมล์ที่นี่จะไม่รวมหลายๆสายแบบบ้านเรา จะแยกไปเลยเป็นป้ายของแต่ละสาย ขนาดสายเดียวกันแต่ขาไปกับขากลับยังแยกป้ายกันเลย ป้องกันคนขึ้นสับสน ที่ป้ายก็จะมีเขียนบอกไว้เลยว่าที่นี่สำหรับสายอะไร จากไหนไปไหนและมีตารางเวลาให้ดูด้วย..

เดินอุ่นใจกลับไปบ้าน หลังจากเตรียมบรรดาสมุด เครื่องเขียนและดิกชันนารีเรียบร้อยสำหรับการไปเรียนแล้ว (เก็บอาการเห่อไว้ไม่อยู่) ฉันก็สาละวนกับสมุดตารางรถที่ได้มาตอนไปซื้อตั๋ว เพื่อศึกษาเส้นทางว่าจะนั่งสายอะไรไปเรียนดี เพราะว่ามีให้เลือก 2 สาย..รู้สึกตื่นตัวหลังจากหมกตัวเป็นศพอืดๆ อยู่ในบ้านมานาน ..คราวนี้จะออกไปเผชิญหน้าชาวโลกบ้างแล้ว..หมายมั่นอยู่ลึกๆว่า ต่อไปนังสามีจะน้ำตาเช็ดหัวเข่า..เมียแก่อย่างฉันจะหนีเที่ยวบ้าง ..ทีหนูป้าไม่ว่า..ถึงคราวป้าหนูอย่ามาโวย หึๆ

Sunday, March 6, 2011

เริ่มมีหวังไปเรียนฟรีกับ OFII

3 วันผ่านไปหลังจากส่งจดหมายไปขอคอร์สเรียนภาษาฝรั่งเศสกับ OFII อีกครั้ง..ฉันก็ได้รับจดหมายตอบกลับมาว่า ..ได้รับทราบเรื่องแล้ว แต่ให้ส่งจดหมายอีกฉบับไปแจ้ง วันเดือนปีเกิดของฉัน และเลขที่แฟ้มเอกสารของโอฟี่ เพื่อที่จะได้สะดวกต่อการติดตามเรื่องให้อีกครั้ง...นั่งฟังสามีแปลให้ฟังด้วยอาการเซ็งจิตกับวิถึราชการแบบที่นี่..ท่านชอบจริงๆ เรื่องเอกสารเนี่ย จะหัวหกก้นขวิด หรือจะร้องแร่แห่กระเชิงอะไรก็ต้องส่งเป็นจดหมาย..แต่สามีอ่านแล้วโกรธไม่ยอมที่จะส่งจดหมายให้เสียเวลา โทรไปเลยดีกว่า...

ปลายสายรับแล้ว...ฟังภาษาบ้านเขาไป ชาวเราก็ได้แต่นั่งอึ้ง จนพ่อตัวดีวางสายลงอย่างหัวเสียแล้วหันมาเล่าให้ฟังว่า  โทรไปหาเจ้าหน้าที่ที่ส่งจดหมายกลับมา เพื่อที่จะแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติม..ปรากฎว่าเธอผู้นั้น ได้ลาพักร้อน อาทิตย์หน้าถึงจะกลับมาทำงานตามปกติ...เจ้าหน้าที่คนที่รับสายก็ดีใจหาย..บอกว่าจะช่วยดำเนินการให้ แต่ แต่ แต่ ให้ส่งจดหมายไปอีกครั้ง..เท่ากับเริ่มต้นใหม่นั่นเอง..เซ็งอย่างแรง

เราสองคนตัดสินใจที่จะรอดีกว่าจะดึงดันส่งจดหมายไปให้ซ้ำซ้อน เดี๋ยวพาลจะเกิดอาการหมั่นไส้จนไม่ได้เรียนอีก..แกล้งลืมๆเวลาออกไปเรื่อยๆ จนครบอาทิตย์ พ่อตัวดีก็โทรไปติดต่ออีกครั้ง..พักร้อนซินโดรมคงระบาดนิดหน่อย เธอคนนั้นเกิดอาการสมองตายชั่วขณะ พูดแต่ว่าไม่รู้เรื่องเลย ไม่เห็นมีเอกสาร..จนพ่อตัวดีอ่านข้อความในจดหมายที่เธอส่งมาให้ฟังเท่านั้นแหละ เธอถึงคืนสติกลับมาได้ทันใด..เธอบอกว่า  เธอจะทำการลงทะเบียนรอเรียนให้ฉัน แต่ยังให้คำตอบไม่ได้ว่าจะได้เรียนเมื่อไร เพราะมีคนรอเรียนอีกเยอะ..เอาเถอะ อย่างน้อยก็เห็นความก้าวหน้าอะไรมานิดนึง ได้สิทธิ์รอไปเรียนก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

ผ่านไปสองอาทิตย์ฉันก็ได้จดหมายเรียกให้ไปคุยรายละเอียดเรื่องเรืยนในอาทิตย์หน้า..แถมบอกวิธีนั่งรถเมล์ให้อีกด้วย..ท่าทางจะอยากให้เริ่มต้นทำอะไรเอง..แต่ช้าก่อน ป้าขอใช้บริการสามีดีกว่า..เพราะวันนั้นสามีเลิกงานเร็วพอดี..บ่ายว่างไปเป็นเพื่อนป้าแล้วกันนะจ๊ะ..สามี

ตอนไปถึงมีหลายคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ราวๆสิบกว่าคน ส่วนมากเป็นหญิงอาหรับสังเกตได้จากผ้าคลุมผม เจ้าหน้าที่มี 2 คน ที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์ไปทีละคนไล่ตามโต๊ะรูปตัว U  จนพักใหญ่ก็มาถึงคิวของฉัน เจ้าหน้าที่ขอดูจดหมายเรียกตัวแล้วเขียนชื่อ-สกุลของฉันลงไปในแบบฟอร๋มอีกใบในมือของเธอ แล้วยื่นมาให้ฉันเซนต์ชื่อต่อ เธอส่งข้อสอบมาให้สองแผ่น มีรูปภาพสิ่งของให้เติมคำลงในช่องว่าง ส่วนอึกใบให้เลือกประโยคที่ถูกต้องตรงกับภาพที่ให้มา..สำหรับฉันที่ผ่านการเรียนและฝึกด้วยตัวเองมาแล้ว มันไม่ยากเท่าไร..แต่อีกหลายคนในห้องนั่น อย่าว่าแต่ทำเลยเขียนไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เชื่อมั้ยว่าพูดกันคล่องมาก

เจ้าหน้าบอกให้หยุดทำข้อสอบแล้วชี้แจ้งรายละเอียดของคอร์สเรียน ที่นี่จะเปิดสอนทั้งหมด 240 ชั่วโมง เมื่อครบแล้วจะต้องมีการสอบเพื่อให้ได้ใบประกาศระดับ DILF ซึ่งเป็นระดับพื้นฐานถือว่าง่ายที่สุด ถัดไปจะเป็น DELF A1 , A2  เจ้าหน้าที่บอกว่าหากการทดสอบวันนี้ คนไหนพอมีพื้นฐานก็จะลดเหลือ 180 ชั่วโมง   ซึ่งคนที่มาที่นี่แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ พวกที่โอฟี่ส่งมาให้เรียนโดยตรงนับแต่วันที่ไปรายงานตัวขอสติกเกอร์มหัศจรรย์  พวกที่สองคือ pôle emploi หรือกรมหางานส่งให้มาเรียน  แต่ฉันเองไม่เข้าข่ายอะไรเลย คือ ดื้อขอมาเรียน  ดังนั้นการทดสอบจะไม่ส่งผลอะไรกับฉันทั้งสิ้นเพราะว่าเขาจะให้เรียนเต็มอัตราตามที่ฉันร้อนรนอยากเรียนมานาน การทดสอบของฉันเพียงเพื่อให้ครูรู้ว่าฉันมีทักษะแค่ไหนเท่านั้นเอง..จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ไล่สัมภาษณ์พร้อมบอกชั่วโมงเรียนของแต่ละคน..

การเรียนจะเรียนทุกวันยกเว้นวันพุธ และเสาร์-อาทิตย์ วันละ 4 ชั่วโมง ห้ามมาสายหรือขาดเกิน 3 ครั้ง  หากไม่สบายก็ต้องมีใบรับรองแพทย์มาส่งด้วย..ฉันได้รับมา 240 ชั่วโมง เมื่อเจ้าหน้าที่ถามว่าฉันสามารถมาเรียนได้ตลอดเวลาเลยมั้ย ติดภาระอะไรหรือเปล่า  ประเภทเลี้ยงลูก หรือติดงาน..คำตอบคือ ว่างตลอดค่ะ..จากนั้นก็ให้กรอกประวัติส่วนตัว เมื่อเสร็จแล้วเธอบอกให้กลับไปได้ รอการติดต่อกลับอีกครั้งสำหรับคอร์สเรียนว่าจะเริ่มเมื่อไร ซึ่งเธอไม่สามารถบอกได้ในตอนนี้

เพื่อนที่เรียนด้วยกันที่ Maison de quartier ถามฉันถึงเรื่องเรียนกับโอฟี่ เพราะเราเจอกันเมื่อวันที่ไปรายงานตัวเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้คุยกัน..คาเมล่าบอกว่า เธอก็ได้คอร๋สเรียนเหมือนกัน เพียงแต่ว่าได้แค่ 180 ชั่วโมงเพราะว่า คราวนี้เป็นการเรียนครั้งที่สองของเธอ..ครั้งแรกที่เรียนคือเมื่อสองปีก่อนตอนมาอยู่ใหม่ๆ ตอนนั้นได้ 300 ชั่วโมง มาถึงตอนนี้ เธอหย่าขาดกับสามีจึงต้องหางานทำ เลยถูกส่งมาเรียนก่อน..ฉันและคาเมล่าเฝ้ารอโทรศัพท์และอีเมล์เรียกตัวไปเรียน  จนในวันหนึ่งหลังจากผ่านไปเกือบอาทิตย์  สามีเดินถือจดหมายมาบอกว่า วันจันทร์ที่จะถึงนี้เริ่มไปเรียนได้แล้วนะ..ฉันอึ้งไปไม่รู้จะบอกว่าดีใจมั้ย มันเหมือนก็สมหวังแต่ก็มีความกังวลอยู่เล็กๆว่าจะไปเรียนยังไง..คราวนี้ต้องนั่งรถเมล์ไปเองจริงๆแล้ว..ก่อนสามีออกไปทำงานฉันรีบอ้อนว่า พรุ่งนี้วันเสาร์พาไปซื้อตั๋วเดือนไว้ขึ้นรถเมล์ด้วยนะ..

ฉันเริ่มดีใจที่จะมีกิจกรรมอะไรให้ทำนอกเหนือจากไปเรียนเพียง 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์แล้วกลับมานั่งจ๋อยอยู่คนเดียวรอสามีกลับบ้่านจดมืดค่ำ..ออกไปพบปะผู้คนอาจทำให้อาการฟุ้งซ่าน จิตตกหายไป..ฉันอาจจะมีเพื่อนใหม่ๆ ไม่ต้องมานั่งจดจ่ออยู่กับสามีเพียงคนเดียว  จนอาจจะรู้เมื่อสายว่าความรัก ความห่วงใยของฉันที่มุ่งไปที่เขาคนเดียวมันกลายเป็นความอีดอัดสำหรับเขาโดยไม่รู้ตัว

Thursday, February 24, 2011

ถึงคราวเสียเลือด

ฉันมีอาการไข้ตอนเย็นๆ ปวดหัว เจ็บคอ ลามปามถึงมีอาการคลื่นไส้มาหลายวัน..สันนิษฐานแรกคือ  จากการที่แอบซดเก็กฮวยเย็นเจี๊ยบแต่ดันใส่น้ำแข็งลงไปอีก..โรคจิตนิดหน่อย ติดน้ำแข็งมาก ได้กินเมื่อไร ชื่นใจเมื่อนั้น..ทุกครั้งทีมีอาการแบบนี้ ฉันหาทางทุเลาอาการตัวเองด้วย paracetamol และIbuprofen ตามที่หาได้ เพราะทั้งสองตัวมีฤทธิ์ลดไข้ทั้งคู่  ส่วนตัวหลังดีกว่าหน่อยที่ลดอาการอักเสบได้ด้วย...เป็นๆ หายๆ อยู่หลายวัน จนบอกตัวเองให้เลิกกินน้ำแข็ง..แต่คราวนี้อาการก็ไม่ได้ดีขึ้น เริ่มเจ็บคอและปวดหัวตลอดเวลา และมีไข้ตามมาในที่สุด บวกกับอากาศหนาวๆ ตอนเดินออกไปเรียน ทำให้ร่างกายฉันล้าอยู่เงียบ แต่แปลกว่าถึงเวลานอนจะนอนไม่หลับ  ตื่นมาดูนาฬิกาทุกชั่วโมง..

สองวันต่อมาระหว่างที่เรียนภาษาผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์  เมื่อยคอมากเลยจัดการนวดเส้นแก้เครียดไปพลางๆ ..แต่เอ๊ะ ลำคออวบของฉัน..ไหง มันมีก้อนนูนๆ ใต้กกหูทั้งสองข้างเลยอ่ะ โตประมาณลำไยกะโหลกเชียงใหม่เลยทีเดียว...เจ็บคอมากขึ้น ไข้เริ่มสูงจนขอบตาร้อน..ยาแก้ไข้ไม่ช่วยอะไรแล้ว ได้แต่นอนรอออเซาะพ่อตัวดีอย่างเดียว..จนสามทุ่มสามีเดินเข้ามาในบ้านเห็นเมียแก่นอนเป็นศพอยู่..เลยเดินมาดูอาการ แรกๆก็ดูเฉยๆ เพราะว่าฉันเป็นไข้มันเกือบทุกเย็น จนเขาเริ่มชิน แต่พอเห็นลำไยกะโหลกที่คอเท่านั้นแหละ..ตาทีโตมากอยู่แล้วเบิกโพล่งเป็นไข่ห่าน..ลนลานไปคว้าโทรศัพท์ไปหาหมอทันใด..เนื่องจากดึกแล้ว เลยได้แต่ซักถามอาการ..ระหว่างนั้นฉันเองที่เคยมีประสบการณ์เป็นแบบนี้มาตั้งแต่อยู่เมืองไทย คิดว่าตัวเองน่าจะต่อมน้ำเหลืองอักเสบ..เลยพยายามบอกสามี แต่ดูเหมือนเขายังไม่คลายใจ..แพทย์ปลายสายบอกว่าให้หาพาราฯ กรอกปากเมียคุณไปก่อนนะครับ  รุ่งเช้่าก็ไปพบแพทย์นะครับ..รับรองได้ว่า คืนนี้ ยายแก่นั่นยังอยู่ดี ไม่ถึงตายแน่ๆ

แต่พาราฯหมดบ้านไปหลายวันก่อน ฉันเลยกินไอบูโพรเฟนไปพลางแล้วรีบเข้านอน..เหมือนเดิมคือ เพลียจริงแต่นอนหลับไม่สนิท..ข่มตาหลับมันไปจนเช้า..แล้วรีบสะกิดคุณฝรั่งให้โทรไปนัดหมอให้หน่อย..แต่ก่อนไม่อยากไปหาหมอเท่าไร ติดนิสัยจัดยาให้ตัวเอง แต่ตอนนี้อยากให้ลำไยสองก้อนนั่นฝ่อไปเร็วๆ เลยไม่งอแงที่จะไปพบหมอเหมือนเคย..พ่อตัวดีวางสายลงแล้วบอกว่า หมอให้ไปตอนสี่โมงครึ่งรอไหวมั้ย..ฉันพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบ..พ่อตัวดีบอกว่าเนื่องจากวันนี้ฉันไม่สบาย งั้นไม่ต้องเข้าครัว เราออกไปกินข้าวกลางวันข้างนอกแล้วกัน..ไปร้านอาหารจีนกัน ..ดีเหมือนกันไม่ต้องทำกับข้าว แต่คนที่ดูจะมีความสุขมากกว่าเหมือนจะเป็นสามีที่ยิ้มระรื่นออกนอกหน้า..แกเบื่อรสมือฉันก็บอกกันตรงๆ ก็ได้นะ..ชิ

ฉันสวาปามได้น้อยกว่าปกติมาก และเริ่มอาการแย่ลงตั้งแต่ออกจากร้านอาหาร หนาวแบบไม่มีเหตุผลทั้ฃที่วันนี้อากาศดี แดดจ้าฟ้าใส แต่นังนี่หนาว..พร้อมมีอาการคลื่นไส้ พะอืดพะอมแบบบอกใครไม่ได้..ฉันได้แต่นอนรอเวลาพาร่างไปหาหมอแต่ไม่ยอมกินยา เพราะว่าอยากให้หมอเห็นอาการทั้งหมด..จนถึงเวลาไปหาหมอ..สามีไม่รู้กาละเทศะให้ฉันหัดบอกอาการตัวเอง เหอะ..ประมาทเมียอีกแล้วนะคะ..ฉันเตรียมมาหมด..J'ai mal a la tête et groche aussi. J'ai une grippe. ฉันปวดหัวเจ็บคอและมีไข้ค่ะ..หมอคนสวยแอบชมว่าพูดเก่งขึ้นเยอะ..นังตัวดีรีบแทรกเลยว่า เริ่มไปเรียนแล้วครับเลยพูดได้เยอะขึ้น..นังนี่  ที่อย่างนี้รีบแทรกมาเชียวนะ..คุณหมอเชิญให้เข่้าไปด้านในที่เตียงคนไข้ แล้วบอกให้แก้ผ้า..งานนี้เลยใช้เวลานานหน่อย..เสื้อกันหนาว เสื้อสเวตเตอร์ เสื้อยืด ลองจอน ถอดออกหมด เหลือแต่บราตัวจิ๋วๆแต่เสริมฟองน้ำอย่างหนาปิดน้องแฝดของฉันไว้เท่านั้น...อายจัง

หมอให้นอนลงแล้วเอาเครื่องมืออะไรมาสแกนตามหน้าผาก ขมับ หู..อ๋อ เทอร์โมมิเตอร์แบบใหม่นี่เอง..วัดความดัน..ผลออกมาคือ ความดันสูง หมอแอบถามว่ามีน้องรึเปล่า..ฉันรีบบอกว่าไม่มีค่ะ..ทานยาคุมอยู่ หมอขอดูคอ..คอแดงได้ใจ หมอบอกแบบนั้น คราวนี้เลยเอาเครื่องฟัง..สเตรปโตรสโคปมาแปะๆฟังๆหมดเลย ไหปลาร้า ช่องท้อง หลัง ไต..แล้วหมอก็เรียกไปชั่งน้ำหนักแล้วบอกว่า เสร็จแล้วใส่เสื้อผ้าได้..ใช้เวลาอยู่นานในการประกอบร่าง ได้ยินเสียงหมอเจื้อยแจ้วกับพ่อตัวดีแต่ฟังไม่ค่อบถนัดนัก..ฉันตามออกมานั่งข้างๆสามี หน้าโต๊ะคุณหมอเหมือนเดิม..หมอบอกว่า ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ แต่ไข้สูงมาก 40 แน่ะ แถมความดันสูง เพราะฉะนั้นหมอจะให้ไปเจาะเลือด ตรวจฉี่ เพราะความดันสูงมากจนน่ากลัว..แต่ฉันก็บอกไปอีกว่า ตอนอยู่เมืองไทยก็สูงเพราะว่าเลือดจางและช่วงนี้นอนไม่หลับ ตื่นทุกชั่วโมงเลย..แต่หมอไม่ใจอ่อน บอกให้ไปตรวจมาจะได้แน่ใจ อวบๆ ปลิ้นๆแบบนี้คลอเลสเตอรอลน่าจะสูง..วันนี้ให้แค่ยาลดไข้ แก้ไอแล้วก็สเปรย์พ่นจมูก ส่วนยาฆ่าเชื้อไม่ให้..ปล่อยให้ภูมิร่างกายรักษาตัวเอง..มีงี้ด้วย ไม่นะ..เขาจะเอายาฆ่าเชื้ออ่ะ..หมอส่งใบให้ไปตรวจเลือด ตรวจฉี่ แล้วบอกว่า หัดออกกำลังกายบ้างอะไรบ้างนะ..จะอืดไปวันๆแบบนี้ไม่ดีนะคะ.ฮือๆๆ หมอใจร้าย

ออกจากคลีนิกหมอก็ไปร้านขายยาเพื่อเอายาตามใบสั่งของหมอ..ฉันแอบถามพ่อตัวดีว่าแล้วจะไปตรวจเลือดที่ไหน..พ่อตัวดีเลยบอกว่าเดี๋ยวพาไป เพราะพรุ่งนี้ฉันต้องมาเองคนเดียว..เขามาด้วยไม่ได้แล้ว ต้องทำงาน...อ้าวเฮ้ย..ให้มาเองจริงๆเหรอ..นังใจร้าย..ฉันถูกลากให้เข้ามาในแลปตรงข้ามซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ฉันมาเป็นประจำ แต่สายตาหาได้ชำเลืองมองแลปแห่งนี้ไม่..ก็ไม่น่าสนใจนี่..ซุปเปอร์มีอะไรดึงดูดกิเลสมากกว่าอ่ะ..พ่อตัวดีไปติดต่อที่ประชาสัมพันธ์บอกว่า หมอสั่งให้ฉันมาตรวจเลือดแต่ฉันพูดฝรั่งเศสไม่ได้ พอจะมีใครพูดอังกฤษได้บ้างมั้ย..สรุปว่าไม่มี..ฉันได้กระบอกเก็บตัวอย่างปัสสาวะมาอันหนึ่ง ใบสั่งตรวจเลือดและปัสสาวะจากหมอถูกยื่นกลับมาให้พร้อมกัน แต่มี post-it สีแสบตาเขียนข้อความอะไรบ้างอย่าง
..แอบถามสามี..ฝรั่งตอบว่า อ๋อ เขาเขียนไว้ว่าเนื่องจาก vital card ของฉันยังอยู่ระหว่างดำเนินการ..อีกนัยหนึ่งก็คือ เคสของฉันต้องจ่ายเงินสดเท่านั้น..เหอะ นึกว่าจะเขียนอะไรพิเศษแบบว่าช่วยเหลือเคสของฉันเป็นพิเศษ ดันเขียนเตือนกันเองว่า อย่าลืมเก็บเงินนังกะเหรียงนี่ซะงั้น

เจ้าหน้าที่สาวสวยบอกให้ฉันมาเจาะเลือดพรุ่งนี้ 08.35 น.  พร้อมเอาตัวอย่างปัสสาวะมาส่งด้วย..หลังเที่ยงคืนห้ามทานอะไรอีก..แม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไม่ได้...ฉันไม่ค่อยกลัวการมาเจาะเลือดที่นี่เพียงคนเดียวในวันพรุ่งนี้นัก เพราะว่าทำเรื่องไว้แล้ว แค่ยื่นเอกสารคงเข้าใจกันได้ไม่ยาก ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ..

เช้าวันต่อมา หลังจากจัดการเก็บฉี่เรียบร้อย ฉันก็ไปที่แลปไปเจาะเลือด..ไปติดต่อเคาน์เตอร์ สาวน้อยคนสวยก็รับกระบอกเก็บปัสสาวะของฉันไปแล้วบอกว่า เรียบร้อยแล้ว มารับผลได้ตอนเย็น ฉันถามออกไปว่ากี่โมง..เธอเลยบอกมาว่า หกโมงเย็น..ฉันหงึกๆ หงักๆ พยักหน้ารับคำ แล้วเตรียมเดินออกมา..แม่สาวสวยตะโกนเรียกต่อว่า..ฉันต้องเจาะเลือดด้วยนี่..งั้นนั่งรอก่อน..รอ รอ รอ พักเดียวได้ยินเสียงเรียกชื่อ มาดาม..มีรีเย่ร์..เกือบจะลุกแต่ว่าไม่ใช่นามสกุลพ่อตัวดีนี่ เลยทำหน้ามึนนั่งรอต่อไป..ระหว่างนั้นมีคุณลุงคนหนึ่งมารอเจาะเลือดเหมือนกัน..ก้นที่ยังไม่ทันหย่อนลงนั่งของคุณลุงก็หมดโอกาสนั่งรอ เพราะว่ามีเสียงเรียกให้ไปเจาะเลือดได้เลย..อ้าว..งั้น อีมาดาม มิริเย่ร์เมื่อกี้ ก็เรียกอิชั้นนะสิ ..

มาดาม...เอาละ คราวนี้ชื่อจริงเสียงจริง ฉันรีบเดินตามไปหาต้นเสียงที่เป็นหญิงสูงวัยร่างท้วมๆ สวมแว่นใส่เสื้อกรานด์สีขาว..ที่สำคัญหน้าหงิกมาก..เธอบอกให้ฉันเดินตามมาในห้อง  กำลังจะหย่อนสะโพกทอร์นาโดลงนั่งบนเก้าอี้นวมสีแดงข้างโต๊ะทำงานของเธอ..ป้าหน้าหงิก ก็บอกให้ฉันไปปิดประตู และถอดเสื้อกันหนาวออกแขวนไว้ที่ตะขอข้างกำแพงก่อน..ค่อยมานั่ง..จ๊ะ ป้า กลัวแล้วจ๊ะ..ฉันถลกแขนเสื้อข้างขวาขึ้นแล้วนั่งลง  แขนขวาพาดตรงเบาะรองแขนพอดี..ป้าไม่ทักทายอะไรทั้งสิ้น  จัดการเอาสายยางมารัดแถวต้นแขน..แล้วจ้องจะจิ้มอย่างเดียว..ความที่เป็นคนกลัวเข็ม ฉันรีบหันหน้าออกไปอีกทาง ไม่กล้าดู เจ็บจื็ดเลย ตอนป้ากดปลายเข็มลงที่เนื้ออ่อนๆของฉัน...ป้าส่งเสียงอะไรมาไม่รู้บอกเกี๋ยวกับมือ ฉันเลยยิ่งกำมือแน่นขึ้น เลือดจะได้สูบฉีดดี ป้าจะได้ทำเสร็จเร็วๆ

ที่ไหนได้ ป้าเอาปากกามาเขี่ยๆที่มือ บอกว่าไม่ต้องกำมือ..อ้าวเหรอ..ได้ยินแต่กำมือ กำมือ..เสียเลือดให้ป้าไป 3 หลอด ..ป้าถึงพอใจดึงเข็มออกแล้วเอาสำลีมาวางปากแผลให้ แล้วสั่งให้ฉันกดไว้..อารามกลัวอีป้า..ฉันรีบกดแล้วรีบลุกขึ้นยืนทันทีที่เสียงป้าดังมาว่า เสร็จแล้ว..คราวนี้อีป้าเลยส่งเสียงรัวเร็วมาอีกว่า...อย่าเพิ่งไปมาติดเทปที่สำลีก่อนจะได้ไม่ต้องคอยกดไว้เอง..ฉันเอ่ยของคุณอีป้าไปอย่างโล่งใจว่าหมดเรื่องแล้ว..หยิบเสื้อกันหนาวมาใส่ อีป้าก็เดินไปเปิดประตูห้องแล้วเดินจากไปพร้อมเสียง au revoir โอวัวร์ลอยตามมา...เอ่อ ป้ารีบไปไหนเหรอค่ะ หนูจะพยายามไม่มารบกวนป้าอีกนะคะ

กลับมาสวาปามอาหารเช้าแล้วเอ้อระเหยอยู่กับบ้านอย่างสบายใจ..รอจนเย็นฟ้ามืด เดินไปเอาผลตรวจที่แลป..นึกว่าจะเจอเจ้าหน้าที่คนเดิม..อ้าว พี่คนนี้จะเข้าใจที่ตรูพูดมั้ยเนี่ย..เอาหว่ะกัดฟันพูดออกไป Bonsoir Madame. Je voudrais prendre  mon sang et urine examine. บงซัวร์ มาดาม. เฺฌอ วูเดร์ พร้องด์ มง แซง เอ อูรีน เอกซามัง..สวัสดีค่ะ คุณพี่  หนูมารับผลตรวจเลือดกับปัสสาวะของหนูค่ะ..พ่นออกไปตามไวยากรณ์นรกแตกของฉัน..คุณพี่คนสวยถามว่ามีเอกสารจากมาหมอมาด้วยมั้ย..ฉันบอกว่าไม่มี..ตอนเช้าให้ไว้กับที่นี่ไปแล้ว..เธอคงฟังฉันเข้าใจแค่ครึ่งเดียว เพราะเธอตอบมาแต่ว่า ทีหลังต้องเอาเอกสารมานะ แล้วถามว่าวันจันทร์จะมาตอนเช้ากี่โมงดี..ฉันเริ่มเห็นท่าไม่ดี พยายามบอกเธอว่า ฉันมาแล้วตอนเช้า à matin เธอก็บอกว่า ก็ใช่ไงมาวันจันทร์ตอนเช้าไง..ท่าจะคุยกันเมื่อยมืออีกแล้ว

นง นง.แฌ เดจา เฟ non non..J'ai déja fait ไม่จ๊ะ หนูทำไปแล้ว.. เตรียมจะถลกแขนให้เธอดู..สวรรค์โปรดเธอเข้าใจแล้ว..ถามชื่อฉันแล้วหันไปค้นผลเลือดมาให้ฉัน พร้อมแจ้งยอดเงินที่ต้องจ่าย..สี่สิบนยูโรหลุดลอยไป เดินเอาผลเลือดกลับไปเปิดอ่านที่บ้าน..ทุกอย่างปกติ ไขมันไม่สูง HDLเกินเกณฑ์  LDL ต่ำกว่า Triglyceride พอดีๆ..สงสัยไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย น้องคนนี้เลยมีน้อยไปหน่อย  เม็ดเลือดแดงขนาดเล็กไปหน่อย นี่แหละสาเหตุที่ฉันมีภาวะเลือดจาง..ความดันมันเลยสูง..ส่วนน้องไตยังทำงานปกติ..เฮ้อ โล่งอก..จนสามีกลับมาบ้านถามว่าไปตรวจเลือดมาเป็นไงบ้าง..ฉันบอกว่า ปกติดี แค่เลือดจางเฉยๆ..ฉันแอบวางใจ แต่ไหงนังคนข้างๆ เห็นเป็นเรื่องราวใหญ่โต..จะลากฉันไปหาหมออีกจะได้เอายามากินบำรุงเลือด..โอ๊ยยย ไม่แล้วค่ะ..แข็งแรง สมบูรณ์ มิเป็นโรคแล้วค่ะ สามี..หายแล้ว..เดี๊ยนเบื่อหมอแล้วค้าาา

Wednesday, February 23, 2011

วัลลี..ส่งเงินกลับบ้าน

ฉันเพิ่งวางโทรศัพท์ที่คุยกับแม่อยู่นานร่วมสองชั่วโมง นอกจากสารทุกข์สุขดิบที่ไถ่ถามกันตามปกติ ก็มีเรื่องหนักอึ้งให้เครียดตามมา..แม่ถามว่าพอจะมีเงินเก็บสักก้อนให้แม่มั้ย..แม่จำเป็นต้องใช้เงินภายในอีกอาทิตย์ข้างหน้า..วินาทีที่แม่ถามฉันสัมผัสได้ว่า แม่คาดหวังไว้แล้วว่าฉันน่าจะช่วยเหลือแม่ได้เหมือนเคย..หากเป็นตอนที่ฉันยังมีงานทำ มีเงินเดือนผ่านเข้าบัญชี..ฉันคงไม่รีรอที่จะช่วยแม่อย่างแน่นอน..

แต่ ณ เวลานี้ ฉันแปรสภาพมาเป็นแม่บ้านไร้เงินเดือนมาหลายเดือนแล้ว..นั่งรวบรวมยอดเงินจากบัญชีต่างๆ นานา ก็ยังไม่พอกับจำนวนเงินที่แม่จำเป็นต้องใช้  ด้วยความที่ฉันเคยให้เงินแม่ทุกเดือนตั้งแต่เงินเดือนก้อนแรกจนมาถึงเงินเดือนก้อนสุดท้ายก่อนที่จะลาออกเพื่อย้ายถิ่นฐานมาที่เมืองน้ำหอม ร่วมสิบปีที่ให้แม่มิได้ขาดจนเป็นนิสัย..  เมื่อถึงเวลานี้การปฏิเสธที่จะไม่ให้เงินแม่จึงเป็นเรื่องลำบากใจมากที่จะทำแม้ว่าเงินตัวเองก็มีไม่พอ..ฉันไม่อยากให้แม่รู้สึกว่าชีวิตฉันล้มเหลวหรือตกต่ำเหมือนกับโยนอนาคตดีๆทิ้งไว้ที่ไทย แล้วมาตกอับไกลถึงต่างแดน..

ตลอดสายจนถึงมืดระหว่างที่รอพ่อตัวดีกลับมาบ้าน  ฉันครุ่นคิดว่าจะไปหาเงินที่ไหนมาเพิ่มให้ครบตามจำนวนที่แม่ขอมา..จนสามีมาถึงบ้านฉันก็ยังไม่กล้าบอกเขาเรื่องนี้..ดูจากสีหน้าท่าทางที่เหนื่อยอ่อน มันไม่ใช่เวลาที่ดีนักที่จะเอาปัญหาไปโยนใส่..บ้านควรจะอบอุ่นและผ่อนคลาย..แบบสบายๆ..ฉันพยายามเก็บอาการแต่หารู้ไม่ว่า แอบเหม่อจนคุณฝรั่งสงสัยและถามออกมาเองในที่สุด..

ฉันตัดสินใจบอกไปหลังจากที่พ่อตัวดีตื้อถามอยู่นาน..เขาบอกว่า แววตาฉันมันดูออกว่ามีอะไรแน่ๆ  เรื่องจากทางบ้าน..ชัวร์..นึกว่ามีแฟนเป็นอับดุล ถามได้ตอบได้มีอะไรรู้หมด...หลังจากเล่าให้ฟังสามีดึงฉันได้กอด..แถมมีเขกหัวเน้นๆมาสองทีว่า..มีอะไรก็ให้บอก อย่าเก็บไว้คิดเอง เออเอง เครียดเองคนเดียว..ฉันบอกว่าพ่อตัวดีไปว่า ฉันมีเงินไม่พอให้แม่แต่เป็นตายร้ายดี ฉันก็ต้องช่วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหาเงินที่ไหนมาเพิ่ม ฉันรู้ว่าพ่อตัวดีก็มีไม่พอหรอก ลำพังค่าใช้จ่ายจากงานแต่ง เอกสาร ตั๋วเครื่องบิน ต่างๆนานา ที่จ่ายไปเพื่อให้เราสองคนเริ่มชีวิตคู่..มาถึงตอนนี้แค่ไม่ติดลบก็เก่งมากแล้ว..ฉันจึงไม่อยากบอกให้สามีมาเครียดกับฉันไปใหญ่..

พ่อตัวดีเปิดบัญชีตัวเองดูแล้ว ก็เหมือนอย่างที่ฉันรู้ว่า เขาเองก็มีไม่พอ..มันเหมือนตอกย้ำให้ยิ่งเศร้าไหนจะหาทางช่วยแม่ยังไม่ได้  ไหนจะมาทำให้สามีหน้าเหี่ยวตามไปอีก..เราพากันมุดหัวเข้านอนเพราะไม่อยากทนเห็นหน้าเครียดๆของอีกฝ่าย..นอนไม่หลับจนเกือบสว่าง..แอบหลับไปก่อนสามีออกไปทำงานไม่นาน..จนตื่นมาช่วงสายๆ ทำภารกิจแม่บ้านเหมือนเดิม..จะเอ่ยปากหยิบยืมเพื่อนฝูงก็เกรงใจ  เรามันอยู่ไกล ใครที่ไหนเขาจะเชื่อใจให้ยืม..คิดวนไปมาเหมือนน้ำวนอยู่ในอ่าง..ไม่มีทางระบายออก รอวันเน่าอย่างเดียว..จนพ่อตัวดีกลับมาจากที่ทำงาน เห็นอาการเมียไม่ดีขึ้น..เลยลากให้เดินตามมาในห้องนอน..คนไม่มีกะจิตกะใจจะทำการบ้านหรอกนะ..กลุ้ม เครียดอยู่..

ดิ้นๆ ขัดขืน บ่นกระปอดกระแปดจนสามีแทนทนสะกดอารมณ์ไม่ไหว แทบจะยันติดกำแพง..(อุตส่าห์นึกว่าจะมีแบบตบจูบ ตบจูบ...อารมณ์ยังค้างจากคราวก่อน) หลังจากที่สามีต้องฟังเมียบ่นพรำเรื่องเดิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่พักใหญ่..นายตัวดีก็เดินไปหยิบซองจดหมายที่อยู่ตู้เสื้อผ้ามายื่นให้ตรงหน้า  ฉันเอื้อมมือไปรับมาแบบงงๆ เปิดออกดูข้างในมีเงินสดและเช็คเงินสดอีกหลายใบ..ฉันหันไปถามพ่อตัวดีแบบงงๆ ว่า นี่เงินอะไร..เขาตอบกลับมาว่า เป็นเงินที่ได้เป็นของขวัญแต่งงาน..เขาไม่ได้บอกฉันเรื่องนี้เพราะคิดไว้ว่าจะเก็บเงินนี้ไว้ใช้ยามจำเป็น..ซึ่งตอนนี้เขาก็คิดแล้วว่ามันน่าจะถึงคราวจำเป็นแล้ว..เพราะทนดูสภาพเมียจิตตกแบบนี้ไม่ไหว ครั้นจะห้ามไม่ให้ฉันทำอะไรเกินตัว ตัดใจบอกแม่ไปว่าไม่มีเงิน  พ่อตัวดีก็รู้ดีอยู่แล้วว่า คนแบบฉันทำไม่ได้แน่นอน  เพราะฉะนั้นเอาเงินนี้ไปให้แม่ก่อน..เราสองคนยังหนุ่มยังสาว เรี่ยวแรงกับสองมือยังมี หาเอาใหม่ได้

วินาทีที่ฉันนั่งฟังสามีพูด  มันมีหลายความรู้สึกในใจ..ดีใจที่มีทางออกให้แม่ เกรงใจสามีที่เหมือนเราเอาแต่ปัญหามาให้ ปลื้มใจที่อย่่างน้อยพ่อตัวดีเข้าใจในทุกอย่างที่ฉันเป็น  ..ฉันกอดสามีร้องไห้ออกมาแบบไม่อาย ที่แก่แล้วแต่ทำตัวลืมอายุ  มันเหมือนปัญหาที่ฉันคิดวนๆ อยู่คนเดียว มีเขานี่แหละที่หาทางออกให้ แถมให้กำลังใจเสริมมาอีกต่างหาก..ขอบคุณจริงๆนะที่เข้าใจกัน

รุ่งขึ้นฉันรีบโทรไปบอกแม่ว่ารอก่อนตอนนี้กำลังรวบรวมเงินส่วนที่ยังขาดอยู่จะส่งให้อีกทั้งหมดตามที่แม่ขอภายในพรุ่งนี้เพราะว่า ต้องไปที่ตัวแทนทีรับโอนเงิน.. ระหว่างนั้นฉันหาช่องทางเรื่องการส่งเงินกลับไทยว่า ช่องทางไหน เร็ว และเสียค่าธรรมเนียมน้อยที่สุด..
โอนผ่านธนาคารและไปรษณีย์นั้นตัดออกเป็นอันดับแรก เพราะว่าใช้เวลาอย่างน้อย 3-5 วัน และค่าธรรมเนียมแพง เพราะเสียค่าธรรมเนียมทั้งธนาคารที่นี่ ธนาคารกลางและธนาคารที่ไทย  อีกสองทางเลือกคือ western union และ  moneygram  เป็นตัวแทนให้บริการโอนเงินทันใจทั้งคู่..แต่เท่าที่เปรียบเทียบดู
western union สามารถทำรายการในอินเตอร์เนทได้เลย ใช้บัตรเครดิตจ่ายได้ แต่ค่าธรรมเนียมแพง และโอนได้ครั้งละไม่เกิน 999.99 ยูโร ถ้ามากกว่านั้นต้องไปทำการโอนที่สำนักงานของตัวแทน  ลองเทียบค่าธรรมเนียมระหว่าง 2 ที่  ฉันตัดสินใจเลือก moneygram เพราะค่าธรรมเนียมถูกกว่าครึ่ง..เช่น โอนเท่ากัน 500 ยูโร western union คิดค่าธรรมเนียม 30 ยูโร ส่วน  moneygram 12 ยูโรเท่านั้น..ฉันหาที่่อยู่ของ moneygram สาขาที่อยู่ใกล้บ้านมากที่สุด..จดแล้วรีบยื่นส่งให้สามีดู พยายามออดอ้อนด้วยสีหน้าที่คิดว่าน่ารักที่สุด..เพราะแอบเกรงใจว่าอะไรๆ ก็ต้องพึ่งพาเขาตลอด

เราพากันมาถึงสาขาที่ใกล้บ้านที่สุด..แต่สภาพที่เห็นมันคือร้านขายบุหรี่ร้านหนึ่งที่รับเป็นตัวแทนของ moneygram ด้วยนั่นเอง..พ่อตัวดีบอกสาวน้อยเจ้าของร้านว่าจะโอนเงิน..เธอขอเอกสาร ฉันยื่นพาสปอร์ตส่งให้ พร้อมเขียนชื่อผู้รับเงินปลายทางส่งให้เธอไป..ฉันถามว่าถ้าส่งเงินที่นี่จ่ายด้วยบัตรเครดิตได้มั้ย..สามีเป็นล่ามแปลให้แล้ว บอกต่อมาอีกทีว่าได้..แต่คราวนี้เงินสดมีในมือแล้วจ่ายเลยดีกว่า..ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เรียนร้อย..เธอบอกว่าอีกสิบนาทีแจ้งรหัสรับเงินให้ผู้รับก็สามารถไปขึ้นเงินได้เลย..ฉันรีบโทรไปบอกเพื่อนรุ่นพี่ที่ฉันวานให้เป็นผู้รับเงินปลายทางที่เมืองไทย ให้ไปขึ้นเงินได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขา..ดีว่าตึกที่ออฟฟิตของรุ่นพี่มีไทยพาณิชย์อยู่พอดี เลยไม่เป็นปัญหา..ฉันวานให้เธอเอาเงินทีได้เข้าบัญชีของฉัน เพื่อที่ว่าฉันจะได้โอนให้แม่ในวันนี้เลย

ไม่นานนักฉันก็ได้รับ sms จากรุ่นพี่คนเดิมว่า ภารกิจเสร็จสิ้นทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว..ฉันรีบโอนเงินต่อไปให้แม่ทางอินเตอร์เนท..แล้วโทรไปบอกแม่อีกครั้ง..แม่ดูจะดีใจที่ได้ตามที่หวังไว้..ฉันไม่ได้บอกที่มาของเงินว่าหามาจากไหน ด้วยไม่อยากให้แม่รู้สึกว่าลูกสาวตกอับ หรือคิดผิดที่มาอยู่ต่างแดน..ยังไงฉันก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อแม่อยู่แล้ว..เพราะฉะนั้นให้แม่ดีใจ โล่งใจเรื่องเงินก็พอแล้วสำหรับวัลลีต่างแดนแบบฉัน..

Monday, February 14, 2011

ผจญภัยใกล้ๆบ้าน

หลังจากสามีตัดใจที่จะปล่อยให้ฉันเรียนรู้การใช้ชีวิตที่นี่ด้วยตัวเอง..จากที่เคยห่วงทุกฝึก้าว..มาถึงตอนนี้เหมือนรักหมดโปรโมชั่นยังไงไม่รู้..ฉันต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง..ครั้นป้าจะงัดมุกงอนมาใช้ ข้อหาสามีไม่ไยดี..ก็จะเจอสวนมานิ่มๆ ว่า..เพื่อตัวฉันเอง ลำบากวันนี้ต่อไปจะได้เก่งๆ ดูแลตัวเองได้

ภารกิจวันนี้ที่ฉันต้องไปทำคือ ไปเอาบัตรเดบิตที่เปิดบัญชีไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนที่ธนาคาร หลังจากที่ได้รับจดหมายแจ้งรหัสบัตรมาเรียบร้อยแล้ว..พ่อตัวดีบอกว่าให้ฉันไปคนเดียว เพราะว่าอาทิตย์นี้เขาต้องทำงานทุกวันและจะไม่กลับมาทานข้าวกลางวันด้วยเหมือนเคยเพราะงานเยอะขึ้นและประหยัดน้ำมันที่ขยันขึ้นราคาไม่มีหยุด

ไหนๆ ก็ มาถึงขั้นนี้แล้วจะกลัวอะไรหนักหนา..อย่างน้อยถ้าพูดกะใครไม่รู้เรื่อง..น้องเอมิลีผู้ดูแลบัญชีของฉัน เธอต้องเข้าใจว่าฉันมาทำอะไร..

เดินฝ่าลมหนาวๆที่มีหิมะโปรยลงมาบางๆ ไปที่ธนาคารซึ่งมีคนไปรอใช้บริการหนาตากว่าปกติ..ฉันมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอยู่พักใหญ่ ...รอพ่อหนุ่มผมทองคนนี้ติดต่อที่เคาน์เตอร์เสร็จต่อไปก็ถึงคิวของฉันแล้ว...แต่เหมือนพระคุณเจ้ายังเมตตาฉันอยู่..เอมิลี่คนสวยที่วันนี้ไม่ได้มีเวรมานั่งเคาน์เตอร์  เดินมาออกหาเอกสารที่ตู้เอกสารใบใหญ่หลังเคาน์เตอร์พอดี..ฉันพยายามส่งยิ้มทักทาย..นางฟ้าคนงามหันมาเห็นพอดี..เราทักทายกันนิดเดียว..(นิดเดียวจริงๆ..คือ บงชู่ว์..นอกเหนือจากนี้ป้าพูดไม่ได้แล้ว)  เอมิลี่ก็ชิงถามฉั
นก่อนว่ามารับบัตรเดบิตเหรอ..ได้รับจดหมายแจ้งรหัสจากธนาคารแล้วใช่มั้ย..

ทักษะการฟังล้ำหน้าการพูดอยู่มาก  ฉันจีงทำได้แต่พยักหน้าตอบ หวี หวี ออกไปในทันที..เอมิลี่เชิญฉันเข้าไปในห้องทำงานของเธอ..เธอยื่นซองเอกสารที่จ่าหน้าเป็นชื่อชั้นมาตรงหน้า..แกะออกมาคือบัตรเดบิตของฉันเอง..ชื่อบนบัตรเป็น มาดาม..นามสกุลสามี ต่อด้วยนามสกุลของฉันแล้วตามด้วยชือของฉัน..แต่ด้วยความที่นามสกุลกินดิจิตไปซะเยอะ..ชื่อของฉันเลยโผล่มาได้แค่4 ตัวอักษร..ไม่คุ้นชื่อตัวเองจริงๆ..ฉันเซนต์ชื่อลงที่ด้านหลังบัตร..เอมิลี่ส่งซองหนังใส่บัตรมาให้ พร้อมบอกว่า ก่อนที่จะเอาบัตรไปใช้ต้องทำการactivated บัตรก่อน ตามคำแนะนำที่ให้มาในซองเอกสารนั่น..เอาละสิ..ทำไงดี เรื่องใหญ่ด้วยเกิดป้าทำอะไรไปเองจนต้องสูญเงินไปหมดคงไม่ดีแน่.. ฉันที่ยังไม่เข้าใจนักว่าจะทำการ activated บัตรยังไง เพราะว่าอยู่เมืองไทยบ้านเรา รับมาจากมือพนักงานธนาคารก็ใช้ได้เลย..ส่วนบัตรเครดิตก็โทรเข้าลูกค้าสัมพันธ์ ไม่ได้ยุ่งยากหรือซับซ้อนมากนัก..แต่ที่นี่ไม่เคย แถมดูท่าจะไม่เหมือนบ้านเราด้วย..ฉันบอกเอมิลี่ไปว่าถ้าฉันทำไม่ได้ หรือไม่เข้าใจ จะให้พ่อตัวดีโทรมาถามเอมิลี่อีกทีแล้วกัน..เอมิลี่ยิ้มรับอย่างเข้าใจ..ฝรั่งเศสแบบไทยแลนด์จ๋าของฉัน

ออกจากธนาคาร..ฉันเดินไปที่ไปรษณีย์เป็นภารกิจถัดไป..ฉันต้องไปส่งจดหมายลงทะเบียนไปให้ OFII เพื่อขอให้พิจารณาเรื่องคอร์สเรียนภาษาของฉันอีกครั้ง หลังจากที่ตัดสิทธิ์ไม่ให้คอร์สเรียนภาษาเพียงเพราะว่าฉันมีใบประกาศรับรองความรู้ทางภาษา(ใบสีฟ้า) ทีได้จากสถานฑูตในไทยตอนไปขอวีซ่าระยะยาว..จดหมายน้อยที่ถืออยูในมือได้รับการช่วยเหลือจากหลายคนมาก พ่อตัวดีเขียนให้ แต่แอบใส่กฎหมายว่าด้วนสิทธิ์การเรียนภาษาของชาวต่างด้าวตามที่เพื่อนที่เป็นตำรวจหาข้อมูลมาให้..และได้ที่ปรึกษาคนสำคัญ คือ คุณตาของพ่อตัวดีที่โทรปรึกษาเพื่อช่วยเรียบเรียงประโยคให้สละสลวยและเนื้อความไม่ดุดัน จนกลายเป็นข่มขู่โอฟี่ตามอารมณ์ของพ่อตัวดีจนเกินไป..ฉันรู้สึกว่าตัวเองสร้างปัญหาให้คนอื่นมาเยอะแล้ว..ตอนนี้อะไรทำได้ฉันต้องลองทำดูด้วยตนเอง

ฉันออกมาจากไปรษณีย์พร้อมสำเนาใบส่งหมายแบบลงทะเบียน..ยังนึกขำว่า คนแถวนี้คงเคยเห็นหน้าฉันมาบ้างแล้ว เลยพยายามที่จะช่วยเหลือฉันเต็มที่..พูดไม่ได้ ฉันก็อาศัยเขียนให้ดูจนเข้าใจกัน..เพราะว่าทำการบ้านก่อนออกมาจากบ้านแล้วว่า คำนี้พูดว่าอะไร จดใส่กระดาษมาอย่างดีเลย google tranduction ช่วยคุณได้..กลับมาถึงบ้านแบบภูมิใจตัวเองอยู่ลึกๆ ..ที่อย่างน้อยตอนนี้ก็สามารถขจัดความกลัวออกไปจากใจได้แล้ว..จนสามทุ่มสามีเดินทางกลับถึงบ้าน หลังจากจัดแจงอาหารวางบนโต๊ะเรียบร้อย..คุณเธอก็ถามทันทีว่าวันนี้ภารกิจสำเร็จมั้ย..ฉันยืดอกส่งบัตรเดบิตและใบลงทะเบียนให้ดูแทนคำตอบ..พ่อตัวดียิ้มแป้นที่เมียแก่ๆอย่างฉันไม่ได้แก่แล้วแก่เลยจนเกินเยียวยา..แต่พอฉันบอกเรื่อง activated บัตร..รอยยิ้มบานๆนั่นก็หุบฉับทันที..บอกว่าปกติ activated บัตร ก็คือไปทำรายการผ่านตู้เอทีเอ็มโดยใส่รหัสที่ได้มาแค่นั่นแหละ..งั้นพรุ่งนี้ไปทำมาเลยนะ..แล้วไปซื้อยาพาราเซตตามอลที่ร้านขายยามาให้ดูด้วย เพื่อยืนยันว่าฉันใช้บัตรเดบิตได้แล้วจริงๆ...หนอยแนะ..พอบอกไม่ให้ห่วงมาก..นี่หล่อนปล่อยเกาะฉันเลยเหรอไง..ชิชะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฝรั่งตาน้ำข้าวแบบหล่อน จะต้องตะลึงในความสามารถของป้าแก่ๆแบบฉัน..ประมาทฉันเกินไปแล้ว..ถ้าไม่เก่งจริง..ฉันคงไม่หลอกแกมาเป็นของฉันได้แบบทุกวันนี้หรอก..ป้าแอบยิ้มย่องอยู่เพียงลำพังแบบเข้าข้างตัวเองต่อไปเงียบๆ หึๆ

Thursday, February 3, 2011

มหัศจรรย์สัมพันธภาพบนอินเตอร์เนท

ฉันนั่งอ่านเรื่องราวของผู้คนหลากหลายผ่านตัวหนังสือในหน้าเวบไซต์ สื่ออินเตอร์เนทที่มีเครือข่ายครอบคลุมไปทั่ว..เชื่อมโยงให้คนทั่วโลกติดต่อกันได้  ร่วมทุกข์ ร่วมสุข มีการแสดงความคิดเห็น หรือแม้แต่สืบค้นหาหลักฐานความจริงมาตีแผ่ เปิดวิสัยทัศน์อีกด้านให้รับรู้โดยทั่วถึงกัน

เรื่องของรักออนไลน์หรือสายสัมพันธ์สาวไทยกับชายต่างชาติ ฉันไม่ขอพูดถึงเพราะว่า ฉันบอกไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องถูกหรือผิดหากจะจริงจังกับความสัมพันธ์แบบนี้ ..ไม่ได้สนับสนุนหรือคัดค้าน นานาจิตตัง..
ถามว่าจะไปเชื่อถืออะไรได้กับความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ไม่เคยได้เจอกัน อาศัยเพียงพูดคุยผ่านสื่ออิเลกทรอนิกส์ จะไปรักกันดูดดื่มถึงขั้นปลงใจใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์สามี-ภรรยาได้หรือ..ในมุมของฉัน ฉันคิดว่าหากซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองทุกครั้ง และเจอกับคนประเภทเดียวกันที่ไม่หลอกลวงต่อความรู้สึกตนเองเช่นกัน คนสองคนมาเจอกันในโลกอินเตอร์เนท ก็สามารถสานต่อจนเกิดความสัมพันธ์ในโลกแห่งความจริงได้เช่นกัน..แต่หากเริ่มต้นด้วยการเสกสรรปั้นแต่งคำพูดสวยหรูมาหลอกลวงตบตาคู่ต่อสู้ เราก็จะเจอคู่สนทนาไหลลื่นสมน้ำสมเนื้อเช่นกัน..วิจารณญาณเท่านั้นช่วยคุณได้

จากเดิมหากอยู่เมืองไทย นอกจากพ่อตัวดีแล้ว ฉันยังมีกองทัพกำลังใจอื่นๆอีกเพียบ พ่อแม่เอย พี่ๆเอย เพื่อนๆ ไม่ว่าจะสมัยมัธยมเปรี้ยวอมหวาน หรือเพื่อนๆที่ฝ่าฟันมรสุมเอฟมาด้วยกันสมัยมหาวิทยาลัย จนได้เพื่อนซี้ถูกใจในที่่ทำงาน..สารพัดเรื่องราวจะหยิบมาเล่าสู่กันฟัง..เพื่อผ่อนคลายความทุกข์ แชร์ความสุข หรือแม้แต่ระบายความโมโหกับสิ่งขัดใจที่เจอในแต่ละวัน..

เมื่อมาอยู่ไกลบ้าน แน่นอนว่า ตอนนี้ฉัมมีแค่สามีเป็นเพื่อนคู่คิดคนเดียวเท่านั้น..แม้ครอบครัวและบรรดาเพื่อนๆที่เมืองไทยยังคอยอ้าแขนรับฉันอยู่เสมอ แต่ในบางครั้งฉันเองก็มีปัญหาที่ไม่อยากให้เขาเหล่านั้นต้องมารับรู้..ฉันไม่อยากให้พวกเขาต้องมารับฟังปัญหาที่อาจจะดูงี่เง่าแต่ ณ เวลานั้นที่ฉันจิตตก มันคือปัญหาใหญ่ระดับประเทศ บางครั้งฉันเองยังต้องเลี่ยงที่จะไม่พูดเรืองบางเรื่องออกไป เพราะไม่อยากให้ที่บ้านเป็นห่วง..

จากเดิมที่หวังไว้มากว่าจะได้เรียนภาษาอย่างจริงจัง หลังจากไปรายงานตัวขึ้นทะเบียนขอบัตรพำนักแล้ว..เมื่อไม่ได้เป็นตามที่หวัง แน่ละฉันเกิดอาการจิตตก  เครียด  และไม่รู้จะไปพึ่งใครที่ไหน..ฉันย้อนมาพึ่งหน้าเวบไซด์ที่ฉันอาศัยหาข้อมูลเรื่องเอกสารวีซ่าอีกครั้ง..ฉันหวังว่าพี่ๆ เพื่อนๆ ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน อาจจะให้คำแนะนำฉันได้ ว่าเมื่อเจอระบบราชการเมืองน้ำหอมที่ไม่อาจจะหาหลักใดมากำหนดได้ว่า ควรทำเช่นไร เพราะแต่ละท้องที่ยังทำงานไม่เหมือนกัน..ระบบตามใจฉันซะมาก

ฉันเริ่มตั้งกระทู้ถามข้อมูลว่าควรจะทำอย่างไรดีกับปัญหาของฉัน..เพียงไม่นานมีผู้คนมากมายเข้ามากระทู้ทื่ว่าและให้คำแนะนำ แชร์ประสบการณ์หรือให้กำลังใจ..วินาทีที่ฉันนั่งอ่าน ฉันรู้สึกว่าลำคอมันตีบๆ ขอบตาร้อนๆ..คนพวกนี้เป็นใครกัน..ไม่ได้รู้จักกันเลยแม้แต่น้อยแต่ยังเข้ามาร่วมแบ่งปันความทุกข์ของฉันที่ระบายลงไปในหน้าต่างอิเลกทรอนิกส์..จากกระทู้ปรึกษาว่าทำอย่างไรถึงจะได้เรียนภาษา..มาถึงตอนนี้มีเพื่อนๆ พากันมาแนะนำเวบไซต์ สำหรับการเรียนภาษาด้วยตนเอง หรือแนะนำให้ลองไปติดต่อหน่วยงานอื่นๆดู..ฉันได้รับอีเมล์จากพี่ๆหลายท่านที่เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย..เพียงแต่ตัวหนังสือในกระทู้นั่น มันทำให้พวกเขาส่งอีเมล์มาพูดคุยและให่กำลังใจฉันที่ตอนนั้นอาการหนักอย่ในขั้นโคม่า..วนเวียนคิดแต่เรื่องที่ไม่ได้เรียนพาลคิดว่า อนาคตจะทำยังไง จะต้องตกงานอีกนานเท่าไร

พวกเธอทิ้งเบอร์โทรไว้ให้ พร้อมบอกว่ามีอะไรไม่สบายใจโทรมาคุยกันได้เสมอ..ฉันตื้นตันมาก..คนที่ไม่รู้จักกันเลยไม่เคยเห็นหน้า พวกเธอเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องยี่หระต่อตัวหนังสื่อไม่กี่บรรทัดของฉันในหน้ากระทู้นั่นก็ได้..แต่ความห่วงใยและใส่ใจก็ทำให้ฉันได้อีเมล์มาหลายฉบับ..ฉันกดเบอร์โทรทื่ได้มา..ปลายสายเป็นเสียงหญิงไทยใจดี..เธอบอกว่า เธอมาอยู่ที่นีนานแล้วเป็นสิบปี..เธอเห็นอาการฉันไม่สู้ดีนัก เลยอยากให้คำแนะนำและกำลังใจ..เป็นสิ่งที่ไทยด้วยกันจะช่วยกันได้ เพราะเธอเข้าใจดีว่า การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ อาจทำให้ฉันอึดอัดใจและซึมเศร้าได้ง่ายกับการปรับตัวให้ชินกับชีวิตที่นี่

เกือบสองชั่วโมงที่เราคุยกัน..บางท่านอาจจะคิดว่า ง่ายไปหน่อยมั้ย ไม่รู้จักกันจะไปเชื่อใจเขาได้ยังไง..จากน้ำเสียงของสาวช่างเจรจา มันฟังดูอบอุ่นเหมือนเรารู้จักกันมานาน เป็นคนบ้านเดียวกัน ไทยเหมือนกัน มีอะไรก็ต้องช่วยกัน..เธอแนะนำและปลอบใจ ให้กำลังใจ สำเนียงเมืองเหนือและสไตล์การพูดของเธอมันทำให้ฉันรู้สึกอุ่นๆในหัวใจ..ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำตามคำแนะนำของเธอได้ดีเพียงไร หรือสิ่งที่เธอพูดมานั้น มันจะเกินจริงหรือเชื่อถือได้หรือไม่ ฉันรู้เพียงว่าฉันสัมผัสได้ถึงความเอ็นดูที่เธอเพียรพยายามไถ่ถามฉันด้วยความเป็นห่วง..กำลังใจและคำปลอบโยนที่้เธอมีให้คนแปลกหน้าอย่างฉัน..และฉันก็รู้สึกมีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อไป

จากเดิมที่ไม่เคยใส่ใจกับบรรดาฟอร์เวิร์ดเมล์ขอบริจาคเลือด หรือคลิกเพื่อบริจาคให้แก่ผู้ประสบปัญหาต่างๆ..เพราะคิดว่ามันไม่มีจริง..แต่ตอนนี้ฉันพยายามจะช่วยเท่าที่ทำได้ เด็กน้อยที่รอบริจาคเกล็ดเลือด หรือ คุณยายชราที่ต้องเดินเร่ขายแกงหาเงินมาประทังชีวิต แม้แต่หมาน้อยที่ถูกทิ้งรอการถูกจับไปฆ่า หลากหลายชีวิตได้รับความช่วยเหลือจากการบอกกล่าวผ่านหน้าอินเตอร์เนท..วันนี้ฉันใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้มากขึ้น..การคิดถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายผ่านเรื่องราวและคำพูดผ่านตัวอักษร มันช่วยฉันอ่อนโยนและใส่ใจคนอื่นมากขึ้น  เพราะความมหัศจรรย์ของสัมพันธภาพที่ฉันได้ประจักษ์แก่ตัวเองจริงๆในวันนี้เอง

Sunday, January 30, 2011

ระบบขนส่งมวลชนฝรั่งเศส ภาคนี้ขอลองรถเมล์

ฉันนั่งหาข้อมูลการใช้รถเมล์ของที่นี่อยู่นาน..เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่สามีไม่อาจช่วยฉันได้ เพราะเขาก็ไม่เคยขึ้นรถเมล์เช่นเดียวกัน..ตั้งแต่ฉันเริ่มออกไปเรียน ไปติดต่อสถานที่อื่นๆเพียงลำพังแล้ว แม้ว่าจะยังสื่อสารไม่ได้ แต่มันทำให้ฉันกล้าที่จะไปทำอะไรเองมากขึ้น..แต่ก่อนสามีกลัวสารพัด กลัวฉันหลงทาง กลัวฉันถูกล้วงกระเป๋า ก็จะไม่อยากให้ไปไหนคนเดียว..เพราะความเป็นห่วง..แต่เหมือนพ่อแม่รังแกฉัน..ยิ่งห่วง ยิ่งเก็บฉันไว้ในบ้านมากเท่าไร..มันยิ่งทำให้ฉันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากเท่านั้น

ฉันนึกถึงภาพฝรั่งแบคแพคที่เดินเกลื่อนถนนในกรุงเทพ..พวกเขาก็พูดไทยไม่ได้ และแน่ละ คนไทยหลายๆคนก็ไม่อยากพูดภาษาอังกฤษ หรือพูดไม่ได้เลย แต่ฉันก็ยังเห็นฝรั่งพวกนั้นไปไหนมาไหนเพียงลำพังแถมดูจะมีความสุขกับวิถีชีวิตที่ตัวเองไม่คุ้นชินอีกต่างหาก..ความอายความไม่กล้ามันกลายเป็นตัวตัดโอกาสดีๆหลายอย่างในชีวิต ..ฉันเองแม้จะสื่อสารอังกฤษได้ในระดับที่สื่อสารเข้าใจถึงค่อนข้างดี  แต่เมื่อต้องเผชิญหน้าฝรั่งผมทองตาน้ำข้าวเข้าจริงๆ ฉันเองก็ยังตื่นๆ กลัวๆแถมคิดในใจว่า..อี๊ อย่าๆ อย่ามาถามฉัน ฉันกลัวไม่อยากพูด ถึงวินาทีนี้แล้วถ้าอยากรอดตายต้องเลิกอายได้แล้ว

จนวันนี้แล้วที่ฉันจะทดลองขึ้นรถเมล์คนเดียวดูบ้าง..แต่มิวายว่าสามีตัวดีก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี..เราตกลงกันว่าฉันจะลองนั่งรถเมล์จากสนามบินกลับมาที่บ้านเพียงคนเดียว หลังจากทำธุระในสนามบินเรียบร้อยและได้เวลาเข้าทำงานของพ่อตัวดี..เขาย้ำว่า ถ้ามีปัญหาอะไรให้โทรหาเขา และอย่านั่งหลับบนรถตามแบบที่ฉันทำประจำเวลาขึ้นรถเมล์ในกรุงเทพฯ..แผนที่เส้นทางเดินรถถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมคำถามจากสามีว่า ฉันจะต้องลงจากรถเมื่อไร..ฉันแอบขำสามีตัวเองแต่ถ้าหัวเราะออกมาตอนนี้คงถูกโกรธแน่ เพราะว่าจากแววตาเขาแล้ว ฉันรู้ดีว่าเขาห่วง ไม่อยากให้ฉันขึ้นรถเมล์คนเดียว ทั้งๆที่ยังไม่รู้อะไรมากนักแบบนี้..ฉันตอบไปว่า..พอรถจอดทีป้ายที่สาม นั่นคือฉันต้องลงแล้ว..ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจำป้ายรถเมล์ตรงหน้าอำเภอใกล้บ้านได้ อีกอย่างมีแผนที่อยู่ในมือ..ถามคนขับรถเอาก็ได้

ฉันเดินมาตามป้ายบอกทางในสนามบินจนมาถึงที่จอดรถเมล์ที่แบ่งไปช่องๆ มีหมายเลขกำกับ 1-8 จากตารางเดินรถ ฉันต้องเดินไปรอขึ้นรถที่ช่องหมายเลย 5 เวลาออกรถเที่ยวต่อไปคือ 17.10 ..ฉันยืนบิดไปบิดมา เดินวนๆแถวนั้นตั้งแต่ 16.45   จน 10 นาทีผ่านไปรถตู้หลังคาสูงสีเหลือง หมายเลข 1410 เป็นสายที่ฉันต้องขึ้นก็มาจอดที่ช่องหมายเลข 5 พอดี.. รอจนรถจอดเรียบร้อย ผู้โดยสารลงหมดแล้ว..ฉันเดินไปที่ประตูข้างคนขับที่ตอนนี้โชเฟอร์ได้กดกระจกลงมาเพื่อที่จะพูดกับฉันเหมือนกัน..Bonsoir Monsier..Un aller billet pour .., s'il vous plaît. บงซัว มอนซิเออร์ อา นะเล่ บิลเย่ ปูวร์..(ชื่อป้ายที่ฉันจะลง) ซิล วูล เปร่  แปลเป็นไทยก็คือ สวัสดีตอนเย็นค่ะ ขอตัวเที่ยวเดียวไป..ใบหนึ่งค่ะ..

ประตูเลื่อนอัตโนมัติของรถถูกกดเปิดเพื่อให้ฉันขึ้นไปบนรถ..ฉันรีบขึ้นไปหลบความหนาวในรถ แต่ยืนรอที่จะจ่ายเงินก่อน ..3.60 ยูโร สำหรับค่ารถ ..เกือบร้อยห้าสิบบาทสำหรับการเดินทางที่ใช้เวลา 30 นาที ถือว่าไม่แพง..พอๆกับค่ารถแท็กซี่เมืองไทย..ฉันรับเงินทอนมาพร้อมกับตั๋วรถ ซึ่งหน้าตามันก็คือใบเสร็จรับเงินที่ได้ตามร้านสะดวกซื้อในไทยมาก..มีรายละเอียดบอกว่า ฉันเดินทางระหว่าง 2 โซน ค่าโดยสารจึงเป็น 3.60 ยูโร  ถ้าแค่ภายในโซนเดียว 2.50 ยูโร  สภาพในรถสะอาดมาก เบาะที่นั่งอยู่ในสภาพดีและทุกที่นั่งมีเข็มขัดนิรภัยไว้ให้  ..คนขับหันมาบอกว่ารถจะออกเวลา 17.10 นะ..ฉันบอกไปว่า โอเค ฉันรู้แล้ว ตามสำเนียงของฉัน ซึ่งเขาคงรู้ว่าฉันเองก็พูดไม่ค่อยได้ และคงไม่ไปไหนเลยปล่อยให้ฉันนั่งรถอยู่ในรถอุ่นๆดีกว่า..จน17.05 น. ถึงตอนนี้ผู้โดยสารก็ยังคงมีฉันเพียงคนเดียว..ฉันแอบคิดว่า มีฉันคนเดียวแบบนี้ เขาจะยอมออกรถมั้ย..มันคงไม่คุ้มกับค่าน้ำมันที่จะไปส่งฉันถึงที่หมายถ้ามีผู้โดยสารคนเดียวแบบฉัน

ก่อนถึงเวลารถออกนาทีเดียว..พนักงานสนามบินสองคนเดินมาขึ้นรถ สองสาวยื่นการ์ดออกไปผ่านเครื่องสแกนการ์ดใกล้คนขับ..ฉันเดาว่าคงเป็นตั๋วรายเดือน หรือรายปี เพราะว่าทั้งสองคนไม่ได้จ่ายเงินสดแบบฉัน..ฉันคาดเข็มขัดนิรภัยตามป้ายเตือนที่แปะไว้รอบรถ แต่ผู้โดยสารท่านอืนหาทำไม่..อย่าได้แคร์ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า..เผื่อแพรวาตีนผีจะมาซิ่งแถวนี้..รถออกตรงเวลาเป๊ะ  คนขับรถและผู้โดยสารอีกสองสาวคงรู้จักและคุ้นเคยกันดี เพราะว่าคุยกันไป ถามไถ่สารทุกข์ตลอดทาง..ก็แน่ละ ถ้าสองสาวกลับบ้านสายนี้เวลานี้ทุกวัน ก็ต้องเจอพี่โชเฟอร์ทุกวันอยู่แล้ว..ฉันนั่งมองเส้นทางมาตลอด..ถึงป้ายเมื่อไรฉันก็เอาแผนที่มาส่องเทียบดูทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่ามาถูกและไม่หลงแน่นอน..ใกล้ถึงที่หมายแล้ว ฉันจำบรรยากาศข้างทางได้..มาถูกที่แน่ๆ

ฉันลงจากรถเป็นคนสุดท้ายที่ป้ายนั่น แต่ก็มีผู้โดยสารอีกหลายคนรอขึ้นสายนี้ต่อ  ฉันเดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น  ตอนนี้การขึ้นรถเมล์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวสำหรับฉันอีกต่อไป..รถเมล์ที่นี่ออกตรงตามเวลา เสียแต่ว่ามีไม่เยอะเท่ารถเมล์เมืองไทยก็เท่านั้น  แต่เรื่องความสะอาดและความเป็นระเบียบแล้วละก็ของไทยเรายังต้องปรับปรุงอีกเยอะเลย..ฉันไปท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือแม้แต่ระบบเมโทรของฝรั่งเศสเอง  ฉันพบว่ามันเข้าใจและใช้ง่ายกว่าที่เมืองไทยเยอะเลย ป้ายรถเมล์แยกแต่ละสายชัดเจน ระบบเมโทรที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั้งเมือง มันง่ายต่อการไปไหนมาไหนโดยระบบขนส่งมวลชน..ผิดกับบ้านเราที่ใครๆก็อยากมีรถขับเอง ไม่ต้องไปเบียดเสียดหรือวิ่งตามรถเมล์ให้หน้ามัน หัวยุ่งแบบที่เจอกันมา..

มาชื่นชมระบบของที่นี่ออกหน้า แต่อย่าเพิ่งหมั่นไส้ฉันนะ..ยังไงตอนนี้เอาฉันไปปล่อยให้กรุงเทพ ฉันยังบอกสายรถเมล์ไปไหนมาไหนได้แบบไม่ต้องเสียเวลาคิด..แต่ที่นี้จะไปไหนทีฉันยังต้องหาข้อมูลสารพัดกันหลง..ความสะดวกสบายกับความคุ้นเคยมันผิดกัน..ลึกๆแล้วฉันชินกับระบบลำบากๆแบบไทยๆมากกว่า..ฉันเดินมาเจอเพื่อนบ้านคุยกันอยู่ เราทักทายกันตามประสา ทั้งสองคนพยายามเข้าใจภาษาฝรั่งเศสแบบของฉัน  Nasera เชิญฉันและเอ็ดดี้เพื่อนบ้านอีกคนเข้าไปคุยต่อในบ้านของเธอ หลังจากยืนคุยหน้าบ้านมาพักใหญ่..เราคุยกันนานและนานมาก..เวลาผ่านไปจากหกโมงเย็นจนตอนนี้สามทุ่มแล้ว...เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันดังขึ้น..พ่อตัวดีโทรมาหา..เขาถามฉันด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่าตอนนี้ฉันอยู่ไหน..เขากลับมาถึงบ้านแล้วนะ..ด้วยลูกยุจากเพื่อนบ้านทั้งสอง ฉันแกล้งอำสามีไปว่า หลงทาง..พ่อตัวดีเริ่มเสียงว้าวุ่นมากขึ้น..ฉันอำอยู่พักใหญ่จนสงสารสามีตัวเอง ก็บอกไปว่า อยู่บ้าน Naseraนี่แหละ..สิ้นคำนั่น พ่อตัวดีกดวางสายทันที..วงแตก..งานเข้าซะแล้ว..สลายตัวบ้านใครบ้านมันโดยด่วน

ฉันนั่งจ๋อยงอนง้อสามีที่โกรธควันออกหู สำนึกผิดเมื่อเห็นหน้าและฟังเหตุผลจากปากที่พร่ำบ่นมุกตลกแบบไร้กาละเทศะของฉัน..ค่ะ ป้าสำนึกผิดแล้ว ต่อไปป้าจะไม่เล่นแบบนี้อีกแล้ว..ฮือๆๆ จากหนุ่มหน้าเปื้อนยิ้มมาตอนนี้เพิ่งเห็นสามีในโหมดพระเพลิง..น่ากลัวแบบไม่กล้าแหยมเลย..ฉันนึกหวั่นว่าเกิดเขาโกรธจัด ลงไม้ลงมือแบบพระเอกคุณพิศาล ประเภทตบจูบ ตบจูบ จะทำยังไง ถ้าตบแล้วจูบก็คงจะพอทำเนา แต่ท่าทางตอนนี้สามีอยากตบอย่างเดียวมากกว่า..ไม่มีจูบ..

Friday, January 28, 2011

มีงานให้ทำมั้ยครับ..Pôle emploi

ฉันขอเลิกเร็วกว่าปกติ 5 นาที เพื่อไปตามนัดกับ Pôle emploi ซึ่งคือหน่วยงานหนึ่งที่ทำหน้าที่หางานให้แก่คนว่างงาน รวมถึงการอบรมเพิ่มเติมแก่ผู้ว่างงานด้วย เพื่อให้สามารถหางานทำได้เร็วที่สุด..ระยะทางจากโรงเรียนถึง  Pôle emploi ถือว่าไม่ไกลถ้าขับรถ แต่ก็เล่นเอาหอบถ้าต้องเดินลงเนินเพื่อข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามไปที่หมายของฉัน..โชคดีที่พ่อตัวดีแวะมารับที่โรงเรียนนหลังจากเลิกงานในช่วงเช้า..ฉันเลยไม่ต้องเสียเหงื่อและมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ..ระหว่างหาที่จอดรถ เสียงมือถือของสามีดังขึ้น..เจ้าหน้าที่บ.ประกันภัยเอารถที่ไปส่งซ่อมมาเปลี่ยนกับรถที่เอามาให้ใช้ระหว่างส่งรถเข้าอู่..

 พ่อตัวดีบอกให้ฉันเข้าไปเองก่อน เดี๋ยวจะเลยเวลานัด เค้าจะรีบไปเปลี่ยนรถแล้วจะตามไปให้เร็วที่สุด..โดยก่อนที่จะบึ่งรถหายไปต่อหน้าฉัน ก็บอกติวประโยคที่ฉันต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่าฉันมาตามที่นัดไว้ตอนสิบเอ็ดโมงกว่า..เดินเข้าไปแบบรีบๆ เนื่องจากใกล้เวลานัดหมายแล้ว..ผู้คนมากมายที่มาติดต่อ ฉันเดินตรงไปต่อแถว ซ้อมบทอยู่คนเดียวเงียบ แต่ในหัวปั่นป่วนไปหมด  ..หลังจากปล่อยของที่เตรียมมานานไปกับเจ้าหน้าที่สาวสวยในชุดทำงานสุดเปรี้ยวนั่นแล้ว..ฉันลุ้นผลงานตัวเองจนลืมหายใจ..สรุปว่าไม่ผ่าน ยังสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง คราวนี้เลยงัดเอาเอกสารออกมาแสดงพร้อมตั้งตัวใหม่ พูดเสียงดังฟังชัดไม่อู้อี้ๆ เหมือนก่อนแล้ว..เออ ได้ผล หล่อนเข้าใจที่ฉันพูดแล้ว

ฉันถูกเชิญให้มานั่งที่โต๊ะกรอกรายละเอียดลงในแบบฟอร์มที่เจ้าหน้าที่ยื่นมาให้และขอพาสปอร์ตไปถ่ายสำเนา..ฉันพยายามกรอกเท่าที่กรอกได้ คือ ข้อมูลทั่วไป ประวัติการศึกษา..จนถึงประวัติการทำงาน..เจ้าหน้าที่สาวคนสวยที่เอาพาสปอร์ตมาส่งคืนพร้อมชะโงกมาขอดูรายละเอียดที่ขาดอยู่..เธอถามว่า เคยทำงานที่ฝรั่งเศสมั้ย ..แน่ละ ไม่เคยค่ะ..ปลายปากกาของเธอก็ขีดฆ่ารายละเอียดด้านการทำงานที่ฉันบรรจงกรอกไปเมื่อครู่..ซักถามเรื่องอื่นไม่นาน พ่อตัวดีก็เดินเข้ามาสมทบ..เรากรอกเอกสารจนเสร็จส่งคืนให้แล้วนั่งรอเข้าพบเจ้าหน้าที่..ไม่นานนักเราถูกเชิญให้เข้าไปในห้องแรก คือ เป็นการพบเพื่อแจ้งให้ทราบว่า เนื่องจากฉันไม่มีประวัติการทำงานในฝรั่งเศส นั่นก็หมายถึงไม่เคยมีประวัติการเสียภาษี ดังนั้น จึงไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือระหว่างหางานทำ ซึ่งก็นำเงินจากภาษีนั่นแหละมาช่วยเหลือ..ฉันไม่ติดใจอะไรนัก เพราะว่าไม่อยากได้เงิน ตอนนี้อยากได้ที่เรียนมากกว่า..ใช้เวลาไม่ถึงนาที เราออกมานั่งรอเพื่อเรียกสัมภาษณ์ในขั้นต่อไป

เกือบสิบห้านาทีเจ้าหน้าที่มาเชิญเราเข้าไปอีกห้องหนึ่ง..หลังจากเชิญนั่งและทักทายเป็นที่เรียบร้อย..เธอขอแบบฟอร์มรายละเอียดของฉันและ CV curriculum vitae เพื่อจะทำการลงประวัติของฉันเข้าสู่ระบบคนหางาน..เธอสักถามข้อมูลและกรอกเข้าระบบ..จากที่ดูเธอบอกว่าฉันมีทักษะค่อนข้างดี ที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี และประสบการณ์ทำงานมาหลายปี..นั่นจะทำให้ฉันมีโอกาสมากกว่าคนอื่น..แต่เธอคงลืมไปว่า ปัญหาของฉันคือ ฉันพูดฝรั่งเศสไม่ได้ต่างหาก ปากไวเท่าความคิดแต่ช้ากว่าสามี ..พ่อตัวดีโพล่งออกไปว่า แต่ภรรยาผมยังพูดฝรั่งเศสไม่ได้เลยนะครับ..แล้วแจ้งปัญหาที่ฉันไม่ได้รับสิทธิ์ให้เรียนจากโอฟี่..เราอยากให้ Pôle emploi ช่วยส่งฉันไปเรียนเพื่อจะได้มีโอกาสหางานทำได้ง่ายขึ้น เพราะว่าเราสองคนก็พยายามหาเรียนจากที่อื่นเช่น Maison de quartier  ..ฉันหวังว่าความพยายามที่เราทำไว้ เจ้าหน้าที่คงจะเห็นใจและหาที่เรียนให้  แต่กลายเป็นว่าเธอเห็นว่าฉันและพ่อตัวดีทำถูกแล้วที่ไปเรียนที่นั่น และฉันเองก็สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีซึ่งมันจะทำให้ฉันเรียนรู้ฝรั่งเศสได้เร็วกว่าต่างด้าวชาติอื่นที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ..แถมยังบอกให้เจ็บใจอีกด้วยว่า เธอจะสามารถส่งให้ฉันไปเรียนภาษาต่อในระดับที่สูงขึ้นได้..แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉันต้องได้ภาษาระดับพื้นฐานมาก่อน ซึ่งเธอคิดว่าอีกไม่เกินสี่เดือนข้างหน้าฉันน่าจะพูดได้ดีแล้ว...เอ่อ ไม่มีทักษะพื้นฐานแล้วไม่มีใครให้โอกาสไปเรียน แล้วฉันจะไปแสวงหาความฉลาดล้ำแบบนั้นมาจากไหน...

เธอลองหางานที่ฉันน่าจะทำได้ โดยเริ่มจากงานที่พูดภาษาไทยก่อน มีด้วย..คืองานแม่ครัวร้านอาหารไทยใน Chambery  อืมม..ไกลจากเมืองที่อยู่พอดู เกือบสองชั่วโมงแถมทำกับข้าวอีก..แม่ช้อยของฉันไม่รำนอกบ้านค่ะ..ขี้อายเก็บเนื้อเก็บตัวไม่กล้าแสดงออกสู่สายตาชาวโลก..นอกนั้นก็งานออฟฟิตแบบที่ฉันเคยทำมาแต่เป็นแบบใช้สองภาษา คือ ฝรั่งเศสและอังกฤษ..แต่อย่างว่าตอนนี้ตำแหน่งยังไม่มี..ที่ไหนๆก็มีแต่เอาคนออก..จากสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้..ฉันเข้าใจดีและรู้ดีว่า ณ ตอนนี้ ฉันเองก็ยังไม่พร้อมที่จะทำงานโดยภาษาฝรั่งเศส..เจ้าหน้าที่ยื่นตารางการรายงานตัวมาให้ ต้องทำทุกเดือนและสามารถทำได้ทางอินเตอร์เนท...หากฉันไม่ทำตามก็จะถูกตัดชื่อออกจากระบบคนว่างงาน..ไม่ได้รับความช่วยเหลือเริ่องการหางานอีกต่อไป..แต่ก็สามารถมาสมัครใหม่ได้อีก..แต่เสียเวลามาดำเนินการใหม่ทั้งหมด..

ความหวังที่จะได้เรียนกับที่นี่จบลงพร้อมกับที่เราเดินออกมาไปที่รถ..ฉันปลอบใจตัวเองอยู่เงียบว่า เอาเถอะ อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็มีที่เรียนอาทิตย์ละ 6 ชั่วโมง มันดีกว่าตอนเรียนเองที่บ้านเป็นไหนๆ แถมพ่อตัวดีก็พยายามช่วยสอนและพูดอังกฤษกับฉันให้น้อยลง..เพื่อฉันจะได้ฝึกตัวเองอยู่ตลอด ..ฉันคงจะรอความช่วยเหลือจากคนอื่นอย่างเดียวไม่ได้ซะแล้ว..ถ้าไม่ก้าวเดินแล้วเมื่อไรฉันจะวิ่งได้..วันนี้ฉันอาจจะยังคลานๆ คลำทางกับชีวิตแบบใหม่ที่นี่..มันนานพอที่ฉันควรจะเลิกกลัวเลิกอายแล้วผลักดันตัวเองให้พูดได้สักที..ฉันจะเริ่มลงมือทำมันและไม่หวนไปโทษตัวเองว่าตัดสินใจผิดที่มาอยู่ที่นี่..แล้วฉันจะผ่านมันไปได้ ฉันเชื่อแบบนั้น..

Thursday, January 27, 2011

ทำธุรกรรมที่ธนาคารและหอบสังขารไปหาคุณหมอ

เราพากันเดินไปที่ธนาคารใกล้ๆบ้านด้วยอาการสั่นสะท้านจากลมหนาวยะเยือกที่พัดมาแบบไม่สนใจใคร..พ่อตัวดีต้องการให้ฉันเปิดบัญชีธนาคารเพราะเป็นสิ่งจำเป็นหากเราได้งานทำแล้ว.เงินเดือนจะจ่ายเข้าบัญชีของเรา และห่วงในสวัสดิภาพของศรีภรรยา เนื่องจากชอบหนีไปช้อปปิ้งแถมจ่ายด้วยเงินสด และเป็นยูโรใบละหนึ่งร้อย เนื่องจากเวลาไปแลกเงินที่เมืองไทย มักไม่ค่อยจะมีแบงค์ย่อยให้สักเท่าไร..และไอ้เจ้าแบงค์ร้อยยูโรเนี่ยแหละ มักจะเป็นที่ต้องสงสัยของบรรดาแคชเชียร์ที่มักจะทำแบบเมืองไทย คือ ถ้าได้รับแบงค์พันมาจ่าย จำต้องยกขึ้นส่องดูว่าเงินปลอมหรือเปล่าทุกครั้งไป..ที่นี่ก็ทำแบบนั้นเช่นกัน แต่บางห้างก็จะมีเครื่องตรวจแบงค์แบบพกพาที่ไว้ตรวจแบงค์ 100 ยูโรโดยเฉพาะ..พ่อตัวดีคงกลัวฉันจะถูกปล้นหรือไม่ก็โดนแคชเชียร์ด่าเข้าสักวัน ..ซื้อของไม่ถึง 10 ยูโร แม่คุณเล่นยื่นด้วยร้อยยูโรตลอด..นิสัยชอบแตกแบงค์คงติดมาจากไทย

เมื่อมาถึงเราพบกับเจ้าหน้าที่สาวสวยคนเดิมกับที่เจอเมื่อคราวมาติดต่อทำเรื่องเปิดบัญชีเมื่ออาทิตย์ก่อน เธอเชิญเราเข้าไปนั่งในห้องทำงานด้านในที่แยกออกมาเป็นสัดส่วน  หน้าตาธนาคารที่นี่ไม่เหมือนกับที่เมืองไทยที่เวลาจะทำธุรกรรมอะไร ลูกค้าอย่างเราๆ จะเป็นคนเขียนกรอกแนบฟอร์มแล้วเดินไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ที่มีพนักงานหน้าแฉล้มรอต้อนรับอย่างน้อยสองคนต่อหนึ่งสาขา..เว้นแต่เราจะมาทำธุรกรรมอื่นๆ ที่นอกเหนือจาก ฝาก ถอน โอนเงิน ถึงจะเชิญเราไปติดต่อในที่ลับหูลับตา..เป็นการส่วนตัว  แต่ที่นี่ให้เดินตามมาด้านในเลย  ..ฉันยื่นพาสปอร์ต ,สมุดครอบครัวและ บิลค่าน้ำค่าไฟที่มีชื่อฉันอยู่ด้วยออกไปให้เจ้าหน้าที่สาวสวยตรงหน้าตามคำขอ..เธอแนะนำตัวว่าชื่อ เอมิลี่..ซึ่งต่อไปเธอคือเอเจนท์ที่ทำหน้าที่ดูแลบัญชีของฉัน มีอะไรก็ตามมาถามเอมิลี่อย่างเดียว..เอมิลี่พิมพ์ๆ พลิกๆดูเอกสาร แต่ปากก็เจื้อยแจ้วคอยสนทนาอยู่ไม่หยุด เพราะสามีช่างซักที่ถามโน่่น นี่ นั่นตลอด..

ฉันนั่งเซนต์เอกสารหลายแผ่นอยู่ตรงหน้า..เอมิลี่ถามว่าวันนี้จะเอาเงินเข้าบัญชีเลยมั้ย..ฉันพยักหน้ารับพร้อมยื่นแบงค์ร้อยยูรใบสุดท้ายในกระเป๋าออกไปให้  เอมิลี่ยิ้มขำๆ บอกว่ายังไม่ต้องเดี๋ยวพาออกไปเอาเงินใส่เครื่องด้านนอกเอง แต่ตอนนี้มาฟังเอมิลี่ขายประกันก่อน.. เอมิลี่แนะนำเรื่องประกันชีวิตที่จะหักเงินจากบัญชีของฉันส่วนหนึ่งต่อเดือน ไม่มากหรอกเหมือนประกันแบบออมทรัพย์ที่เมืองไทยนั่นแหละ..พ่อตัวดีเห็นดีเห็นงามที่จะให้ทำ ฉันก็ตกลงตามนั้น  เอมิลี่ยิ่นแฟ้มเอกสารมาให้ตรงหน้าพร้อมกระดาษหนึ่งใบที่บอกรหัสลูกค้า รหัสผ่านสำหรับการใช้งานมาให้..สำหรับอินเตอร์เนทแบงกิ้งนั่นแหละ..เราเดินตามเอมิลี่มาที่ตู้เอทีีเอ็มเพื่อเอาเงินเข้าบัญชี  เอมิลี่อธิบายขั้นตอนการเอาเงินเข้าบัญชีให้ฟัง..จ๊ะ ไม่ยากหรอกจ๊ะเอมิลี่ง่าย ป้าเข้าใจ หาเงินมาใส่บัญชีสิ ยากกว่า ..เหอะ

เอมิลี่เดินมาส่งที่หน้าประตูบอกว่าอีกอาทิตย์หนึ่งจะส่งรหัสสำหรับบัตรเอทีเอ็มไปให้ ส่วนตัวการ์ดให้มารับกับเธอที่สาขาเมื่อได้จดหมายแจ้งอีกที..เราจากลาคนสวยมาแล้วเดินตรงไปยังคลินิกที่อยู่ไม่ไกลเท่าไรนักทันที..พ่อตัวดีมีอาการเหมือนกรดไหลย้อน ทานยามานานก็เป็นๆ หายๆ วันนี้เลยมาให้หมอดูอีกครั้ง แถมพ่วงเอาฉันมาเพื่อจะให้ดูสารรูปมือขี้แพ้ของฉันที่ตอนนี้มันแตกระแหง เพียงแต่ไม่มีฝุ่นสีแดงเหมือนดินลูกรัง แต่เป็นเลือดแดงๆ ซิปๆที่ออกมาตามรอยแตกของผิวนั่นเอง..มีคนไข้มาคอยก่อนหน้า 2 คน ..พ่อตัวดีแจ้งกับพนักงานต้อนรับว่ามาตรวจตามที่นัดไว้ เธอขอชื่อไปแล้วบอกให้นั่งรอก่อน หมอประจำตัวของพ่อตัวดียังไม่มา..สายนิดหน่อย..รอประมาณ15 นาที มีหญิงสาวมาเชิญไปที่ห้อง..ฉันคิดว่าเธอคงเป็นพนักงานต้อนรับอีกคนที่มารับกะต่อจากยัยคนแรกที่เจอ ซึ่งตอนนี้หล่อนแต่งองค์เตรียมตัวจะกลับบ้านแล้ว..ที่ไหนได้สาวน้อยคนนั้น คือหมอนั่นเอง หน้ายังเด็กอยู่มาก แถมแต่งตัวธรรมดา ไม่มีเสื้อกราวน์เหมือนที่คุ้นชินตาจากเมืองไทย..

หมอแจ้งว่าวันนี้เธอตรวจแทนหมอประจำตัวของพ่อตัวดี เพราะว่าหมอมีอุบัติเหตุนิดหน่อยรถชนเลยมาไม่ได้..เราสองคนไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ขอให้ได้ตรวจเป็นพอ..ตรวจสามีก่อนซักข้อมูลแล้วเรียกไปชั่งน้ำหนักวัดความดันด้านใน จากนั้นก็ออกมาออกใบสั่งยาและใบส่งตัวให้ไปตรวจปัสสาวะและน้ำเชื้อเพื่อตรวจการติดเชื้อจากการโหมลดน้ำหนักทำให้ติดเชื้อในถุงอัณฑะว่าหายดีแล้วรึยัง และอีกใบคือให้ไปส่องกล้องดูช่องท้อง..ระหว่างนั้นก็มีสายเรียกเข้าอยู่ตลอด..หมอก็รับโทรศัพท์คนไข้ที่มาจองนัดด้วยเป็นระยะๆ ..จนหมอขอการ์ด vital ของสามีไปทำการกรอกข้อมูลต่างๆนานาๆ ก็ยื่นใบต่างๆ นานาที่ว่ามาให้ตรงหน้า..เอาล่ะ ของสามีเสร็จแล้วต่อไปถึงคิวฉันบ้าง..มือหยาบๆแตกๆยื่นออกไปตรงหน้าหมอ..หมอยื่นมือสวยๆของเธอมากดๆ คลำๆ ลูบๆ แผลที่มือและพลิกมือของฉันดูอีกด้านเพื่อหารอยแผลอื่นว่ามีอีกมั้ย..ฉันตอบไปว่าไม่มีแล้วค่ะ เป็นที่มืออย่างเดียว ..หมอพยักหน้ารับทราบแล้วถามว่า เป็นมานานแล้วใช่มั้ย ใช่ ฉันตอบไป..เป็นๆ หายๆ ..หมอคนสวยบอกว่าฉันแพ้สารเคมี..ฉันเลยบอกว่า แพ้โลหะ..พวกเหรียญ อลูมิเนียม..แต่หมอเสริมมาว่า สภาพแผลคือติดเชื้อร่วมด้วยเพราะเริ่มมีแผลเปื่อย..ซึ่งหมอคิดว่ามาจากการทำความสะอาดแล้วใช้สารเคมีเข้มข้นร่วมด้วย..

แดจังกึมภาคฝรั่งเศสรึเปล่าเนี่ย..แม่นมากฉันทำความสะอาดบ้านไล่ตั้งแต่ ห้องครัวยันถูพื้นใช้ Javel ก็คลอรีนเราดีๆนี่แหละ ทำความสะอาดฆ่าเชื้อ..แต่ตอนล้างเตาแก๊สดันขี้เกียจใส่ถุงมือ เชื้อมันคงมาหาตอนนั้น..หมอพิมพ์ใบจ่ายยาให้..แต่เหมือนว่าชื่อของฉันยังไม่เข้าไปอยู่ในฐานข้อมูลของประกันสังคม..ทั้งที่ยื่นเรื่องไปเกือบสองอาทิตย์..งานนี้เลยเสียค่าตรวจไป 6.8 ยูโร  แต่มาทำเรื่องเบิกคืนทีหลังได้..หมอพยายามอธิบายวิธีการดูแลมือของฉันเป็นภาษาอังกฤษ..แต่บางคำฟังแล้วก็ไม่เข้าใจทั้งฉันเองและหมอ  เลยหันไปบอกสามีแทนดีกว่า..ง่ายขึ้นเยอะ..หมอเดินออกมาส่งหน้าประตูพร้อมรอรับคนไข้รายต่อไป..เห็นแล้วนึกสงสารหมออยู่ลึกๆว่า ถ้าหมอย้ายไปเมืองไทย หมอจะเจอโลกใหม่ที่เราแทบจะกราบกรานหมอเลยทีเดียว ไม่ต้องทำเองทุกอย่างหัวซุกหัวซุนแบบนี้

ออกจากคลินิกแวะร้านขายยาต่อ.หมอจ่ายกาวิสคอนมาให้พ่อตัวดีกิน 3 เดือน ส่วนของฉันได้ยาพ่นฆ่าเชื้อ สเตียรอยด์ทาแก้คันและครีมบำรุงหลอดใหญ่ ระยะเวลา 3 เดือนเหมือนกัน..ของพ่อตัวดีรับยาฟรีไม่เสียตังค์เพราะประกันสังคมจ่าย แต่ส่วนของฉันต้องจ่ายเองไปก่อนแล้วเบิกทีหลัง..เภสัชกรคนสวยที่ฉลาดด้วยเลยบอกว่าของฉันเอาไปพอสำหรับเดือนเดียวก่อน พอยาหมดแล้วค่อยมาเอาใหม่ ตอนนั้นชื่อของฉันน่าจะเข้าระบบแล้วจะได้ไม่ต้องออกเงินไปก่อนเยอะ ...คนสวยน้ำใจงามคิดแทนวางแผนให้เสร็จ

หอบถุงยาใบใหญ่เข้าบ้านกันคนละถุง..นึกเทียบกับเมืองไทยว่า ไปหาหมอตามสิทธิ์ 30 บาทรักษาทุกโรคคงไม่ได้ยามากและดีขนาดดี ได้แต่พวกยาผสมแป้งเยอะๆตัวยาน้อยๆมาให้  แต่ที่นี่ยาที่ให้เป็นต้นตำรับทั้งนั้น มั่นใจได้ว่าได้ของดีมา..ฉันเข้าใจแล้วว่าจากภาษีมหาโหดที่จ่ายกันไป คนที่นี่ถึงต้องเรียกร้องสิทธิ์ในทุกทางทุกด้านให้สมกับเม็ดเงินที่เสียไปกับภาษี..ฉันคงยังต้องเรียนรู้อะไรจากที่นี่อีกเยอะ..พ่อตัวดีบอกว่า หมอทั่วไปแบบนี้เขายังมาตรวจกับฉันได้ แต่ต่อไปฉันต้องไปหาหมอเฉพาะทางสำหรับผู้หญิง..ซึ่งแน่นอนว่าฉันต้องไปคนเดียว  เล่นเอาฉันนึกหวั่นๆ ว่าจะคุยกับหมอรู้เรื่องมั้ย..แถมตรวจภายในอีก..โอ๊ย อายจัง..

Friday, January 21, 2011

ไปเรียนภาษากันเถอะ

ฉันมานั่งรอที่หน้า Maison de quartier รอเรียนภาษาสำหรับบ่ายวันนี้ ..หลังจากไปติดต่อฉันได้คอร์สภาษาที่เน้นการออกเสียง..เรียนจันทร์เช้าและอังคารเช้าและบ่าย..สามีมาหย่อนฉันทิ้งไว้และบึ่งรถไปทำงานกะบ่ายต่อ ก่อนไปถามเพื่อความแน่ใจว่าฉันกลับบ้านได้แน่นะ ฉันบอกว่าได้ ถึงตอนนี้จะนั่งรถเมล์ไม่เป็น แต่จากระยะสามป้ายรถเมล์ใกล้ๆ ฉันว่าเดินเอาก็ยังไหว

ก่อนเข้าเรียนฉันได้เจอบรรดาต่างด้าวแบบฉันเยอะแยะมาก สองสามีภรรยาจากอัลบาเนียวัย 50 ที่ต้องมาเรียนภาษากันใหม่หลังจากย้ายมาตั้งรกรากที่นี่  คุณป้าจากกัมพูชาที่ต้องมาเรียนภาษาเพิ่มเพราะจะทำการขอสัญชาตินั่นเอง รวมถึงหนุ่มสาวชาวอาหรับอีกหลายคนที่ต้องมาเรียนการอ่านเขียนเพราะพูดซะคล่องแต่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ก็มี  ระหว่างที่ครูอาสาสมัครทั้งหลายกำลังประชุมแบ่งนักเรียนกัน มาดามหรือครูคนแรกที่เป็นคนที่รับสมัครฉันเข้าเรียน บอกว่าให้ฉันไปเข้าร่วมกลุ่มสนทนากับเพื่อนๆนักเรียนคนอื่นๆ ไปพลางๆก่อน ฉันรีบออกตัวว่า เอ่อ ยังพูดไม่ได้เลย จะให้คุยยังไงมันยากนะ  ครูแหม่มสวนมาว่าก็แค่แนะนำตัว ลองพูดดู ..ฉันเดินไปหาสองสามีภรรยาจากอัลเบเนีย แนะนำตัวเอง ถามชื่อ ตามแบบฉบับที่เรียนมาเป๊ะ แรกๆ ก็เขินๆ หลังๆ ชักจะขำตัวเอง เลิกอาย เพราะว่า สองคนนั่นก็ไม่ต่างจากฉันสักเท่าไร แต่ดันคุยกันรู้เรื่อง..เออ มั่วจนได้ดี  ...หลังจากนั้นครูประชุมแบ่งนักเรียนกันแล้ว เราก็แยกย้ายไปตามมุมต่างๆของห้องเพื่อเริ่มเรียนตามโซน

ฉันเรียนกับครูแหม่มวัยกลางคนท่าทางใจดี พูดช้า เพราะอยากให้ฉันฟังทัน..เราเริ่มเรียนกันตั้งแต่คำทักทาย แต่ที่นี่ไม่ได้เน้นให้ฉันฟังอย่างตอนเรียนที่เมืองไทย..ฉันต้องอ่านแทบทุกคำให้ครูฟัง เพราะว่าครูอยากให้ฉันฝึกการออกเสียง.. เรียนไปทยอยทำแบบฝึกหัดไป แต่มีสือการสอนที่ดีมากแถมเรียนตัวต่อตัวทำให้ฉันลืมไปเลยว่า ครบสองชั่วโมงแล้ว..ก่อนกลับครูเอาชีทมาให้เพิ่มแล้วบอกว่า เธอจะมาแค่วันอังคารบ่ายเท่านั้น  เรียนคราวหน้าวันจันทร์ฉันคงต้องเรียนกับครูคนอืนก็เรียนต่อจากชีทนี่แล้วกัน

ฉันเดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าเดิมมาก ดีกว่าตอนที่นั่งอ่านหนังสือหมกตัวอยู่คนเดียวเป็นไหนๆ อย่างน้อยวันนี้ฉันได้เห็นผู้คนมากมายที่ยังต้องพยายามเรียนภาษาเหมือนฉัน มันทำให้ฉันมีแรงฮึดว่า ฉันไม่ได้แย่อยู่คนเดียว แถมระหว่างทางที่เดินลงเนินเขาเพื่อกลับบ้าน ครูคนหนึ่งแต่ไม่ได้สอนฉันจอดแวะถามว่าฉันจะไปไหน เธอจะไปส่ง ...ฉันบอกชื่อซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านไป..เพราะคิดว่ามันสะดวกกับทั้งฉันและครูไม่ต้องแวะไปส่งถึงบ้าน..ช่วงไม่ถึงห้านาทีเราก็พูดคุยกันด้วยดี ..อย่างน้อยฉันก็ภูมิใจที่เริ่มจะสื่อสารฝรั่งเศสได้ด้วยตัวเองบ้างแล้ว  จากเดิมที่พอมีสามข้างตัว ฉันก็จะไม่ใคร่พยายามเอ่ยวาจาออกมามากนัก

กลับมาถึงบ้าน รายงานตัวกับสามีที่ยังอยู่ที่ทำงานว่า ภรรยาถึงบ้านแล้วโดยสวัสดิภาพ มิต้องเป็นห่วง ..แล้วลงมือเก็บกวาดเคหะสถานที่ปล่อยให้รกรุงรังเพราะรีบไปเรียนแลัวนั่งพักผ่อนกายาอยู่หน้าทีวีพร้อมขนมนมเนยนานาชนิด..กินเอาตายแต่ทำงานเพียงหยิบมือ..แม่ผีเรือนจริงๆ...นั่งเพลินไปหน่อยจดมืดค่ำ สามีใกล้จะกลับ ฉันยังไม่ได้เตรียมมื้อเย็นเลย กระวีกระวาดเข้าไปในครัวหยิบโน่นฉวยนี่มาเตรียมทำสปาเกตตีผัดซอสให้คุณชาย..ต้มเส้นเพิ่งเส้นแบบอัลดันเต้ คุณเธอก็มาแสดงตัวต่อหน้าฉันในห้องครัว เพียงแต่วันนี้มาแปลกไม่พูดอังกฤษสักคำ พ่นฝรั่งเศสใส่อย่างเดียว..แต่ฉันยังคงตอบเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเดิม..แต่พ่อตัวดีทำเป็นไม่เข้าใจ บอกว่าฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจ..ให้ตอบเป็นฝรั่งเศส..เอาละสิ แล้วจะพูดยังไงให้สามีที่รักเข้าใจในไวยากรณ์นรกของฉันหล่ะ..

ค่ำนั้นระหว่างมื้อเย็นเป็นมื้อเย็นที่ใช้เวลาบนโต๊ะอาหารนานมาก อาหารตรงหน้าพร่องไปไม่เท่าไร ไม่ใช่เพราะว่ามันไม่อร่อย หรืออิ่มจนกินไม่ลง..ฉันใช้เวลาทั้งหมดในการแสดงท่าทางเพื่ออธิบายให้สามีฟังว่า วันนี้ไปทำอะไร เรียนเป็นยังไง เจอใครบ้าง มีเพื่อนรึยัง แล้วกลับมาบ้านยังไง..ถ้าพูดเป็นอังกฤษป่านนี้คงเล่าจบพร้อมฟาดอาหารตรงหน้าไปแล้ว แต่นี่ฝรั่งเศสล้วนๆ เล่าไป ขำไป คิดไม่ออกไป แต่ก็ต้องทำ เพราะถือว่าฝึกตัวเองแล้วก็เห็นใจพ่อตัวดีที่ถูกเพื่อนๆ และครอบครัวว่าตลอดว่า ที่ฉันยังพูดฝรั่งเศสไม่ได้เป็นความผิดของสามีเองที่ดันพูดอังกฤษกับฉันไม่เลิก..อา เบ เซ เด  มันไม่ง่านเหมือนเนื้อเพลง อาเซเดเฮ ที่เปิดเมื่อไรป้าแดนซ์กระจาย..ฉันได้แต่พยายามละทิ้งความอายออกไป พูดมันออกมาทั้งผิดๆถูกๆ อย่างน้อยฉันก็ได้ฝึก เวลาไม่เคยรอใคร แล้วฉันก็ไม่ควรที่จะละทิ้งโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองแค่เพราะฉันอาย..อายครูบ่รู้วิชา   ด้านได้อายอด..วินาทีนี้ฉันเลิกอาย ฉันพ่นสารพัดคำออกไปเพื่อจะจบการเล่าเรื่องชีวิตประจำวันวันนี้ออกไป เพราะตอนนี้ท้องไส้เรียกร้องให้จัดการกับอาหารตรงหน้าก่อน ซึ่งอาจารย์ที่นั่งอยู่ข้างๆคงได้ยินเสียงเรียกร้องนั้นดี..และไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์สปาเกตตีสังหารสามี จึงยินยอมยุติการติวเข้มนั่น..เพราะตอนนี้หน้าภรรยามันสลักคำว่า หิวๆๆๆ Tu as comprend?

Tuesday, January 18, 2011

เริ่มต้นเรียกร้องสิทธิ์

หลังจากได้สติกเกอร์มหัศจรรย์มาแล้ว..พ่อตัวดีพาฉันไปติดต่อที่สำนักงานประกันสังคม เพื่อที่จะทำเรื่องให้ฉันสามารถใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลในนามของสามีได้..ที่ถูกที่ควรแล้ว ฉันน่าจะใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่จดทะเบียนสมรสแล้วด้วยซ้ำ  แต่ที่เพิ่งจะมาได้ตอนนี้เพราะว่าประกันสังคมเล่นแง่ บอกว่าฉันยังถือแค่วีซ่าท่องเที่ยวระยะสั้น หรือแม้แต่ตอนมาติดต่ออีกครั้งหลังได้วีซ่าระยะยาวก็ยังไม่ยอมทำให้ อ้างว่าต้องมีการ์ด เด เซจูร์แล้วเท่านั้น

เราพากันไปติดต่อ Sécurity Sociérity ประกันสังคมนั่นแหละ ผู้คนมากมายแต่ส่วนมากที่เจอเป็นแขกอาหรับ หรือไม่ก็ผิวสี พากันมาติดต่อ มีกะเหรี่ยงเอเซียคือฉันคนเดียว ส่วนเจ้าของประเทศส่วนมากจะเป็นผู้สูงอายุ หรือแม่ลูกอ่อนที่กระเตงลูกมาติดต่อด้วยเลย..รอจนได้เข้าห้องไปพบเจ้าหน้าที่ที่เป็นลุงวัยกลางคนค่อนไปทางปลายใส่แว่นหนาๆที่ห้อยต่ำลงมาเกือบปลายดั้ง  พ่อตัวดีแจ้งความประสงค์ไปว่า จะมาเอาชื่อฉันใส่ร่วมกับประกันสังคมของเขา..ลุงขอดู catre de séjour การ์ด เด เซจูร์ หรือ การ์ดอนุญาติให้พำนักนั่นเอง

เหมือนเก็งข้อสอบถูกหมด..สิ้นเสียงสามีที่อธิบายว่า ฉันเพิ่งขอการ์ด เด เซจูร์เป็นครั้งแรก เพราะฉะนั้นจะได้แค่สติกเกอร์มหัศจรรย์ที่เคยเล่าไปแล้วก่อนหน้านี้..มาติดคู่วีซ่าระยะยาวเท่านั้น การ์ดแข็งจะได้ก็ต่อเมื่อขอต่ออายุการพำนักครั้งต่อไป ที่จะต้องยื่นขอก่อนวีซ่าระยะยาวหมดอายุ 2 เดือน

ลุงแว่นหนาก็บอกมาหน้าตาเรียบเฉยว่า ก็ต้องรอมาติดต่อคราวหน้าที่ได้การ์ดแข็งมาแล้วเท่านั้น..ฉันยื่นเอกสารที่ืทาง OFII สำเนาให้มาให้สามีไป มันเป็นข้อชี้แจ้งสิทธิ์ของต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่ในฝรั่งเศส ..เขียนระบุว่า ชาวต่างด้าวที่สมรมกับประชากรชาวฝรั่งเศสแล้ว มีสิทธิ์ใช้ประกันสังคมร่วมกับคู่สมรสนับแต่วันที่มีการสมรสเกิดขึ้น..ซึ่งพ่อตัวดีก็พยายามมาติดต่อขอทำเรื่องแต่ก็ได้คำตอบเดิมอยู่ทุกครั้ง..ลุงนั่งอ่านอยู่แวบเดียว เปลี่ยนแนวเลยที่นี้ ..ลุงขอพาสปอร์ตของฉัน livre de famille สมุดครอบครัวที่ได้มาตอนจดทะเบียน vital card ของสามี และใบเกิดของฉัน..ซึ่งต้องแนบใบเปลี่ยนชื่อไปให้ด้วย...ฉันแอบลุ้นอยู่ในใจว่าลุงจะเล่นแง่เรื่องใบเกิดของฉันที่แปลมาแล้วเกิน 3 เดือนหรือไม่ เพราะที่ฝรั่งเศสใบเกิดมีอายุแค่ 3 เดือน หมดอายุก็ไปขอใหม่ที่อำเภอ  แต่ปรากฎว่าลุงยอมให้ผ่านแต่โดยดีหลังจากงงนิดหน่อยกับใบเปลี่ยนชือ..ระหว่างที่ลุงเอาเอกสารทั้งหมดไปทำสำเนา ฉันก็กรอกแบบฟอร์มทีลุงยืนมาให้ก่อนหน้านี้ไป ซึ่งก็ใส่ข้อมูลพื้นฐานต่างๆ ของฉันและสามี..เสร็จเรียยร้อย ลุงก็ยื่นแบบฟอร์มมาให้หนึ่งใบ บอกว่าเวลาฉันไม่สบายไปหาหมอก็เอาใบนี้ให้หมอจะได้ใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลฟรี

ก่อนกลับบ้านเราแวะไปธนาคารเพื่อติดต่อขอเปิดบัญชีในนามของฉันเอง..ที่ต้องติดต่อหลายหน่วยงานเพราะว่าไหนๆสามีลางานมาแล้ว ต้องทำทุกอย่างให้เสร็จเลยทีเดียว..แต่ปรากฎว่าเราทำได้เพียงจองคิวที่จะมาเปิดบัญชีเท่านั้น..ธนาคารที่นี่ต้องนัดหมายกันล่วงหน้า ส่วนมากลูกค้าติดต่อกันผ่านโทรศัพท์หรืออินเตอร์เนทเท่านั้น  ฉันรู้แต่ว่าคราวหน้าต้องเตรียมพาสปอร์ตและเงินเปิดบัญชีขั้นต่ำ 50ยูโร มาเท่านั้นแหละ อย่างอืนฟังเขาพูดกันไม่ทัน

ระหว่างทางเดินไปที่ลานจอดรถหน้าประกันสังคม เราเดินผ่าน Maison de quartier พ่อตัวดีฉุดให้ฉันรีบเดินตามมาด้านในหลังจากดูเวลาทำการของที่นี่ที่ใกล้จะปิดแล้วในวันนั้น ..เราไปติอต่อขอเรียนคอร์สภาษาฝรั่งเศสสำหรับผู้ใหญ่แบบฉัน  ที่นี่มีสำนักงาน 4  สาขา แต่ถ้าฉันจะเรียนที่นี่จะได้เรียน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 2 ชั่วโมง ซึ่งจะสอนโดยอาสาสมัครที่มาทำงานช่วยเหลือสังคม แต่ว่าฉันจะต้องเรียน 2 สาขาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไร

เรากลับถึงบ้านแล้ว..พ่อตัวดีลงทะเบียนให้ฉันกับ pôle emploi หน่วยงานของรัฐที่ช่วยเหลือเรื่องการหางานให้ประชาชน..พ่อตัวดีลงทะเบียนไปทางอินเตอร์เนท แล้วหันมาบอกฉันที่เอาแต่นั่งอ่านโบร์ชัวร์เรื่องการเรียนภาษาว่า ...เดี๋ยวพรุ่งนี้จะโทรหา pôle emploi อีกครั้งเพื่อเล่าเคสของฉันให้ทราบเพือที่จะขอความช่วยเหลือเรื่องเรียนภาษา  ฉันใจชื้นขึ้นมาหน่อยว่าพอจะมีหนทางแล้ว..อย่างน้อยก็ลงทะเบียนหางานไปด้วย รอเรียนภาษาไปด้วย เผื่อมีงานก็อกๆแก็กๆทำไปก็จะดี..แต่ก็ยังขอให้สามีร่างจดหมายขอเรียนไปกับ OFII อีกทางหนึ่งด้วย..แต่แน่นอนก่อนที่จะไปเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากใครๆ ฉันเองก็ควรจะช่วยผลักดันตัวเอง ด้วยการอ่านหนังสือที่หอบหิ้วมาจากไทยแต่มิค่อยได้รับการเหลียวแลสักเท่าไร เพราะคาดหวังจะรอเรียนกับครูตัวเป็นๆ  แต่เมื่อฟ้าผ่ากลางอากาศแบบนี้คงจะไม่ไหวแล้ว..ฝึกเท่านั้นที่เราต้องทำ..

Friday, January 14, 2011

OFII ที่รัก

เรากำลังมุุ่งหน้าไปที่ OFII Grenoble (Office Francais de l'immigration et de l'intégration) ตามที่มีหมายเรียกให้ไปรายงานตัวเพื่อให้รับสติ๊กเกอร์มหัศจรรย์ตามที่พ่อตัวดีแอบแซว
มันมหัศจรรย์มากเพราะเสมือนต่อยอดวีซ่าระยะยาวที่ได้รับมาตอนขอวีซ่าระยะยาวติดตามคู่สมรส ด้วยตัววีซ่าเองฉันสามารถแค่อาศัยในฝรั่งเศสรวมถึงดินแดนโพ้นทะเลอื่นๆในครอบครองของฝรั่งเศสเท่านั้น มิสามารถเดินทางเข้าออกสหภาพยุโรปได้เหมือนเคยเฉกเช่นวีซ่าเชงเก้นที่ได้รับตอนขอวีซ่าระยะสั้น..แต่ช้าก่อน ถ้าคุณมีสติ๊กเกอร์มหัศจรรย์นี่แล้วละก็ สถานภาพของคุณจะเปลี่ยนไป คุณจะเดินทางเข้า-ออกในสหภาพยุโรปได้ดั่งชาวฝรั่งเศสพึงกระทำ คุณจะสามารถได้ชั่วโมงเรียนภาษาฟรี และการอบรมอื่นๆเพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตที่นี่..จวบจนไปถึงการสามารถทำงาน ใช้สิทธิ์ประกันสังคมร่วมกับสามี มีสิทธิ์เปิดบัญชีธนาคาร หรืออะไรก็ตามที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตที่นี่...

นัดหมายเวลาดีที่แปดโมงครึ่ง ฉันและพ่อตัวดีที่ออกจากบ้านก่อนเจ็ดโมงแจ้นขึ้นทางด่วนเข้าสู่เมือง Grenoble ถือว่าคาดการณ์มาถูกว่าจะเจอรถติดและเสียเวลาเดินหาอาคารสำนักงานของ OFII เรามาถึงตอนแปดโมงสิบห้านาที แต่ยังหลบความหนาวนั่งรออยู่ในรถเพราะว่าประตูยังไม่เปิดให้เข้าไป..จนเกือบแปดโมงครึ่งคนอื่นๆที่มารายงานตัวเหมือนกันก็ทยอยมา..สามสาวเอเซีย (ไทย เวียดนาม เกาหลี)และ สาวสามกับหนึ่งหนุ่มจากยูเครน พ่วงมากับหนุ่มใหญ่จากมาดากัสก้า..เราทยอยไปยื่นพาสปอร์ตและจดหมายนัดให้แก่เจ้าหน้าที่แล้วพากันเข้าไปนั่งรอที่ห้องอบรม..มีคำชี้แจงการอบรมหลากหลายภาษาไว้ให้แก่ผู้ที่ไม่เข้าใจภาษาฝรั่งเศส..แต่ไม่มีภาษาไทย จ๋อยไปแต่ไม่เป็นไรพ่อตัวดีบอกว่าเด๊๋ยวอธิบายให้ฟังเอง..(สามีสามารถ)

ดูเหมือนจะมีล่ามมาแปลภาษาให้ด้วยวันนี้คือ ภาษายูเครนและภาษาอังกฤษ สาวจังกึมและพ่อหนุ่มมาดากัสก้าที่พ่นฝรั่งเศสไฟแลบไม่จำเป็นต้องใช้ ส่วนสาวสวยจากเวียดนามที่ไม่ได้ทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษก็มีสามีเป็นล่ามกิติมศักดิ์แล้ว..คุณป้าล่ามภาษาอังกฤษจึงบ่ายหน้ามานั่งข้างๆฉันแทน..เอาน่า มีคนช่วยแปลให้ฟังตั้งสองคนท่าจะดี ฉันคิดไว้แบบนั้น แต่ไหงคุณป้าล่ามไม่พูดอังกฤษกับฉันหล่ะคะ..เอาแต่อธิบายเป็นฝรั่งเศส ซึ่งก็พอจะเข้าใจบ้างเพราะรู้ข้อมูลมาก่อนส่วนหนึ่งและป้าแกพยายามพูดช้าๆ ให้ฉันจับใจความได้ทัน..แค่แอบงงว่า สรุปแล้วป้าเป็นล่ามภาษาอะไรค่ะ..อย่าบอกนะว่าอังกฤษ..ชิ

แอบอิจฉาชาติอื่นที่เค้าสามารถเอาใบขับขี่มาเปลี่ยนเป็นของฝรั่งเศสได้เลย..แปดชีวิตต่างด้าววันนั้นมีฉันจากแดนสยามคนเดียวเนี่ยแหละที่ไม่สามารถเอาใบขับขี่ไปเปลี่ยนได้..(โอวว ฉันทำผิดอะไร )

เริ่มขั้นตอนโดยเจ้าหน้าที่สามคนเข้ามาอธิบายคร่าวๆ ว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง ตรวจร่างกาย เอ็กซเรย์ปอด สัมภาษณ์ข้อมูลส่วนตัวเพื่อจัดการอบรมอื่นๆให้ภายหลัง แล้วจากนั้นก็จะได้สติกเกอร์มหัศจรรย์นั่นมาครอบครอง..ตามข้อมูลที่หาจากในอินเตอร์เนท บอกว่าจะมีการเปิดวีดีโอให้ดูเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานของสังคมฝรั่งเศส ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง..แต่ที่นี่ไม่มี มีแต่เจ้าหน้าที่มาอธิบายว่าเจ้าสติกเกอร์มีดีอะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง แล้วก่อนสองเดือนที่มันจะหมดอายุขัยของมันที่เท่ากับอายุวีซ่าระยะยาวที่ได้มา ต้องขอการ์ด เดอ เซจูร์ อีกที่จะได้ปีต่อปี จนครบ 3 ปี ถึงจะได้การ์ดระยะยาวอายุ 10 ปี จากนั้นก็เลือกเอาว่าจะยื่นขอสัญชาติหรือไม่ ที่ทำได้หลังแต่งงานครบ 4ปี และอาศัยในฝรั่งเศสมาอย่างน้อย 3ปี งานนี้พ่อตัวดีแอบเม้าท์สาวสวยจากยูเครนที่เป็นคนถามว่าเมื่อไรจะขอสัญชาติได้ พอเจ้าหน้าที่ตอบว่า4 ปีหลังแต่งงาน ถึงกับทำหน้าเหยว่า ตั้ง 4ปี นานมาก..สงสัยจะไม่ค่อยรักสามีเท่าไร..(พอกันทั้งคู่เลยเนอะ..เรื่องชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเนี่ย) จากนั้นก็จะแยกย้ายไปตามห้องต่างๆเพื่อเริ่มทำขั้นตอนทั้งหมดแบบที่ว่ามา

ฉันถูกเรียกให้เข้าห้องสัมภาษณ์เป็นห้องแรก พ่อตัวดีไม่ตามมาด้วย มีแต่ป้าล่ามที่ตามมาเท่านั้น เจ้าหน้าที่ให้ฉันเช็คข้อมูลส่วนตัวของฉันจากหน้าจอมอนิเตอร์ว่าถูกต้องหรือไม่ แล้วเริ่มขอดูเอกสาร ฉันสารภาพเลยว่าฉันฟังไม่ออกเลย พูดเร็วมาก แต่พอจะเดาเอาได้ว่าเขาจะขอเอกสารอะไร..ฉันยื่นเอกสารใบประกาศสองใบที่ได้จากสถานฑูตที่กทม.ให้ดู เจ้าหน้าที่ถามถึงเรื่องการศึกษา ฉันก็ส่งใบปริญญาที่แอบไปแปลมาก่อนบินมาที่นี้ให้ดู แล้วถามเรื่องประวัติการทำงาน..ฉันตอบเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆเพราะคิดประโยคเป็นฝรั่งเศสตอบไปไม่ได้ สุดท้ายเจ้าหน้าที่กับป้าล่ามให้ฉันเลือกว่าจะมาอบรม la vie en france หรือไม่ ที่เกี่ยวกับการบรรยายประวัติและข้อมูลต่างๆของฝรั่งเศส ใช้เวลา 1วันเต็ม และจากนั้นก็จะช่วยเหลือในเรื่องให้ข้อมูลการหางาน..แต่ไม่ได้ช่วยหาให้นะ..แต่เดิมได้รู้มาว่า การอบรมนี้บังคับให้ต่างด้าวทุกคนเข้าฟังเพราะมีผลต่อการขอการ์ดอยู่อาศัยในปีต่อมา เมื่อเจ้าหน้าที่บอกให้ฉันเลือก ฉันจึงตกลงที่จะเข้าร่วมอย่างว่าง่าย..

แต่พอฉันอ่านรายละเอียดของสัญญาที่เอามาให้เซนต์ ส่วนของการรับการทดสอบภาษาเพื่อให้ได้ชั่วโมงเรียนฟรีที่กำหนดไว้ไม่เกิน 400 ชั่วโมง ฉันไม่มีระบุ เมื่อไถ่ถามไปเจ้าหน้าที่และอีป้าล่ามก็บอกว่า ฉันได้ใบประกาศการทดสอบภาษามาแล้วจากเมืองไทย เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาเรียนที่นีอีก ฉันรีบอธิบายไปว่าทดสอบแบบที่ว่ามันพื้นฐานมาก ฉันได้ใบประกาศก็จริงแต่ตอนนี้ฉันยังไม่สามารถจะสนทนา หรืออ่านเขียนได้ดีพอ ฉันต้องการที่จะเรียนเพราะว่าฉันเพียงฟังเข้าใจแต่ไม่สามารถพูดโต้ตอบได้เลย..ฝรั่งสองคนก็สวนมาว่า นั่่นคือปัญหาของฉันที่ไม่กล้าพูดออกมาเองต่างหาก ฉันต้องแก้ปัญหานั้นโดยกระโดดข้ามความกลัวแล้วพูดออกมา..ฉันยังไม่ยอมที่จะไม่ได้เรียนฟรี ฉันยืนยันว่าฉันจำเป็นที่จะต้องได้คอร์สเรียนจริงๆ ทำอย่างไรฉันถึงจะได้ ..เจ้าหน้าที่เลยบอกว่า กลับไปเขียนจดหมายส่งมาขออีกที ถ้าได้รับการพิจารณาก็จะได้คอร์สเรียน..แม่เจ้า

เดินจ๋อยๆออกมาหาสามีเล่าให้ฟังคร่าวๆ แล้วฉันก็ถูกเรียกไปเอ็กซเรย์ปอด..มีห้องเป็นสัดส่วนให้เปลี้องผ้าส่วนบนออกแม้กระทั่งบราฟองน้ำหนาๆของฉัน..เดินกอดอกเปลือยๆ ตามเจ้าหน้าที่เข้ามาอีกห้องด้านในเพื่อทำการเอ็กซเรย์ สงสัยพุงนำหน้านม ทำให้แหม่มเจ้าหน้าที่หันมาถามว่า ท้องอยู่รึเปล่า..ป่าวหรอก ไออ้วนเฉยๆ..ชิ เรียบร้อยแล้วก็ส่งให้ฉันไปใส่เสื้อผ้าได้แล้วนั่งรอฟิล์ม
แล้วรอพบพยาบาลเพื่อชั่งน้ำหนัก ส่วนสูง วัดสายตา ซึ่งงงๆกับชีวิตมากเพราะป้าแกหน้าดุมาก แล้วไม่พูดอังกฤษสักคำ เสร็จแล้วมารอพบแพทย์ ดีหน่อยที่หมอพูดอังกฤษ ไม่งั้นคงสนุก..หมอเป็นผู้ชายสั่งให้ฉันถอดเสื้อแล้วนอนบนเตียง..ฉันใจหายนิดนึงก่อนจะถามว่าต้องหมดเลยเหรอ บราด้วยเหรอ หมอบอกว่าไมต้องเหลือแค่บราก็พอ..ลุงหมอก็กดๆดูตรงท้อง คลำต่อมแถวคอ แล้วก็เอาหูฟังมาฟังตามท้อง อก หลัง ไหล่ ซึ่งปกติหมอไทยฟังเฉพาะที่หัวใจ นีแกฟังหมดทุกทีเลย..จากนั้นก็วัดความดัน ถามเรื่องสูบบุหรี่มั้ย เรื่องวัคซีน เรื่องยาประจำตัว..แค่นั้นเอง..แล้วก็ดูฟิล์ม แล้วส่งใบรับรองสุขภาพให้เป็นอันเสร็จ

จนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายทำการติดสติ๊กเกอร์มหัศจรรย์ถัดจากหน้าวีซ่า ฉันยื่นรูปถ่าย พาสปอร์ต ใบเสร็จค่าน้ำค่าไฟที่มีชื่อฉันแสดงอยู่ด้วย พร้อมหลักฐานการจ่ายเงินค่าแสตมป์อากร 340 ยูโร เจ้าหน้าที่ก็ทำการติดสติกเกอร์พร้อมส่งคืนมาให้ฉันเป็นอันเสร็จพิธี เกือบเที่ยงพอดี..ด้วยความที่พ่อตัวดียังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใส่ชื่อของฉันลงในประกันสังคมร่วมกับพ่อตัวดีที่ประกันสังคมไม่ยอมทำให้จนกว่าฉันจะได้การ์ดอยู่อาศัยแบบการ์ดแข็งไม่ใช่สติกเกอร์แปะลงในพาสปอร์ตแบบนี้..เลยต้องขอข้อมูลเอาไปยันกับประกันสังคมจนถึงถามเรื่องการเรียนภาษาของฉันอีกรอบ..แหม่มเจ้าหน้าที่คนนี้ก็ยิ้มเจื่อนๆแบบเห็นใจและจดรายละเอียดไปพร้อมบอกว่าจะติดต่อกลับมาอีกครั้งผ่านทางสามีเพื่อช่วยเหลือในเคสของฉัน แต่ก็ควรจะส่งจดหมายมาทิ้งไว้เป็นหลักฐานด้วยว่าเรามีการร้องขอคอร์สเรียนนอกเหนือจากการตัดสินของเจ้าหน้าที่



พ่อตัวดีคงรู้ว่าฉันจ๋อยที่ไม่ได้เรียน.. เขาบีบมือฉันเบาๆ แล้วบอกว่าไม่เป็นไร เรายังมีอีกหลายทาง..ไม่ต้องกังวลไป ต้องดีใจนะ ต่อไปได้หางานทำแล้ว วันนี้ดีจะตาย วันครบรอบวันเกิดสามีแถมเป็นวันที่ฉันได้ใช้สิทธิ์แบบคู่สมรสของชาวฝรั่งเศสเต็มขั้นสักที..จะมาจ๋อยทำไม..ฉันพยายามทำตัวให้ร่าเริงแต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด..ยังคงคิดถึงเรื่องเรียนภาษาต่อไปแบบเงียบๆอยู่คนเดียว

Sunday, January 9, 2011

รั้วรอบขอบเตียง

คุณจะรู้มาก่อนมั้ยว่า ต่อไปข้างหน้าจะต้องมานอนร่วมเตียงกับพ่อหนุ่มพุงโตที่มีอกอุ่นๆไว้ให้ซุกยามหนาว..แต่เขามีออพชั่นแถมมาให้ด้วย..ฉันไม่เคยรู้มาก่อนหรอกว่า พ่อตัวดีจะพกโรงสีข้าวไว้ด้วยตอนนอน..แรกๆฉันยังจำใจยอมทนเพราะเห็นแก่ว่าเขาคงเหนื่อยมาจากการทำงานแถมต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง กลับมาบ้านก็ตอนฟ้ามืดแล้ว..เลยปล่อยให้นอนบรรเลงเพลงไปตามอัธยาศัย..ส่วนฉันอาศัยที่อุดหูที่ได้แจกมาจากบนเครื่องมาช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง..แต่หลังความเกรงใจมันผันผวนกับเสียงกรนที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ฉันเริ่มแอบหนีไปนอนห้องอื่นบ้าง แอบไปช้อนคอพ่อตัวดีให้นอนในท่าที่ดีขึ้นบ้าง..

จนในที่สุดความเกรงใจมลายสูญ ฉันใช้สองมืออันหยาบกร้านเขย่าตัวสามีให้ตื่น..แล้วบอกให้รู้ตัวว่า เออ ยูกรนนะ เปลี่ยนท่านอนซะจะได้ไม่กรน..ทำแบบนี้ทุกครั้งที่เขาแสดงอาการ ซึ่งหลังๆอาการกรนดีขึ้นแต่มีอาการอื่นตามมาคือ ผายลม..ของจริง เสียงจริง ไม่ต้องใช้แสตนด์อิน..ตดได้ในทุกที่ ห้องนั่งเล่นระหว่างนั่งดูทีวี ห้องกินข้าวหลังจากซัดของหวานไปเรียบร้อย ไปจนถึงห้องนอน ซึ่งอาจจะต้องเรียกว่า ละเมอตด..เพราะแกตดแบบไม่รู้ตัวจริงๆ..แรกๆฉันก็รับไม่ค่อยได้ แสดงอาการหงุดหงิดนิดหน่อย แต่ฉันก็เพลาอาการของขึ้นนั่นลง เพราะสังเกตว่าสามีต้องเอ่ยปากขอโทษทุกครั้งที่ตด..จนฉันชินชาและรับได้ในที่สุดแต่เขาเองก็ยังพร่ำขอโทษทุกครั้งที่ตดแบบรู้ตัวทุกครั้ง..

ฉันนั่งดูละครฉากสามีภรรยานอนร่วมเตียง ดูโรแมนซ์สวยงาม ตื่นขึ้นมาพระเอกนางเอกจุมพิตรับวันใหม่ด้วยความดูดดื่ม ไม่มีอาการเมาขี้ตา..ฉันเองเคยนึกภาพแบบนั้นของตัวเองบ้างตามแบบฉบับสาว(แก่)ช่างฝัน..แต่แล้วก็พบว่าในความเป็นจริงนั้น สารรูปของฉันเองซะอีกที่จะดูไม่ได้ตอนตื่นนอน ผมที่บรรจงหวีให้เรียงเส้นสลวยก่อนเข้านอน ตอนนี้มันยุ่งเหยิงเป็นรังนกย่อมๆ ตาก็เกรอะกรังไปด้วยขี้ตา แถมในบ้างคืนมีแถมคราบน้ำลายที่มุมปากอีก..แต่คุณสามีดันบอกว่า ดีออก เซ็กซี่แบบธรรมชาติดี..(ขอบพระคุณค่ะสามี..เมียเยินแค่ไหนก็ยังชมเนี่ย)..

ตามมาด้วยเรื่องเข้าพระเข้านาง..ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สารพัดสารคดีเนื้อหนังทั้งญี่ปุ่น ฝรั่ง เกาหลี หากมีใครหยิบยื่นหรือส่งต่อ ฉันก็มักจะรับมาดูแบบไม่มีรีรอ..จนมาถึงคราวที่ต้องลงสนามจริงๆ สารพัดสื่อการเรียนการสอนเหล่านั้น ไม่ช่วยอะไรเลย สอบตกนอนตัวแข็งทื่อหลับหูหลับตาจนมันผ่านไป อาการหนักจนสามีพยายามไม่เข้าใกล้เพราะคิดว่าภรรยาเป็นพวกเกลียดกลัวการมีสัมพันธ์ ฉันพยายามที่จะปรับตัวเองให้เปิดใจกับเรื่องแบบนี้มากขึ้น..ไม่น่าสนุกนักหรอกที่จะต้องให้สามีมานั่งเสียใจ น้ำตาไหลทุกครั้งเพราะเขาคิดว่า มันเหมือนเขาข่มขืนฉัน โดยที่ฉันได้แต่หลับหูหลับตาให้มันผ่านพ้นไป ฉันรู้สึกขวยเขินที่จะต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะถามว่ามันสำคัญถึงขนาดไหน จริงๆแล้วมันไม่เหมือนแค่เอาคนสองคนมามีสัมพันธ์กันแล้วให้มันจบไปเหมือนในบรรดาสารคดีแม่แบบที่ดูมา..มันคือการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ของใจโดยอาศัยร่างกาย เพราะถ้ามันเป็นแค่ความใคร่ เขาคงไม่ต้องมาสนในเฝ้าถามอีกฝ่ายหรอกว่ามีความสุขหรือไม่

ฉันเป็นภรรยาก็อยากให้สามีอยู่กับเราแล้วมีความสุข การปรับตัวมันค่อยเป็นค่อยไป เหมือนการเขยิบสองอาณาเขตให้มาอยู่ร่วมกันได้ โดยที่ไม่ได้เสียความเป็นตัวเองออกไป เพียงแต่เริ่มที่จะเรียนรู้และเข้าใจอีกฝ่ายให้มากขึ้น และรู้จักงัดกลยุทธ์ต่างๆมาใช้เพือลดอารมณ์ขุ่นๆ มัวๆของคนสองคนออกไป..ฉันเรียนรู้ที่จะเปิดเผยความรู้สึกตัวเองออกมาให้มากขึ้น..เดิมที่ชอบจะเก็บทุกอย่างไว้ในใจ พอนานเข้ามันก็กลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่ไมน่าดูเอาซะเลย ส่วนพ่อตัวดีเรียนรู้ที่จะใส่ใจและคิดถึงความรู้สึกของฉันมากขึ้น..จากเดิมที่ออกแนวอยู่คนเดียวมานานจนลืมตัวไปว่าตอนนี้มีห่วงอันโตเกาะอยู่แน่นหนา..เป็นภารกิจที่ต้องทำกันไปชั่วชีวิตบางคนอาจคิดว่า ผู้หญิงเสียเปรียบในหลายๆอย่าง..มันอาจจะจริงหรือไม่จริง ฉันไม่สนใจที่จะหาคำตอบให้เสียเวลาและอาจจะเสียกำลังใจตัวเอง..ฉันคิดว่าเมือแต่งงานมันคือการแบ่งปัน เรียนรู้ที่จะให้และรับแบบที่เราเต็มใจไม่อึดอัด

หลายคนไขว่หา เฝ้ารอคนที่ดีพอดี..แต่ฉันก็ได้ข้อคิดว่าจากเพื่อนรุ่นพี่น้ำใจงามคนหนึ่งว่า เลิกแสวงหาคนที่ดีพอ มามองหาคนที่พอดีจะดีกว่า ฉันไม่มั่นใจหรอกว่าฉันและพ่อตัวดีเราเป็นคนที่ดีพอของกันและกันรึเปล่า ตอนนี้ฉันรู้แต่ว่าเราเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันให้มีความสุขในชีวิตคู่แบบพอดีมากกว่า

Tuesday, January 4, 2011

เมื่อแม่ช้อยต้องรำ

สองมือหยาบๆที่ขี้แพ้สารพัดทั้งน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก รวมถึงวัตถุที่เป็นโลหะ ยันเหรียญ ทำให้ฉันไม่ค่อยมีอารมณ์จะเป็นแม่ช้อยที่พกเสน่ห์ปลายจวักมาเองสักเท่าไร..ออกจากบ้านเพื่อตะลีตะเหลือกไปทำงาน(ต้องตะลีตะเหลือกเพราะตื่นสาย..เข้างานไม่ทัน) กว่าจะกลับบ้านอีกทีก็ค่ำมืด..จึงเป็นข้ออ้างที่ดีมากสำหรับการไม่เข้าครัว แถมด้วยความที่แม่ของฉันเองนั่นฝืมือทำกับข้าวเข้าขั้นเทพมากๆ แล้วฉันจะเสียเวลามาเข้าครัวจับตะหลิวให้แม่กริ้วทำไม..แทบทุกครั้งถ้าฉันลงมือทำอะไรก็ตาม แม่จะดูขัดตาขัดใจกับท่วงท่าลีลาของฉันมาก..มันดูเก้งก้าง ลุกลี้ลุกลนปนน่าสมเพช..พี่ชายของฉันซะอีกที่ยังได้ฝีมือการทำอาหารไปจากแม่บ้าง

อยู่เมืองไทยของกินมีมากมายสารพัดเมนูให้เลือกสรร ตั้งแต่เดลิเวรี่ส่งฟรี(จริงหรือ) ถึงบ้าน ไปยันเสาะแสวงหาเอาได้ตามความต้องการของท่านๆ ไล่ไปตั้งแต่สารพัดอาหารตามสั่ง ข้าวหมูแดงรสเลิศ บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง ก๋วยเตี๊ยวลูกชิ้นปลาร้อนๆ ยันปลาหมึกปิ้งน้ำจิ้มแซ่บๆ ที่เอ่ยมายังไม่ถึงครึ่งของอาหารที่สามารถหาได้ที่ตลาดโต้รุ้งใกล้บ้าน..แถมมี 7-11 ที่บอกว่าหิวเมื่อไรให้แวะมา..ขยันเปิดมันตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด สอดคล้องวิถีคนไทยที่ไม่ยอมหลับยอมนอนได้ดี ..จำได้ลางๆว่า สมัยยังสาวหลังจากผับปิดตอนตีสอง ก๊งมาได้ที เพื่อนขอแวะกินข้ามต้มข้างทางแก้เมาก่อนกลับบ้าน..ต้มยำรสแซ่บ ไข่เจียวปูฟู ผัดผักบุ้งไฟแดง แถมด้วยยำปลาสิดไข่เค็ม..เอ่ยมาล้วนน่าทาน..แต่เมรีขี้เมาแบบฉันตอนนั้น ได้กลิ่นอาหารขึ้นมาแล้วต้องรีบขอถุงหิ้วจากเด็กเสริ์ฟเลย..ไม่ได้จะมาห่ออาหารกลับบ้านนะ..เอามาอาเจียน..ส่วนอีเพื่อนก็ตั้งหน้าตั้งตาซดน้ำต้มยำกันซี้ดซ้าดได้อารมณ์ ปล่อยให้ฉันฟุบหน้าลงข้างๆจานไข่เจียวปูต่อไปพร้อมมือที่ถือถุงอ้วกไว้แน่นหนา..(เมาแบบมีศักดิ์ศรี ไม่เดือดร้อน เลอะเทอะใคร)นี่คือความอุดมสมบูรณ์ของกรุงเทพ..หาของกินได้ตลอดเวลาจริงๆ

แต่พอฉันเปลี่ยนมาอยู่ที่นี่..แน่นอนว่า อาหารไทยมันไม่ได้มีมากมายเหมือนกรุงเทพฯ อันนี้ฉันทำใจมาก่อนแล้ว ครั้นมาเจอวัฒนธรรมการกินที่มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมืองไทย อาทิเช่น..การกินอาหารแยกประเภทเป็นอย่างๆ พ่อตัวดีเคยเสิร์ฟเพนเน่(พาสต้าหลอดตรงๆตัดปลายเฉียงทั้งสองด้านยาวประมาณ ห้าเซนติเมตร)ที่ต้มสุกแต่ไร้การปรุงรสใดๆ มาพร้อมแฮมสดที่ก็ไม่ผ่านความร้อนใดๆมาให้อีกเช่นกัน..แล้วเอามอสซาเลลาชีสมาให้โรยหน้าเส้นเพนเน่เท่านั้น..กล้ำกลืนฝืนกินเอาใจสามีอยู่สองครั้งโดยตัวช่วยเกลือ พริกไทย ซอสมะเขือเทศแล้วแอบเอาไปเวฟต่ออีกสองนาที..ในขณะที่คุณชายเคี้ยวแฮมอย่างอร่อยจดหมด แล้วค่อยหันมาจัดการกับเพนเน่ที่มีชีสเยิ้มคลุมอยู่อย่างสบายอารมณ์ แต่พอฉันบรรจงทำข้าวหมูแดงมาถวายตรงหน้า พ่อคุณเล่นจิ้มๆเอาหมูแดงที่ราดซอสชุ่มๆไปกินจนหมดตามด้วยหมูกรอบและไข่ต้ม แล้วค่อยหันมาละเลียดกินข้าวหอมมะลินิ่มๆตัวขาวๆ อวบๆ นั่นเพียงลำพัง..ฉันพยายามสอนการกินแบบคนไทยให้หลายครั้ง..สุดท้ายก็ยังกินแบบของเขาอยู่ดี..ตามใจหล่อน..ไม่อยากจะขัดศรัทธา

เมื่อสวรรค์ประทานให้ฉันเจอร้านเอเซียในเมืองที่อยู่แล้ว ฉันออกอาการดีใจมากเดินอยู่ในนั้น สนุกว่าไปเดินช้อปปิ้งดูเสื้อผ้าอีก ฉันหยิบแทบจะทุกอย่างที่รู้จักและเป็นของไทยลงรถเข็นตั้งแต่ ข้าวสาร น้ำปลา ซีอิ้วขาว น้ำพริกเผา กะปิ พริกขี้หนู มาม่า เส้นหมี่ วุ้นเส้น ฯลฯ โดยมีสามีตัวดีที่วันนั้นฉันชมเขาไม่ขาดปากว่า ดีจัง น่ารักที่สุด ทั้งที่ปกติไม่เคยเลยจะพูดหวานๆด้วย..เขาบอกว่า ซื้อไปเลยอยากได้อะไรก็หยิบไป เขาชอบดูตอนฉันเลือกของ มันเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ หยิบไปยิ้มไปแถมบางทีมีกรี๊ดด้วย..(ป้าลืมตัว)

หลังจากเครื่องปรุงพร้อมแต่คนยังไม่พร้อม ด้วยความอยากเป็นตัวผลักดันหลังจากคลอดอาหารง่ายๆจำพวกข้าวไข่เจียวหมูสับ หมูกระเทียม ข้าวผัด ออกมาขายแทนอาหารของพ่อตัวดีแล้ว..ฉันก็เริ่มหาสูตรทำอาหารอื่นๆตามมา ไข่พะโล้ ข้าวหมูแดง หมูอบน้ำผึ้ง แกงส้ม ซุปไก่ หมูสะเต๊ะ แน่นอนบางอย่างมีผู้ช่วย..โลโบ้เท่านั้นอร่อย (ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ พูดตามความจริง หลังๆ ถึงจะมีพวก ไอเชฟ อะไรๆตามมาอีกหลายยี่ห้อก็ไม่เคยได้ค่าโฆษณาอะไร..จริงๆนะ) จากแรกๆที่ผัดหมี่เส้นยังกรุบๆแข็งๆ..หมูอบที่หนักน้ำตาลจนหวานเจี๊ยบ แต่หลังจากทำหลายๆครั้ง มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนแปลกใจตัวเองว่า เออ จะทำจริงๆ ก็ทำได้นะ ฉันทำเองอร่อยเองกันสองคน จนพ่อตัวดีอาจหาญไปเชิญเพื่อนมาทานข้าวที่บ้านนั่นแหละ ด้วยอารมณ์อยากโชว์ฝีมือศรีภรรยา

ฉันนำเสนอมื้อเย็นมื้อนั่นด้วย เปาะเปี๊ยแฮมชีส สเต็กหมูแดง(อันนี้โลโบ้ช่วยได้) ข้าวผัดธัญพืชที่แอบโรยหมูหยองไปเชิดชูรสชาติไว้ สลัดผัก ตบท้ายด้วยของหวาน Flan de coco คัสตาร์ดกะทิแต่จริงๆมันเหมือนขนมหม้อแกงมากกว่านะ.. ผ่านไปได้ด้วยดีหรือแขกเหรื่อที่มากล้ำกลืนทานกันก็ไม่รู้ได้ ทานกันจนหมดแต่คนทำอย่างฉันแอบลุ้นทุกคำของทุกคนเลยว่าจะกินได้มั้ย..เล่นเอาเครียดและเหนื่อยไปเลยทีเดียว จากนั้นฉันก็ได้ต้อนรับเพื่อนๆสามีอีกหลายครอบครัวที่ทยอยมาชื่นชมอาหารไทยแบบของฉัน..นั่นแหละฉันเริ่มต้องหาสูตรที่ง่ายทำไม่ยาก รสไม่จัดมานำเสนอมากขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อฉันคุยกับครอบครัวหรือเพื่อนๆที่เมืองไทย ทุกคนต่างตะลึงว่า ฉันทำไอ้พวกที่ว่ามาได้ด้วยเหรอ ไม่น่าเชื่อ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแหละว่า ความอยากมันชนะทุกสิ่ง มันผลักดันให้ฉันต้องขวนขวายสารพัดเมนูมาบรรเทาความโหยหาอาหารไทย และแถมด้วยความไม่ยอมแพ้เมื่อพ่อตัวดีบอกว่า เขาจะทำขนมไทยให้ฉันกินแต่ไปกางสูตรเวียดนามที่บอกว่านี่คือขนมไทย..ฉันเลยต้องหาวิธีทำข้าวเหนียวสังขยามาสู่สายตาชาวโลกแบบไม่เคยนึกฝันว่าชีวิตนี้จะมูนข้าวเหนี่ยวกินเอง..แม่ช้อยของฉันอาจจะรำคร่อมจังหวะไปบ้าง หรือลืมท่ารำอยู่บ่อยๆ..แต่มันก็ทำให้รู้ว่าไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ถ้าพยายาม..เนอะแม่ช้อยเนอะ

ปล.ขอขอบพระคุณสารพัดเวบไซด์ ครัวไกลบ้าน หรือ pantip ห้องก้นครั ฯลฯ ที่ท่านผู้ใจดีมีเมตตามารีวิววิธีการทำอาหารต่างๆเป็นวิทยาทานแก่สาวไทยไกลบ้านแบบฉันได้คัดลอกตามอัธยาศัย

Monday, January 3, 2011

OH yeh yeh>> Mr.Postman

หนึ่งอาทิตย์แล้วที่ฉับกลับมาแดนน้ำหอมอีกครั้ง คราวนี้ถือเป็นการมาตั้งรกรากระยะยาวเลยทีเดียว เพราะไม่ต้องบินกลับไปต่อวีซ่าที่เมืองไทยอีกแล้ว..แต่พอมาเจอหิมะที่มาเร็วกว่ากำหนด จากคนที่เคยกรี๊ดกร๊าดเป็นบ้าเป็นหลังตอนเห็นหิมะ..ถึงขนาดโยนตะหลิวทิ้ง วิ่งไปคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายรูปเกล็ดหิมะที่โปรยมาขาวโพลนไปหมด ก็ทำมาแล้ว..แต่ตอนนี้เจอของจริงที่เห็นแต่หิมะเต็มไปหมด..หนาวจนเสื้อแจ็กเก็ตที่ฝากเพื่อนซื้อมาจากฮ่องกงหวังว่าจะทนความหนาวได้บ้าง..สรุปว่าแพ้ยับ ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางข้ามวันข้ามคืนบวกกับความหนาวที่ร่างกายปรับไม่ทัน ทำให้ฉันนอนจับไข้เป็นอาทิตย์ตั้งแต่กลับมา บรรดาเพื่อนพ่อตัวดีที่ขยันกันเชิญไปทานข้าวเย็น ต่างก็เตรียมข้าวปลาอาหารเก้อ เพราะอาการฉันจะดีๆในช่วงเช้าๆ พอจะมีเรี่ยวแรง แต่พอตกเย็นเริ่มแล้วอาการออก หนาว ไข้ตัวร้อน มึนหัวมาก สุดท้ายแพ้น๊อค..อดไปกินข้าวฟรีทุกครั้งไป

พ่อตัวดีทนไม่ไหว จับฉันใส่เสื้อ(เก่าๆของเขา สมัยยังหนุ่ม)ประมาณห้าชั้น ถุงมืออย่างหนา ถุงเท้าขาวถึงเข่า ออกมาหาซื้อเครื่องกันหนาวให้ฉันอีก..ฉันได้บอดี้สูทคล้ายๆที่ใส่ดำน้ำพร้อมกางเกงเจ้านี่ใส่เป็นปราการแรก ถัดมาคือลองจอนอย่างหนาอันนี้ใส่หลังจากใส่เสื้อปกติ จากลองจอนต่อด้วยสเวตเตอร์ที่ไม่หนามากแต่อุ่นดีจัง..แล้วค่อยตามด้วยแจ็กเก็ตและผ้าพันคออีกชั้น ฉันใช้มารยาสาไถขอซื้อบูทมาใส่เริ่ดๆแบบสาวแฟชั่นบ้าง..คู่นี้พ่อตัวดีก็ว่าไม่เหมาะ สวย เฉี่ยวแต่จะเดินแล้วลื่นง่าย..บลาๆๆ ท้ายที่สุด ฉันได้บูทมาลุยหิมะ พื้นยางหนาๆ แน่นอนว่ามันไม่ลื่น แต่หาได้มีความสวย เก๋ แม้สักนิดไม่ ใส่แล้วเหมือนคนงานจะออกไปโกยหิมะ..ไม่ได้ดูสวยระหง ขายาวขึ้นมาบ้างเลย..กรี๊ดๆๆ เจ็บใจนังตัวดี..

หน้าหนาวที่กรุงเทพก็ยังแตะสามสิบสามองศาแต่มาอยู่นี่ติดลบห้า..เกือบสี่สิบองศาที่มันแตกต่างกัน..คิดแล้วก็สมควรจะไข้เนอะ แถมฉันเป็นมนุษย์ที่ชอบบริโภคน้ำแข็งมาก..มาอยู่นี่ฉันก็ยังแอบกินน้ำแข็งที่พ่อตัวดีสั่งห้ามไว้แล้ว..กินน้ำแข็งทีไรได้เรื่องทุกที..ฉันกินโค้กใส่น้ำแข็งเย็นเจี๊ยบชื่นใจได้สักพัก พอหนาวก็เดินไปหน้าฮีตเตอร์อังไอร้อน..เวียนไปแบบนี้..ตกบ่ายได้เวลาจับไข้ที่ไม่รู้จะด่าใครดีนอกจากตัวเอง

วันนี้ฉันเริ่มมีสติว่า เอ่อ จะมานั่งเป็นไข้ไม่สบายแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ หลังจากที่พ่อตัวดีเอาสารพัดอาหารและยาแก้ไข้มากองตรงหน้าพร้อมโทรศัพท์ บอกว่า กินซะถ้าอาการหนักมากให้โทรหาด้วย..อยากอยู่ดูแลแต่ว่าต้องไปทำงานนะ..ฉันที่ยังอาการไม่แย่มาก เพราะว่ายังไม่ได้แอบไปกินน้ำแข็ง พยักรับคำเหมือนเด็กว่าง่าย..ฉันเริ่มหาข้อมูลว่าควรจะติดต่อกับ OFII เพื่อทำการส่งแบบฟอร์มขอการ์ดเดอ เซ จู ,สำเนาหน้าพาสปอร์ตและหน้าที่มีตราประทับเข้าประเทศ ว่าควรทำอย่างไร..จนได้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ พ่อตัวดีตัดสินใจโทรไปถามรายละเอียดอีกครั้งก่อนที่เราจะเริ่มทำอะไรต่อไป..ได้ความว่า ยูสองคนไม่ต้องมาหาที่สำนักงานเลยนะ..แค่ส่งเอกสารที่ว่าทั้งหมดใส่ไปรษณีย์มาก็พอ..แหม..คนอยากเห็นหน้าก็ไม่ได้ ไม่ไปก็ได้..

เราเลยบ่ายหน้าไปที่ไปรษณีย์แทน..ฉันถือซองเอกสารที่จะส่งไว้ในมือ ก่อนส่งเอกสารไปทั้งหมด ฉันสแกนเก็บเอาไว้ก่อน..เกิดว่าไปรษณีย์ทำหล่นแล้วฉันจะไปเอาที่ไหนได้อีก..ของอย่างนี้ รอบคอบไว้ก่อนเป็นดีที่สุด

สามีตัวดีคงอยากจะฝึกฉันมาก รีบดันฉันไปที่หน้าเคาน์เตอร์แล้วบอกว่า งานนี้เขาไม่ช่วยนะ ให้ฉันลองพูดเอง..นังบ้า..แล้วหล่อนจะไม่ให้ฉันเตรียมตัวมาก่อนเลยรึไง..ฉันยิ้มแหยๆ กล่าว บงชู่ว์กับลุงใส่แว่นหน้าดุตรงหน้า..อารมณ์คงไม่ค่อยดีที่มาเจอกะเหรี่ยงแบบฉัน.. Je voudrais envoyer cette letter, sil vous plait. เฌอ วูเด องโวเย เซท เลทเทอร์ ซิล วู แปล่ ฉันจะส่งจดหมายนี้ค่ะ..(อันนี้พูดไปตามไวยากรณ์มั่วๆแบบของฉันนะคะ..ห้ามลอกเลียนแบบ) en Recommandée Avec Accusé de Réception aussi, sil vous plait. เสียงพ่อตัวดีที่อยู่ข้างหลังสำทับตามหลังมา คือ ส่งแบบลงทะเบียนด้วยนะครับ หึ สุดท้ายแล้วก็ช่วยจนได้..ลุงหน้าดุที่ตอนนี้มุมปากเริ่มอมยิ้ม ส่งแบบฟอร์มมาให้ฉันใบหนึ่ง แน่ละ ฉันต้องกรอกเอง..ฉันกรอกรายละเอียดที่อยู่ของ OFII ลงไป ที่มุมบนซ้าย ส่วนชื่อที่อยู่ของฉัน ที่กรอบสีเหลี่ยมใหญ่ๆ ด้านขวา..ถามว่าอ่านออกเหรอ..เปล่าหรอกค่ะ เดาเอาจากศัพท์บางคำ..ฉันส่งคืนให้ลุงซึ่งรับไปดูแล้วเหมือนช่วยตรวจดูว่าถูกรึเปล่า ลุงแปะๆ ปั๊มๆ เอาเข้าเครื่องชั่ง แล้วเอ่ยปากบอกค่าธรรมเนียม เกือบห้ายูโรสำหรับส่งเอกสารหกแผ่้น..แพงจังเลยค่ะคุณลุง..รับเงินทอนมาพร้อมสำเนาแบบฟอร์มที่ฉันเพิ่งกรอกไปเมื่อครู่

วันถัดมาฉันก็ได้รับใบแจ้งว่าจดหมายถึงผู้รับแล้ว..เร็วดีจัง แถมวันต่อมา OFII ก็มีจดหมายส่งมาหาว่าได้รับเอกสารที่ส่งมาแล้ว มีอะไรบ้าง..แล้วจะส่งจดหมายนัดมาอีก.. หายไปสองวัน คราวนี้ได้จดหมายนัดให้ไปรายงานตัว ตรวจร่างกาย สัมภาษณ์เพื่อวัดระดับภาษา ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า..เร็วดีจัง..แต่นัดล่วงหน้านานจัง คงเป็นเพราะเดือนนี้มันเดือนของคริสต์มาสละมัง กลางเดือนแบบนี้เลยไม่ใครสนใจจะทำงานแล้ว..เหอๆๆ ฉันแกะออกมาอ่าน เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็อยากจะดูด้วยความตื่นเต้น เปิดดิกหาศัพท์แปลไปเรือย แต่ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจจนต้องรอพ่อตัวดีมาอ่านให้ฟัง ..พ่อตัวดีเตรียมลางานไว้เลยล่วงหน้า จะได้ไม่ขัดใจเจ้านาย..อ่านรายละเอียดของเอกสารที่ต้องเตรียมไป..มีหลักฐานที่อยู่อาศัยเช่น พวกบิลค่าน้ำค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน..ที่ต้องมีชื่อฉันอยู่ในนั้นด้วย..ร้อนถึงสามีต้องโทรไปถามอีกว่า เอกสารที่ว่าคืออะไร..ติดต่อไปๆมาๆหลายที่ วันต่อมาฉันก็เห็นบิลค่าน้ำค่าไฟที่มืชื่อฉันร่วมอยู่กับพ่อตัวดีอยู่..ตอนนี้เหลือแค่ซื้อแสมป์อากร 340 ยูโร แล้วรอไปรายงานตัว ..แพงจริงๆ จ่ายโน่น นี่ นั่น หยุมหยิมไปหมดจนเริ่มสงสารสามีตัวเองจริงๆ

มีเวลาหนึ่งเดือนในการฝึกปรือทักษะภาษา..แต่คราวนี้ฉันไม่ได้นั่งท่องนั่งอ่านอะไรมาก เพราะว่าฉันอยากได้ชั่วโมงเรียนเยอะๆ เรียนฟรีที่นี่เยอะๆ อย่างน้อยฉันก็มืออะไรทำและได้เจอผู้คนและจะได้เจอเพื่อนๆแม่บ้่านผู้ร่วมชะตากรรมอีกหลายคนต่อไป..

Saturday, January 1, 2011

ฝ่าพายุหิมะ มาหานะเธอ

ฉันมายื่นแจกยิ้มสยามให้พนักงานเช็คอินสายการบินแอร์ฟรานซ์อยู่พักใหญ่..สายการบินนี้ขึ้นชื่อมากเรื่องคุมเข้มน้ำหนักกระเป๋าเกินนิดๆหน่อยๆ อย่าได้หวังมาขอเด็ดขาด..แล้วสัมภาระที่ฉันตัดใจขนเข้าขนออกอยู่หลายรอบ ตอนนี้มันยี่สิบสี่กิโล เกินมาหนึ่งกิโล..แล้วกระเป๋าที่จะหิ้วขึ้นเครื่องที่ให้สิบสองกิโล ตอนนี้มันพอดีเป๊ะมาก..เอาน่าขอเถอะ กว่าฉันจะได้กลับเมืองไทยคงปีหน้า โอกาสนี้ขอขนไปประทังชีวิตต่างแดนก่อนนะ..

ฉันยังนึกเคืองสามีอยู่นิดหน่อย ไม่รู้ด้วยความที่เขาซื่อหรือฉันพูดไม่เคลียร์ไม่รู้..หลังจากที่ได้วีซ่าแล้วสามีก็ถามว่าจะกลับมาเมื่อไรจะได้ส่งตั๋วมาให้..ฉันบอกไปว่าขออยู่กับแม่อีกหน่อยแล้วกันนะ ขอกลับเดือนหน้าแล้วกัน..สามีรับปากว่าได้เลยไม่มีปัญหา..แต่อีกอาทิตย์หลังจากนั้น ฉันได้รับตั๋วเครื่องบิน เดินทางวันแรกของเดือนถัดมาเลย..เยี่ยมจริงๆ คิดถึงเมียมากเหรอค่ะ..จากนั้นแผนการณ์ที่ว่าจะทยอยไปลาญาติๆ เพื่อนฝูง ใช้เวลากับครอบครัวก็ต้องกระชับวงล้อมมากขึ้น..จำได้ว่าก่อนเดินทางกลับฉันคิวทองมาก..นัดเลี้ยงส่งแทบจะทุกวัน..บางวันกลางวันเย็น วิ่งงานโน้น งานนี้เป็นที่สนุกสนาน..เพื่อนๆแปลกใจว่าทำไมกินน้อยจัง..กินสิ..ฉันไม่อยากจะบอกว่า ตอนนี้กินจนเอียนแล้ว..ขอมาอย่างเดียวส้มตำ อันนี้แม่ซัดไม่ยั้งเลย

ผ่านด่านเช็คอินมาได้ โดยไม่ลืมย้ำพนักงานว่ากระเป๋ารอรับปลายทางคือลียงนะคะ ไม่ใช่ปารีส..พนักงานแอบเหวอนิดหน่อย..แต่ก็เช็ครายละเอียดสักครู่แล้วหันมาบอกว่าเรียบร้อยแล้ว..ฉันเดินเข้าด้านในเพื่อผ่านการตรวจคนเข้า ออกประเทศ ไม่มีปัญหา..จนถึงตรวจกระเป๋าที่จะเอาขึ้นเครื่องรวมถึงตัวฉันเองด้วย..เหมือนทุกอย่างจะเรียบร้อยดี แต่ระหว่างที่ฉันหอบกระเป๋าและเตรียมใส่โน้ตบุ๊ครุ่นโบราณหนักอึ้งเข้ากระเป๋า..พนักงานก็เชิญมาขอตรวจกระเป๋าอีกรอบ..ฉันงงว่ากระเป๋าฉันมีอะไรเหรอ มันมีแค่โน้ตบุ๊ค หนังสือเรียน ดิกชันนารีกับข้าวของประทินโฉมที่จะใช้บนเครื่องบินเท่านั้นแหละ..จนเปิดซิปด้านในออก อ้าวเฮ้ย ถุงอะไร แป้งๆ ขาวๆ ฉันเอาอะไรมาอ่ะ..เจ้าหน้าที่ถามว่าผงอะไร..พอพลิกมาอีกด้านฉันถึงจะได้ว่า..อ๋อ ฉันซื้อแป้งท้าวยายม่อมมาด้วย..แล้วความที่กระเป๋าน้ำหนักจวนเจียนเต็มพิกัด ฉันเลยโยนเจ้านี่ลงกระเป๋าที่จะเอาขึ้นเครื่องด้วย..พอเจ้าหน้าที่เห็นก็หัวเราะเบาๆ..ถามว่าเอาไปทำกับข้าวเหรอครับ..ค่ะ จะเอาไปทำขนมถ้วย..ฉันตอบไปแบบอายๆปนขำๆ

จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ปารีสบินตรงแบบไม่มีแวะพักที่ไหน จะใช้เวลาประมาณสิบสามชั่วโมง..ฉันพยายามที่จะหลับทันทีเมื่อไฟในห้องโดยสารปิดลง เพราะรู้ดีว่าถ้าไม่พยายามหลับตอนนี้จะเปิดปัญหา Jetlag ตามมาแน่นอน..แต่ทำยังไงก็หลับไม่ลง ไหนจะเพราะคุณแหม่มสาวตัวใหญ่ที่นั่งเบียด ไหนจะเสียงหนูน้อยวัยอ้อแอ้ที่คงหูอื้อจากแรงกดอากาศ จนต้องแผดเสียงร้องไห้จ้าลั่นเครื่องบิน..ฉันเปลี่ยนมาดูหนังไปแทน จนคิดว่าล้าๆเคลิ้มๆ จะนอนแล้ว..คุณแอร์ฯเปิดไฟ แจกอาหารให้กินอีกแล้ว..กินก็กิน เดี๋ยวไม่คุ้ม..ทั้งที่ฉันไม่หิวหรอก แต่กินตามหน้าที่..ออกจากเมืองไทยเที่ยงคืน ฉันมาถึงปารีสสนามบินชาร์ล เดอ โกลด์ เวลาหกโมงครึ่งตอนเช้า..ต้องต่อเครื่องไปลียงเจ็ดโมงครึ่ง เดินทางหนึ่งชั่วโมงก็จะถึงลียง..อีกไม่นานก็จะได้นอนหลับพักสบายบนเตียงอุ่นๆแล้ว..ปลอบใจตัวเองไปแบบนั้น ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองโดยที่เจ้าหน้าที่รับพาสปอร์ตพร้อมตั๋วเครื่องบินต่อไปลียงไปดูแล้วคืนมาให้แบบไม่มีการประทับตราขาเข้าให้แบบทุกครั้งที่ผ่านมา..ฉันทึกทักเอาเองว่า สงสัยคงให้ไปประทับตราที่ลียงละมัง เพราะนี่เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ฉันต่อเครื่องจากปารีสไปลียง..ทุกทีพ่อตัวดีมารอรับตั้งแต่ปารีสไปลียงแล้วบึ่งรถกว่าห้าชั่วโมงไปลียงแบบทุลักทุเล..

ฉันเดินออกมาตามป้าย transit จนมาเจอผังแสดงเที่ยวบิน..มองหาเที่ยวบินของตัวเอง..มีครบเพียงแต่ว่า มันมีตัวหนังสือแดงๆ Annuler ..โอว ถ้าจำไม่ผิด คำนี้มันแปลว่ายกเลิกนี่หว่า..แถมประตูเกทที่ต้องไปเช็คอินก็ไม่มี..แน่แล้ว ฉันคิดว่าไฟลท์ยกเลิกแน่ๆ..เดินหน้ามึนๆ เซ็งๆ แถมง่วงไปติดต่อที่ประชาสัมพันธ์ซึ่งตอนนี้คนไปต่อคิวยาวเหมือนกัน..รอจนได้ตั๋วใบใหม่มาถือในมือ..จากเดิมบินเจ็ดโมงครึ่ง คราวนี้ฉันต้องรอจนบ่ายโมงครึ่งถึงจะได้ขึ้นเครื่อง ได้คูปองอาหารว่างและเครื่องดื่มมาปลอบใจหนึ่งใบที่เจ้าหน้าที่บอกว่าเอาไปใช้ที่ภัตตาคารไหนก็ได้..อืมม รับมาแบบงงๆ แต่ก็เอา จัดแจงหาโทรศัพท์โทรหาพ่อตัวดีจะได้ไม่ต้องไปรอเก้อที่สนามบิน..ปลายสายรับแล้วบอกว่ากำลังจะออกจากบ้านแล้ว..ฉันบอกว่าไม่ต้องรีบเพราะว่าไฟลท์เลื่อน..พ่อตัวดีถามว่าได้บินอีกทีกี่โมง ฉันบอกไป แล้วเสียงเตือนเวลาหมดก็ดังขึ้ึ้น..เจอกันที่สนามบินบ่ายสามคือคำสุดท้ายที่เราพูดกัน..

ฉันเดินหาเก้าอี้ว่างๆนั่งพัก..จะเล่นอินเตอร์เนทค่าเวลา..ก็นึกเสียดายเงินเพราะว่าชั่วโมงละสี่ยูโร จะซื้อแบบเต็มวันสิบยูโรก็งกอีก..เพราะใช้ไม่คุ้ม เลยคว้าสมุดเกมสุโดกุมาเล่นแทน..จนเกือบสิบเอ็ดโมง คิดว่าได้เวลากำจัดคูปองอาหารที่ว่า..ร้านอาหารดีๆที่มีที่นั่งตอนนี้ถูกจับจองให้พรืดจากบรรดาผู้โดยสารที่เจอโรคเลื่อนแบบฉัน..ฉันเลยเดินมาที่ซุ้มขายเบเกอรรี่และกาแฟชื่อว่า Paul ฉันสั่งขนมปังชอกโกแลตและกาแฟร้อนด้วยภาษาฝรั่งเศส..แล้วถามว่าฉันจะใช้คูปองนี้ได้มั้ย..คนขายบอกว่าไม่เปลี่ยนเป็นแซนวิชเหรอ..ในนี้ระบุให้เป็นแซนวิช..แต่พนักงานหญิงอีกคนบอกว่า เบเกอรี่ก็ใช้ได้..ฉันเลยรับสองอย่างที่ว่ามาแบบไม่ต้องเสียตังค์ แต่ที่แน่ๆพนักงานสองคนนั่นคงเสียขวัญกับภาษาฝรั่งเศสแบบของฉันอยู่ไม่น้อย

จัดการกับสองอย่างที่ว่า ทำธุระส่วนตัวต่อในห้องน้ำ สภาพหนังหน้าตอนนี้อย่าให้พูดเลย หน้าซีดๆ เหลือง ขอบตาคล้ำ ตาแดง..เหมือนคนเสพยามาก..เที่ยงครึ่งแล้ว ฉันคิดว่าไปรอในเกทดีกว่า เดินไปเช็คอินตรวจกระเป๋าที่จะเอาขึ้นเครื่อง..เหมือนจะดี แต่มาติดตรงแป้งท้าวยายม่อมอีกนั่นแหละ..เจ้าหน้าที่คงนึกว่าเฮโรอีน..แถมฝรั่งก็อ่านภาษาไทยไม่ออก..ฉันเลยต้องบอกไปว่า pour fait la cuisine. พัว เฟ ลา คุยซีน..สำหรับทำอาหาร..อา..เสียงเจ้าหน้าที่เบิกตาโพล่ง ตอบกลับมา แต่ก็ยอมให้ฉันผ่านมาโดยดี..

ที่เกทคนเยอะมากจนไม่มีที่นั่ง..ฉันหาได้แคร์ไม่ อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะได้ขึ้นเครื่องแล้ว ไม่ต้องนั่งก็ไม่ว่าอะไร..ฉันจับจ้องที่จอทีวีที่บอกไฟลท์บินและเกทว่าต่อไปเที่ยวบินนี้จะพาฉันกลับบ้าน..เกทข้างๆเป็นไฟลท์ที่จะเดินทางไปอัมสเตอร์ดัม ไฟลท์ออกก่อนของฉันครึ่งชั่วโมง..แต่ภาพตรงหน้าคือ ยังไม่มีเครื่องบินมาจอดเทียบท่า หิมะโปรยลงมาบางๆ สักพักเจ้าหน้าที่ประกาศไฟลท์เลื่อนไปเป็นหกโมงเย็น..ฉักนึกสงสารบรรดาผู้โดยสารไฟลท์นั้นอยู่ในใจ..แต่ไม่มากเพราะว่าอารมณ์นั้นฉันไม่คิดอะไรนอกจากอยากจะถึงบ้านให้เร็วที่สุด..แต่เหมือนเหตุการณ์โดมิโน แทบทุกเกททยอยเลื่อนไฟลท์ ฉันพยายามมองหาเกทที่จะไปลียงที่เปลี่ยนไปมาห้าครั้ง จนได้ความว่าจะได้บินอีกทีห้าโมงครึ่ง..แม่เจ้า..ผู้โดยสารหลายคนไปโวยที่เจ้าที่รับเช็คอินที่เกท..ก็ได้รับคูปองเครื่ิองดื่มมาเป็นการปลอบขวัญแทน..ฉันไม่อยากกินอะไรทั้งนั้นเลยมองหาที่นั่งแล้วเล่นสุโดกุต่อไปฆ่าเวลา..

ตอนนี้ห้าโมงสิบนาที ฉันยังนั่งอยู่อย่างเซ็งๆ และง่วงกับการเจอไฟลท์ดีเลย์เพราะหิมะตกแบบนี้ แต่จะมาหลับตอนนี้ไม่ได้ เดินทางคนเดียวต้องปลุกตัวเองให้ตื่นตลอด..ไม่งั้นมีรายการสัมภารหายจะไปเรียกร้องเอากับใคร..สักพักแหม่มฝรั่งพูดฝรั่งเศสอย่างรัวกับฉันที่ตอนนั้นสมองตายเพราะเหนื่อยล้ามากและไม่อยากจะรับฟังด้วย..ฉันยิ้มเจื่อนๆแบบให้รู้ว่าไม่รู้เรื่องเป็นการตอบ..จนเธอพยายามพูดอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่นว่า..give me the chair>>I have baby พร้อมเปิดเสื้อโค้ทตัวใหญ่ออก แล้วชี้ไปที่ท้องของเธอ..ฉันไม่ได้สนใจจะดูท้องเธอหรอก ว่าเธอจะหลอกฉันรึเปล่า แค่เธอบอกว่ามีเบบี้ฉันก็ทะลึ่งพรวดลุกให้แล้ว ไม่ต้องโชว์ท้องคุณแม่ยังสาวที่มองไม่ออกว่าท้องแบบนั้นให้ดูก็ได้.

ยืนรอต่อไปจนเห็นเครื่องบินมาเทียบท่าตอนห้าโมงครึ่ง ผู้คนแย่งกันขึ้นเครื่องแบบอดทนรอไม่ไหว..ฉันรอแบบรั้งท้าย..ยื่นตั๋วพร้อมพาสปอร์ตให้ไป แต่ติดตรงนามสกุลในตั๋วเป็นนามสกุลสามี แต่พาสปอร์ตยังเป็นของเดิม..ฉันเลยต้องเอาทะเบียนสมรสโชว์ให้ดู ก่อนที่พนักงานจะปล่อยให้ขึ้นเครื่อง..สามีทำงานบริการในสายการบิน ฉันเลยได้สิทธิ์พนักงานซื้อตั๋วในราคาถูก แน่นอนว่าต้องใช้นามสกุลสามี..เพราะฉะนั้นฉันยังต้องพกทะเบียบสมรสไปตลอดหากยังใช้พาสปอร์ตของไทย..ที่ฉันก็ไม่คิดจะไปเปลี่ยนหลักฐานทุกอย่างของฉันในเมืองไทยให้เป็นนามสกุลสามี..อยากเป็นนางสาวที่ไทยใครจะทำไม..ถึงจะเป็นมาดามแล้วที่นี่ก็ตาม

ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเท่านั้นฉันก็ถึงลียงตอนหนึ่งทุ่ม..ฟ้ามืดหิมะโปรย..บรรยากาศหนาวยะเยือก..เดินไปตามป้ายบอก สุดท้ายฉันมาโผล่ที่จุดรอรับกระเป๋าโดยไม่มีการตรวจคนเข้าเมืองอีกแต่อย่างใด ฉันเห็นสามีตัวดียืนยิ้มเผล่อยู่ตรงนั้นแล้ว..ใช้สิทธิ์พนักงานเข้ามาข้างในหน้าตาเฉย..ฉันดีใจที่เขามารอรับแต่เหนื่อยเกินกว่าที่จะโผกระโดดกอดแบบในหนังที่สามีตัวดีอย่างให้ฉันลองทำแบบนั้นบ้าง..แต่ฉันอ้วนเกินกว่าจะกระโดดได้..ไม่เอาดีกว่า..ฉันถามสามีว่าไม่มีตรวจคนเข้าเมืองเหรอ..ที่ปารีสไม่ประทับตราให้ ฉันนึกว่าจะให้ทำที่ลียง..แต่ที่นี่ดันไม่มีต้องซะอย่างงั้น..ทำไงอ่ะ..ต้องเอาหน้าพาสปอร์ตที่มีประทับตราการเข้าประเทศของฉันไปยื่นให้ OFII หรือสำนักงานคนต่างด้าวของที่นี่ด้วยนะ..สามีตัวดีเลยขอพาสปอร์ตของฉันไปถามตำรวจประจำสนามบิน..พักเดียวก็มาหาฉันที่ได้กระเป๋าเรียบร้อยเตรียมกลับบ้านได้..แล้วบอกว่า ต้องไปให้ตำรวจประทับตราให้โดยต้องไปติดต่อสำนักงานของตำรวจในสนามบิน..

คุณตำรวจแอบงงว่าทำไมที่ปารีสไม่ประทับตราให้ฉัน..ฉันก็ยื่นให้ดูหมดทั้งตั๋วเครื่องบิน boarding pass, passport ฉันบอกไปว่าเขาคงง่วง.. เพราะมันเช้ามาก..ตำรวจหันมาขยิบตาให้แบบขำๆก่อนจะประทับตราและเซนต์ชื่อให้อย่างไม่มีปัญหาอะไร..เดินออกมาข้างนอกที่บรรยากาศเหมือนหนังผีฝรั่ง หนาวๆ มืดๆ หมอกๆแบบฟ้าปิด พื้นมีหิมะที่แข็วตัวจนเป็นน้ำแข็ง ลื่นๆ เปียกๆ หนาว ง่วง เดินลำบาก..ทรมานจริงๆ ฉันบอกพ่อตัวดีว่า มื้อนี้ฉันไม่ทำกับข้าวแล้วนะ ไม่ไหวอยากนอน..พ่อตัวดีเลยแวะซื้อพิซซ่ากลับไปกินที่บ้าน..กล่องพิซซ่าอุ่นๆถูกวางตรงหน้าตัก..ช่วยได้มากเลย อุ่นๆ หอมๆ แต่ตอนนี้ไม่อยากกินอยากนอนอย่างเดียว..

สองเท้าเหยียบหน้าประตูบ้านตอนสองทุ่ม ถ้านับจากเวลาที่ฉันออกจากบ้านที่เมืองไทยตอนสองทุ่มไปสนามบินสุวรรณภูมิ ตอนนี้ก็ยี่สิบแปดชั่วโมงที่ฉันไม่ได้หลับไม่นอน..พ่อตัวดีจัดแจงเตรียมข้าวของสำหรับมื้อค่ำและเปิดฮีทเตอร์ห้องนอนเพราะดูสภาพแล้วเมียคงไม่ไหวเป็นแน่..ฉับรับพิซซ่ามาถือในมือแล้วกัดไปสองคำ นั่นคือสิ่งที่ฉันจำได้..จนเช้ามาพ่อตัวดีบอกว่า เมื่อคืนสภาพฉันย่ำแย่มาก หลับคาโซฟา พิซซ่าก็ถือติดมือไม่ยอมปล่อยด้วย..กว่าจะแกะพิซซ่าออกแล้วลากเข้าห้องนอนได้..เหนื่อยเลย..อุเหม่ จริงเหรอเนี่ย..แล้วพิซซ่าฉันตอนนี้อยู่ไหน..เอามาเลย..ฉันจะกิน ฉันหิว..โอวว คุณพระ