Sunday, January 30, 2011

ระบบขนส่งมวลชนฝรั่งเศส ภาคนี้ขอลองรถเมล์

ฉันนั่งหาข้อมูลการใช้รถเมล์ของที่นี่อยู่นาน..เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่สามีไม่อาจช่วยฉันได้ เพราะเขาก็ไม่เคยขึ้นรถเมล์เช่นเดียวกัน..ตั้งแต่ฉันเริ่มออกไปเรียน ไปติดต่อสถานที่อื่นๆเพียงลำพังแล้ว แม้ว่าจะยังสื่อสารไม่ได้ แต่มันทำให้ฉันกล้าที่จะไปทำอะไรเองมากขึ้น..แต่ก่อนสามีกลัวสารพัด กลัวฉันหลงทาง กลัวฉันถูกล้วงกระเป๋า ก็จะไม่อยากให้ไปไหนคนเดียว..เพราะความเป็นห่วง..แต่เหมือนพ่อแม่รังแกฉัน..ยิ่งห่วง ยิ่งเก็บฉันไว้ในบ้านมากเท่าไร..มันยิ่งทำให้ฉันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากเท่านั้น

ฉันนึกถึงภาพฝรั่งแบคแพคที่เดินเกลื่อนถนนในกรุงเทพ..พวกเขาก็พูดไทยไม่ได้ และแน่ละ คนไทยหลายๆคนก็ไม่อยากพูดภาษาอังกฤษ หรือพูดไม่ได้เลย แต่ฉันก็ยังเห็นฝรั่งพวกนั้นไปไหนมาไหนเพียงลำพังแถมดูจะมีความสุขกับวิถีชีวิตที่ตัวเองไม่คุ้นชินอีกต่างหาก..ความอายความไม่กล้ามันกลายเป็นตัวตัดโอกาสดีๆหลายอย่างในชีวิต ..ฉันเองแม้จะสื่อสารอังกฤษได้ในระดับที่สื่อสารเข้าใจถึงค่อนข้างดี  แต่เมื่อต้องเผชิญหน้าฝรั่งผมทองตาน้ำข้าวเข้าจริงๆ ฉันเองก็ยังตื่นๆ กลัวๆแถมคิดในใจว่า..อี๊ อย่าๆ อย่ามาถามฉัน ฉันกลัวไม่อยากพูด ถึงวินาทีนี้แล้วถ้าอยากรอดตายต้องเลิกอายได้แล้ว

จนวันนี้แล้วที่ฉันจะทดลองขึ้นรถเมล์คนเดียวดูบ้าง..แต่มิวายว่าสามีตัวดีก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี..เราตกลงกันว่าฉันจะลองนั่งรถเมล์จากสนามบินกลับมาที่บ้านเพียงคนเดียว หลังจากทำธุระในสนามบินเรียบร้อยและได้เวลาเข้าทำงานของพ่อตัวดี..เขาย้ำว่า ถ้ามีปัญหาอะไรให้โทรหาเขา และอย่านั่งหลับบนรถตามแบบที่ฉันทำประจำเวลาขึ้นรถเมล์ในกรุงเทพฯ..แผนที่เส้นทางเดินรถถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมคำถามจากสามีว่า ฉันจะต้องลงจากรถเมื่อไร..ฉันแอบขำสามีตัวเองแต่ถ้าหัวเราะออกมาตอนนี้คงถูกโกรธแน่ เพราะว่าจากแววตาเขาแล้ว ฉันรู้ดีว่าเขาห่วง ไม่อยากให้ฉันขึ้นรถเมล์คนเดียว ทั้งๆที่ยังไม่รู้อะไรมากนักแบบนี้..ฉันตอบไปว่า..พอรถจอดทีป้ายที่สาม นั่นคือฉันต้องลงแล้ว..ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจำป้ายรถเมล์ตรงหน้าอำเภอใกล้บ้านได้ อีกอย่างมีแผนที่อยู่ในมือ..ถามคนขับรถเอาก็ได้

ฉันเดินมาตามป้ายบอกทางในสนามบินจนมาถึงที่จอดรถเมล์ที่แบ่งไปช่องๆ มีหมายเลขกำกับ 1-8 จากตารางเดินรถ ฉันต้องเดินไปรอขึ้นรถที่ช่องหมายเลย 5 เวลาออกรถเที่ยวต่อไปคือ 17.10 ..ฉันยืนบิดไปบิดมา เดินวนๆแถวนั้นตั้งแต่ 16.45   จน 10 นาทีผ่านไปรถตู้หลังคาสูงสีเหลือง หมายเลข 1410 เป็นสายที่ฉันต้องขึ้นก็มาจอดที่ช่องหมายเลข 5 พอดี.. รอจนรถจอดเรียบร้อย ผู้โดยสารลงหมดแล้ว..ฉันเดินไปที่ประตูข้างคนขับที่ตอนนี้โชเฟอร์ได้กดกระจกลงมาเพื่อที่จะพูดกับฉันเหมือนกัน..Bonsoir Monsier..Un aller billet pour .., s'il vous plaît. บงซัว มอนซิเออร์ อา นะเล่ บิลเย่ ปูวร์..(ชื่อป้ายที่ฉันจะลง) ซิล วูล เปร่  แปลเป็นไทยก็คือ สวัสดีตอนเย็นค่ะ ขอตัวเที่ยวเดียวไป..ใบหนึ่งค่ะ..

ประตูเลื่อนอัตโนมัติของรถถูกกดเปิดเพื่อให้ฉันขึ้นไปบนรถ..ฉันรีบขึ้นไปหลบความหนาวในรถ แต่ยืนรอที่จะจ่ายเงินก่อน ..3.60 ยูโร สำหรับค่ารถ ..เกือบร้อยห้าสิบบาทสำหรับการเดินทางที่ใช้เวลา 30 นาที ถือว่าไม่แพง..พอๆกับค่ารถแท็กซี่เมืองไทย..ฉันรับเงินทอนมาพร้อมกับตั๋วรถ ซึ่งหน้าตามันก็คือใบเสร็จรับเงินที่ได้ตามร้านสะดวกซื้อในไทยมาก..มีรายละเอียดบอกว่า ฉันเดินทางระหว่าง 2 โซน ค่าโดยสารจึงเป็น 3.60 ยูโร  ถ้าแค่ภายในโซนเดียว 2.50 ยูโร  สภาพในรถสะอาดมาก เบาะที่นั่งอยู่ในสภาพดีและทุกที่นั่งมีเข็มขัดนิรภัยไว้ให้  ..คนขับหันมาบอกว่ารถจะออกเวลา 17.10 นะ..ฉันบอกไปว่า โอเค ฉันรู้แล้ว ตามสำเนียงของฉัน ซึ่งเขาคงรู้ว่าฉันเองก็พูดไม่ค่อยได้ และคงไม่ไปไหนเลยปล่อยให้ฉันนั่งรถอยู่ในรถอุ่นๆดีกว่า..จน17.05 น. ถึงตอนนี้ผู้โดยสารก็ยังคงมีฉันเพียงคนเดียว..ฉันแอบคิดว่า มีฉันคนเดียวแบบนี้ เขาจะยอมออกรถมั้ย..มันคงไม่คุ้มกับค่าน้ำมันที่จะไปส่งฉันถึงที่หมายถ้ามีผู้โดยสารคนเดียวแบบฉัน

ก่อนถึงเวลารถออกนาทีเดียว..พนักงานสนามบินสองคนเดินมาขึ้นรถ สองสาวยื่นการ์ดออกไปผ่านเครื่องสแกนการ์ดใกล้คนขับ..ฉันเดาว่าคงเป็นตั๋วรายเดือน หรือรายปี เพราะว่าทั้งสองคนไม่ได้จ่ายเงินสดแบบฉัน..ฉันคาดเข็มขัดนิรภัยตามป้ายเตือนที่แปะไว้รอบรถ แต่ผู้โดยสารท่านอืนหาทำไม่..อย่าได้แคร์ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า..เผื่อแพรวาตีนผีจะมาซิ่งแถวนี้..รถออกตรงเวลาเป๊ะ  คนขับรถและผู้โดยสารอีกสองสาวคงรู้จักและคุ้นเคยกันดี เพราะว่าคุยกันไป ถามไถ่สารทุกข์ตลอดทาง..ก็แน่ละ ถ้าสองสาวกลับบ้านสายนี้เวลานี้ทุกวัน ก็ต้องเจอพี่โชเฟอร์ทุกวันอยู่แล้ว..ฉันนั่งมองเส้นทางมาตลอด..ถึงป้ายเมื่อไรฉันก็เอาแผนที่มาส่องเทียบดูทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่ามาถูกและไม่หลงแน่นอน..ใกล้ถึงที่หมายแล้ว ฉันจำบรรยากาศข้างทางได้..มาถูกที่แน่ๆ

ฉันลงจากรถเป็นคนสุดท้ายที่ป้ายนั่น แต่ก็มีผู้โดยสารอีกหลายคนรอขึ้นสายนี้ต่อ  ฉันเดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น  ตอนนี้การขึ้นรถเมล์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวสำหรับฉันอีกต่อไป..รถเมล์ที่นี่ออกตรงตามเวลา เสียแต่ว่ามีไม่เยอะเท่ารถเมล์เมืองไทยก็เท่านั้น  แต่เรื่องความสะอาดและความเป็นระเบียบแล้วละก็ของไทยเรายังต้องปรับปรุงอีกเยอะเลย..ฉันไปท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือแม้แต่ระบบเมโทรของฝรั่งเศสเอง  ฉันพบว่ามันเข้าใจและใช้ง่ายกว่าที่เมืองไทยเยอะเลย ป้ายรถเมล์แยกแต่ละสายชัดเจน ระบบเมโทรที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั้งเมือง มันง่ายต่อการไปไหนมาไหนโดยระบบขนส่งมวลชน..ผิดกับบ้านเราที่ใครๆก็อยากมีรถขับเอง ไม่ต้องไปเบียดเสียดหรือวิ่งตามรถเมล์ให้หน้ามัน หัวยุ่งแบบที่เจอกันมา..

มาชื่นชมระบบของที่นี่ออกหน้า แต่อย่าเพิ่งหมั่นไส้ฉันนะ..ยังไงตอนนี้เอาฉันไปปล่อยให้กรุงเทพ ฉันยังบอกสายรถเมล์ไปไหนมาไหนได้แบบไม่ต้องเสียเวลาคิด..แต่ที่นี้จะไปไหนทีฉันยังต้องหาข้อมูลสารพัดกันหลง..ความสะดวกสบายกับความคุ้นเคยมันผิดกัน..ลึกๆแล้วฉันชินกับระบบลำบากๆแบบไทยๆมากกว่า..ฉันเดินมาเจอเพื่อนบ้านคุยกันอยู่ เราทักทายกันตามประสา ทั้งสองคนพยายามเข้าใจภาษาฝรั่งเศสแบบของฉัน  Nasera เชิญฉันและเอ็ดดี้เพื่อนบ้านอีกคนเข้าไปคุยต่อในบ้านของเธอ หลังจากยืนคุยหน้าบ้านมาพักใหญ่..เราคุยกันนานและนานมาก..เวลาผ่านไปจากหกโมงเย็นจนตอนนี้สามทุ่มแล้ว...เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันดังขึ้น..พ่อตัวดีโทรมาหา..เขาถามฉันด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่าตอนนี้ฉันอยู่ไหน..เขากลับมาถึงบ้านแล้วนะ..ด้วยลูกยุจากเพื่อนบ้านทั้งสอง ฉันแกล้งอำสามีไปว่า หลงทาง..พ่อตัวดีเริ่มเสียงว้าวุ่นมากขึ้น..ฉันอำอยู่พักใหญ่จนสงสารสามีตัวเอง ก็บอกไปว่า อยู่บ้าน Naseraนี่แหละ..สิ้นคำนั่น พ่อตัวดีกดวางสายทันที..วงแตก..งานเข้าซะแล้ว..สลายตัวบ้านใครบ้านมันโดยด่วน

ฉันนั่งจ๋อยงอนง้อสามีที่โกรธควันออกหู สำนึกผิดเมื่อเห็นหน้าและฟังเหตุผลจากปากที่พร่ำบ่นมุกตลกแบบไร้กาละเทศะของฉัน..ค่ะ ป้าสำนึกผิดแล้ว ต่อไปป้าจะไม่เล่นแบบนี้อีกแล้ว..ฮือๆๆ จากหนุ่มหน้าเปื้อนยิ้มมาตอนนี้เพิ่งเห็นสามีในโหมดพระเพลิง..น่ากลัวแบบไม่กล้าแหยมเลย..ฉันนึกหวั่นว่าเกิดเขาโกรธจัด ลงไม้ลงมือแบบพระเอกคุณพิศาล ประเภทตบจูบ ตบจูบ จะทำยังไง ถ้าตบแล้วจูบก็คงจะพอทำเนา แต่ท่าทางตอนนี้สามีอยากตบอย่างเดียวมากกว่า..ไม่มีจูบ..

No comments:

Post a Comment