Friday, January 14, 2011

OFII ที่รัก

เรากำลังมุุ่งหน้าไปที่ OFII Grenoble (Office Francais de l'immigration et de l'intégration) ตามที่มีหมายเรียกให้ไปรายงานตัวเพื่อให้รับสติ๊กเกอร์มหัศจรรย์ตามที่พ่อตัวดีแอบแซว
มันมหัศจรรย์มากเพราะเสมือนต่อยอดวีซ่าระยะยาวที่ได้รับมาตอนขอวีซ่าระยะยาวติดตามคู่สมรส ด้วยตัววีซ่าเองฉันสามารถแค่อาศัยในฝรั่งเศสรวมถึงดินแดนโพ้นทะเลอื่นๆในครอบครองของฝรั่งเศสเท่านั้น มิสามารถเดินทางเข้าออกสหภาพยุโรปได้เหมือนเคยเฉกเช่นวีซ่าเชงเก้นที่ได้รับตอนขอวีซ่าระยะสั้น..แต่ช้าก่อน ถ้าคุณมีสติ๊กเกอร์มหัศจรรย์นี่แล้วละก็ สถานภาพของคุณจะเปลี่ยนไป คุณจะเดินทางเข้า-ออกในสหภาพยุโรปได้ดั่งชาวฝรั่งเศสพึงกระทำ คุณจะสามารถได้ชั่วโมงเรียนภาษาฟรี และการอบรมอื่นๆเพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตที่นี่..จวบจนไปถึงการสามารถทำงาน ใช้สิทธิ์ประกันสังคมร่วมกับสามี มีสิทธิ์เปิดบัญชีธนาคาร หรืออะไรก็ตามที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตที่นี่...

นัดหมายเวลาดีที่แปดโมงครึ่ง ฉันและพ่อตัวดีที่ออกจากบ้านก่อนเจ็ดโมงแจ้นขึ้นทางด่วนเข้าสู่เมือง Grenoble ถือว่าคาดการณ์มาถูกว่าจะเจอรถติดและเสียเวลาเดินหาอาคารสำนักงานของ OFII เรามาถึงตอนแปดโมงสิบห้านาที แต่ยังหลบความหนาวนั่งรออยู่ในรถเพราะว่าประตูยังไม่เปิดให้เข้าไป..จนเกือบแปดโมงครึ่งคนอื่นๆที่มารายงานตัวเหมือนกันก็ทยอยมา..สามสาวเอเซีย (ไทย เวียดนาม เกาหลี)และ สาวสามกับหนึ่งหนุ่มจากยูเครน พ่วงมากับหนุ่มใหญ่จากมาดากัสก้า..เราทยอยไปยื่นพาสปอร์ตและจดหมายนัดให้แก่เจ้าหน้าที่แล้วพากันเข้าไปนั่งรอที่ห้องอบรม..มีคำชี้แจงการอบรมหลากหลายภาษาไว้ให้แก่ผู้ที่ไม่เข้าใจภาษาฝรั่งเศส..แต่ไม่มีภาษาไทย จ๋อยไปแต่ไม่เป็นไรพ่อตัวดีบอกว่าเด๊๋ยวอธิบายให้ฟังเอง..(สามีสามารถ)

ดูเหมือนจะมีล่ามมาแปลภาษาให้ด้วยวันนี้คือ ภาษายูเครนและภาษาอังกฤษ สาวจังกึมและพ่อหนุ่มมาดากัสก้าที่พ่นฝรั่งเศสไฟแลบไม่จำเป็นต้องใช้ ส่วนสาวสวยจากเวียดนามที่ไม่ได้ทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษก็มีสามีเป็นล่ามกิติมศักดิ์แล้ว..คุณป้าล่ามภาษาอังกฤษจึงบ่ายหน้ามานั่งข้างๆฉันแทน..เอาน่า มีคนช่วยแปลให้ฟังตั้งสองคนท่าจะดี ฉันคิดไว้แบบนั้น แต่ไหงคุณป้าล่ามไม่พูดอังกฤษกับฉันหล่ะคะ..เอาแต่อธิบายเป็นฝรั่งเศส ซึ่งก็พอจะเข้าใจบ้างเพราะรู้ข้อมูลมาก่อนส่วนหนึ่งและป้าแกพยายามพูดช้าๆ ให้ฉันจับใจความได้ทัน..แค่แอบงงว่า สรุปแล้วป้าเป็นล่ามภาษาอะไรค่ะ..อย่าบอกนะว่าอังกฤษ..ชิ

แอบอิจฉาชาติอื่นที่เค้าสามารถเอาใบขับขี่มาเปลี่ยนเป็นของฝรั่งเศสได้เลย..แปดชีวิตต่างด้าววันนั้นมีฉันจากแดนสยามคนเดียวเนี่ยแหละที่ไม่สามารถเอาใบขับขี่ไปเปลี่ยนได้..(โอวว ฉันทำผิดอะไร )

เริ่มขั้นตอนโดยเจ้าหน้าที่สามคนเข้ามาอธิบายคร่าวๆ ว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง ตรวจร่างกาย เอ็กซเรย์ปอด สัมภาษณ์ข้อมูลส่วนตัวเพื่อจัดการอบรมอื่นๆให้ภายหลัง แล้วจากนั้นก็จะได้สติกเกอร์มหัศจรรย์นั่นมาครอบครอง..ตามข้อมูลที่หาจากในอินเตอร์เนท บอกว่าจะมีการเปิดวีดีโอให้ดูเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานของสังคมฝรั่งเศส ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง..แต่ที่นี่ไม่มี มีแต่เจ้าหน้าที่มาอธิบายว่าเจ้าสติกเกอร์มีดีอะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง แล้วก่อนสองเดือนที่มันจะหมดอายุขัยของมันที่เท่ากับอายุวีซ่าระยะยาวที่ได้มา ต้องขอการ์ด เดอ เซจูร์ อีกที่จะได้ปีต่อปี จนครบ 3 ปี ถึงจะได้การ์ดระยะยาวอายุ 10 ปี จากนั้นก็เลือกเอาว่าจะยื่นขอสัญชาติหรือไม่ ที่ทำได้หลังแต่งงานครบ 4ปี และอาศัยในฝรั่งเศสมาอย่างน้อย 3ปี งานนี้พ่อตัวดีแอบเม้าท์สาวสวยจากยูเครนที่เป็นคนถามว่าเมื่อไรจะขอสัญชาติได้ พอเจ้าหน้าที่ตอบว่า4 ปีหลังแต่งงาน ถึงกับทำหน้าเหยว่า ตั้ง 4ปี นานมาก..สงสัยจะไม่ค่อยรักสามีเท่าไร..(พอกันทั้งคู่เลยเนอะ..เรื่องชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเนี่ย) จากนั้นก็จะแยกย้ายไปตามห้องต่างๆเพื่อเริ่มทำขั้นตอนทั้งหมดแบบที่ว่ามา

ฉันถูกเรียกให้เข้าห้องสัมภาษณ์เป็นห้องแรก พ่อตัวดีไม่ตามมาด้วย มีแต่ป้าล่ามที่ตามมาเท่านั้น เจ้าหน้าที่ให้ฉันเช็คข้อมูลส่วนตัวของฉันจากหน้าจอมอนิเตอร์ว่าถูกต้องหรือไม่ แล้วเริ่มขอดูเอกสาร ฉันสารภาพเลยว่าฉันฟังไม่ออกเลย พูดเร็วมาก แต่พอจะเดาเอาได้ว่าเขาจะขอเอกสารอะไร..ฉันยื่นเอกสารใบประกาศสองใบที่ได้จากสถานฑูตที่กทม.ให้ดู เจ้าหน้าที่ถามถึงเรื่องการศึกษา ฉันก็ส่งใบปริญญาที่แอบไปแปลมาก่อนบินมาที่นี้ให้ดู แล้วถามเรื่องประวัติการทำงาน..ฉันตอบเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆเพราะคิดประโยคเป็นฝรั่งเศสตอบไปไม่ได้ สุดท้ายเจ้าหน้าที่กับป้าล่ามให้ฉันเลือกว่าจะมาอบรม la vie en france หรือไม่ ที่เกี่ยวกับการบรรยายประวัติและข้อมูลต่างๆของฝรั่งเศส ใช้เวลา 1วันเต็ม และจากนั้นก็จะช่วยเหลือในเรื่องให้ข้อมูลการหางาน..แต่ไม่ได้ช่วยหาให้นะ..แต่เดิมได้รู้มาว่า การอบรมนี้บังคับให้ต่างด้าวทุกคนเข้าฟังเพราะมีผลต่อการขอการ์ดอยู่อาศัยในปีต่อมา เมื่อเจ้าหน้าที่บอกให้ฉันเลือก ฉันจึงตกลงที่จะเข้าร่วมอย่างว่าง่าย..

แต่พอฉันอ่านรายละเอียดของสัญญาที่เอามาให้เซนต์ ส่วนของการรับการทดสอบภาษาเพื่อให้ได้ชั่วโมงเรียนฟรีที่กำหนดไว้ไม่เกิน 400 ชั่วโมง ฉันไม่มีระบุ เมื่อไถ่ถามไปเจ้าหน้าที่และอีป้าล่ามก็บอกว่า ฉันได้ใบประกาศการทดสอบภาษามาแล้วจากเมืองไทย เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาเรียนที่นีอีก ฉันรีบอธิบายไปว่าทดสอบแบบที่ว่ามันพื้นฐานมาก ฉันได้ใบประกาศก็จริงแต่ตอนนี้ฉันยังไม่สามารถจะสนทนา หรืออ่านเขียนได้ดีพอ ฉันต้องการที่จะเรียนเพราะว่าฉันเพียงฟังเข้าใจแต่ไม่สามารถพูดโต้ตอบได้เลย..ฝรั่งสองคนก็สวนมาว่า นั่่นคือปัญหาของฉันที่ไม่กล้าพูดออกมาเองต่างหาก ฉันต้องแก้ปัญหานั้นโดยกระโดดข้ามความกลัวแล้วพูดออกมา..ฉันยังไม่ยอมที่จะไม่ได้เรียนฟรี ฉันยืนยันว่าฉันจำเป็นที่จะต้องได้คอร์สเรียนจริงๆ ทำอย่างไรฉันถึงจะได้ ..เจ้าหน้าที่เลยบอกว่า กลับไปเขียนจดหมายส่งมาขออีกที ถ้าได้รับการพิจารณาก็จะได้คอร์สเรียน..แม่เจ้า

เดินจ๋อยๆออกมาหาสามีเล่าให้ฟังคร่าวๆ แล้วฉันก็ถูกเรียกไปเอ็กซเรย์ปอด..มีห้องเป็นสัดส่วนให้เปลี้องผ้าส่วนบนออกแม้กระทั่งบราฟองน้ำหนาๆของฉัน..เดินกอดอกเปลือยๆ ตามเจ้าหน้าที่เข้ามาอีกห้องด้านในเพื่อทำการเอ็กซเรย์ สงสัยพุงนำหน้านม ทำให้แหม่มเจ้าหน้าที่หันมาถามว่า ท้องอยู่รึเปล่า..ป่าวหรอก ไออ้วนเฉยๆ..ชิ เรียบร้อยแล้วก็ส่งให้ฉันไปใส่เสื้อผ้าได้แล้วนั่งรอฟิล์ม
แล้วรอพบพยาบาลเพื่อชั่งน้ำหนัก ส่วนสูง วัดสายตา ซึ่งงงๆกับชีวิตมากเพราะป้าแกหน้าดุมาก แล้วไม่พูดอังกฤษสักคำ เสร็จแล้วมารอพบแพทย์ ดีหน่อยที่หมอพูดอังกฤษ ไม่งั้นคงสนุก..หมอเป็นผู้ชายสั่งให้ฉันถอดเสื้อแล้วนอนบนเตียง..ฉันใจหายนิดนึงก่อนจะถามว่าต้องหมดเลยเหรอ บราด้วยเหรอ หมอบอกว่าไมต้องเหลือแค่บราก็พอ..ลุงหมอก็กดๆดูตรงท้อง คลำต่อมแถวคอ แล้วก็เอาหูฟังมาฟังตามท้อง อก หลัง ไหล่ ซึ่งปกติหมอไทยฟังเฉพาะที่หัวใจ นีแกฟังหมดทุกทีเลย..จากนั้นก็วัดความดัน ถามเรื่องสูบบุหรี่มั้ย เรื่องวัคซีน เรื่องยาประจำตัว..แค่นั้นเอง..แล้วก็ดูฟิล์ม แล้วส่งใบรับรองสุขภาพให้เป็นอันเสร็จ

จนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายทำการติดสติ๊กเกอร์มหัศจรรย์ถัดจากหน้าวีซ่า ฉันยื่นรูปถ่าย พาสปอร์ต ใบเสร็จค่าน้ำค่าไฟที่มีชื่อฉันแสดงอยู่ด้วย พร้อมหลักฐานการจ่ายเงินค่าแสตมป์อากร 340 ยูโร เจ้าหน้าที่ก็ทำการติดสติกเกอร์พร้อมส่งคืนมาให้ฉันเป็นอันเสร็จพิธี เกือบเที่ยงพอดี..ด้วยความที่พ่อตัวดียังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใส่ชื่อของฉันลงในประกันสังคมร่วมกับพ่อตัวดีที่ประกันสังคมไม่ยอมทำให้จนกว่าฉันจะได้การ์ดอยู่อาศัยแบบการ์ดแข็งไม่ใช่สติกเกอร์แปะลงในพาสปอร์ตแบบนี้..เลยต้องขอข้อมูลเอาไปยันกับประกันสังคมจนถึงถามเรื่องการเรียนภาษาของฉันอีกรอบ..แหม่มเจ้าหน้าที่คนนี้ก็ยิ้มเจื่อนๆแบบเห็นใจและจดรายละเอียดไปพร้อมบอกว่าจะติดต่อกลับมาอีกครั้งผ่านทางสามีเพื่อช่วยเหลือในเคสของฉัน แต่ก็ควรจะส่งจดหมายมาทิ้งไว้เป็นหลักฐานด้วยว่าเรามีการร้องขอคอร์สเรียนนอกเหนือจากการตัดสินของเจ้าหน้าที่



พ่อตัวดีคงรู้ว่าฉันจ๋อยที่ไม่ได้เรียน.. เขาบีบมือฉันเบาๆ แล้วบอกว่าไม่เป็นไร เรายังมีอีกหลายทาง..ไม่ต้องกังวลไป ต้องดีใจนะ ต่อไปได้หางานทำแล้ว วันนี้ดีจะตาย วันครบรอบวันเกิดสามีแถมเป็นวันที่ฉันได้ใช้สิทธิ์แบบคู่สมรสของชาวฝรั่งเศสเต็มขั้นสักที..จะมาจ๋อยทำไม..ฉันพยายามทำตัวให้ร่าเริงแต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด..ยังคงคิดถึงเรื่องเรียนภาษาต่อไปแบบเงียบๆอยู่คนเดียว

No comments:

Post a Comment