Tuesday, January 4, 2011

เมื่อแม่ช้อยต้องรำ

สองมือหยาบๆที่ขี้แพ้สารพัดทั้งน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก รวมถึงวัตถุที่เป็นโลหะ ยันเหรียญ ทำให้ฉันไม่ค่อยมีอารมณ์จะเป็นแม่ช้อยที่พกเสน่ห์ปลายจวักมาเองสักเท่าไร..ออกจากบ้านเพื่อตะลีตะเหลือกไปทำงาน(ต้องตะลีตะเหลือกเพราะตื่นสาย..เข้างานไม่ทัน) กว่าจะกลับบ้านอีกทีก็ค่ำมืด..จึงเป็นข้ออ้างที่ดีมากสำหรับการไม่เข้าครัว แถมด้วยความที่แม่ของฉันเองนั่นฝืมือทำกับข้าวเข้าขั้นเทพมากๆ แล้วฉันจะเสียเวลามาเข้าครัวจับตะหลิวให้แม่กริ้วทำไม..แทบทุกครั้งถ้าฉันลงมือทำอะไรก็ตาม แม่จะดูขัดตาขัดใจกับท่วงท่าลีลาของฉันมาก..มันดูเก้งก้าง ลุกลี้ลุกลนปนน่าสมเพช..พี่ชายของฉันซะอีกที่ยังได้ฝีมือการทำอาหารไปจากแม่บ้าง

อยู่เมืองไทยของกินมีมากมายสารพัดเมนูให้เลือกสรร ตั้งแต่เดลิเวรี่ส่งฟรี(จริงหรือ) ถึงบ้าน ไปยันเสาะแสวงหาเอาได้ตามความต้องการของท่านๆ ไล่ไปตั้งแต่สารพัดอาหารตามสั่ง ข้าวหมูแดงรสเลิศ บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง ก๋วยเตี๊ยวลูกชิ้นปลาร้อนๆ ยันปลาหมึกปิ้งน้ำจิ้มแซ่บๆ ที่เอ่ยมายังไม่ถึงครึ่งของอาหารที่สามารถหาได้ที่ตลาดโต้รุ้งใกล้บ้าน..แถมมี 7-11 ที่บอกว่าหิวเมื่อไรให้แวะมา..ขยันเปิดมันตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด สอดคล้องวิถีคนไทยที่ไม่ยอมหลับยอมนอนได้ดี ..จำได้ลางๆว่า สมัยยังสาวหลังจากผับปิดตอนตีสอง ก๊งมาได้ที เพื่อนขอแวะกินข้ามต้มข้างทางแก้เมาก่อนกลับบ้าน..ต้มยำรสแซ่บ ไข่เจียวปูฟู ผัดผักบุ้งไฟแดง แถมด้วยยำปลาสิดไข่เค็ม..เอ่ยมาล้วนน่าทาน..แต่เมรีขี้เมาแบบฉันตอนนั้น ได้กลิ่นอาหารขึ้นมาแล้วต้องรีบขอถุงหิ้วจากเด็กเสริ์ฟเลย..ไม่ได้จะมาห่ออาหารกลับบ้านนะ..เอามาอาเจียน..ส่วนอีเพื่อนก็ตั้งหน้าตั้งตาซดน้ำต้มยำกันซี้ดซ้าดได้อารมณ์ ปล่อยให้ฉันฟุบหน้าลงข้างๆจานไข่เจียวปูต่อไปพร้อมมือที่ถือถุงอ้วกไว้แน่นหนา..(เมาแบบมีศักดิ์ศรี ไม่เดือดร้อน เลอะเทอะใคร)นี่คือความอุดมสมบูรณ์ของกรุงเทพ..หาของกินได้ตลอดเวลาจริงๆ

แต่พอฉันเปลี่ยนมาอยู่ที่นี่..แน่นอนว่า อาหารไทยมันไม่ได้มีมากมายเหมือนกรุงเทพฯ อันนี้ฉันทำใจมาก่อนแล้ว ครั้นมาเจอวัฒนธรรมการกินที่มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมืองไทย อาทิเช่น..การกินอาหารแยกประเภทเป็นอย่างๆ พ่อตัวดีเคยเสิร์ฟเพนเน่(พาสต้าหลอดตรงๆตัดปลายเฉียงทั้งสองด้านยาวประมาณ ห้าเซนติเมตร)ที่ต้มสุกแต่ไร้การปรุงรสใดๆ มาพร้อมแฮมสดที่ก็ไม่ผ่านความร้อนใดๆมาให้อีกเช่นกัน..แล้วเอามอสซาเลลาชีสมาให้โรยหน้าเส้นเพนเน่เท่านั้น..กล้ำกลืนฝืนกินเอาใจสามีอยู่สองครั้งโดยตัวช่วยเกลือ พริกไทย ซอสมะเขือเทศแล้วแอบเอาไปเวฟต่ออีกสองนาที..ในขณะที่คุณชายเคี้ยวแฮมอย่างอร่อยจดหมด แล้วค่อยหันมาจัดการกับเพนเน่ที่มีชีสเยิ้มคลุมอยู่อย่างสบายอารมณ์ แต่พอฉันบรรจงทำข้าวหมูแดงมาถวายตรงหน้า พ่อคุณเล่นจิ้มๆเอาหมูแดงที่ราดซอสชุ่มๆไปกินจนหมดตามด้วยหมูกรอบและไข่ต้ม แล้วค่อยหันมาละเลียดกินข้าวหอมมะลินิ่มๆตัวขาวๆ อวบๆ นั่นเพียงลำพัง..ฉันพยายามสอนการกินแบบคนไทยให้หลายครั้ง..สุดท้ายก็ยังกินแบบของเขาอยู่ดี..ตามใจหล่อน..ไม่อยากจะขัดศรัทธา

เมื่อสวรรค์ประทานให้ฉันเจอร้านเอเซียในเมืองที่อยู่แล้ว ฉันออกอาการดีใจมากเดินอยู่ในนั้น สนุกว่าไปเดินช้อปปิ้งดูเสื้อผ้าอีก ฉันหยิบแทบจะทุกอย่างที่รู้จักและเป็นของไทยลงรถเข็นตั้งแต่ ข้าวสาร น้ำปลา ซีอิ้วขาว น้ำพริกเผา กะปิ พริกขี้หนู มาม่า เส้นหมี่ วุ้นเส้น ฯลฯ โดยมีสามีตัวดีที่วันนั้นฉันชมเขาไม่ขาดปากว่า ดีจัง น่ารักที่สุด ทั้งที่ปกติไม่เคยเลยจะพูดหวานๆด้วย..เขาบอกว่า ซื้อไปเลยอยากได้อะไรก็หยิบไป เขาชอบดูตอนฉันเลือกของ มันเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ หยิบไปยิ้มไปแถมบางทีมีกรี๊ดด้วย..(ป้าลืมตัว)

หลังจากเครื่องปรุงพร้อมแต่คนยังไม่พร้อม ด้วยความอยากเป็นตัวผลักดันหลังจากคลอดอาหารง่ายๆจำพวกข้าวไข่เจียวหมูสับ หมูกระเทียม ข้าวผัด ออกมาขายแทนอาหารของพ่อตัวดีแล้ว..ฉันก็เริ่มหาสูตรทำอาหารอื่นๆตามมา ไข่พะโล้ ข้าวหมูแดง หมูอบน้ำผึ้ง แกงส้ม ซุปไก่ หมูสะเต๊ะ แน่นอนบางอย่างมีผู้ช่วย..โลโบ้เท่านั้นอร่อย (ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ พูดตามความจริง หลังๆ ถึงจะมีพวก ไอเชฟ อะไรๆตามมาอีกหลายยี่ห้อก็ไม่เคยได้ค่าโฆษณาอะไร..จริงๆนะ) จากแรกๆที่ผัดหมี่เส้นยังกรุบๆแข็งๆ..หมูอบที่หนักน้ำตาลจนหวานเจี๊ยบ แต่หลังจากทำหลายๆครั้ง มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนแปลกใจตัวเองว่า เออ จะทำจริงๆ ก็ทำได้นะ ฉันทำเองอร่อยเองกันสองคน จนพ่อตัวดีอาจหาญไปเชิญเพื่อนมาทานข้าวที่บ้านนั่นแหละ ด้วยอารมณ์อยากโชว์ฝีมือศรีภรรยา

ฉันนำเสนอมื้อเย็นมื้อนั่นด้วย เปาะเปี๊ยแฮมชีส สเต็กหมูแดง(อันนี้โลโบ้ช่วยได้) ข้าวผัดธัญพืชที่แอบโรยหมูหยองไปเชิดชูรสชาติไว้ สลัดผัก ตบท้ายด้วยของหวาน Flan de coco คัสตาร์ดกะทิแต่จริงๆมันเหมือนขนมหม้อแกงมากกว่านะ.. ผ่านไปได้ด้วยดีหรือแขกเหรื่อที่มากล้ำกลืนทานกันก็ไม่รู้ได้ ทานกันจนหมดแต่คนทำอย่างฉันแอบลุ้นทุกคำของทุกคนเลยว่าจะกินได้มั้ย..เล่นเอาเครียดและเหนื่อยไปเลยทีเดียว จากนั้นฉันก็ได้ต้อนรับเพื่อนๆสามีอีกหลายครอบครัวที่ทยอยมาชื่นชมอาหารไทยแบบของฉัน..นั่นแหละฉันเริ่มต้องหาสูตรที่ง่ายทำไม่ยาก รสไม่จัดมานำเสนอมากขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อฉันคุยกับครอบครัวหรือเพื่อนๆที่เมืองไทย ทุกคนต่างตะลึงว่า ฉันทำไอ้พวกที่ว่ามาได้ด้วยเหรอ ไม่น่าเชื่อ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแหละว่า ความอยากมันชนะทุกสิ่ง มันผลักดันให้ฉันต้องขวนขวายสารพัดเมนูมาบรรเทาความโหยหาอาหารไทย และแถมด้วยความไม่ยอมแพ้เมื่อพ่อตัวดีบอกว่า เขาจะทำขนมไทยให้ฉันกินแต่ไปกางสูตรเวียดนามที่บอกว่านี่คือขนมไทย..ฉันเลยต้องหาวิธีทำข้าวเหนียวสังขยามาสู่สายตาชาวโลกแบบไม่เคยนึกฝันว่าชีวิตนี้จะมูนข้าวเหนี่ยวกินเอง..แม่ช้อยของฉันอาจจะรำคร่อมจังหวะไปบ้าง หรือลืมท่ารำอยู่บ่อยๆ..แต่มันก็ทำให้รู้ว่าไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ถ้าพยายาม..เนอะแม่ช้อยเนอะ

ปล.ขอขอบพระคุณสารพัดเวบไซด์ ครัวไกลบ้าน หรือ pantip ห้องก้นครั ฯลฯ ที่ท่านผู้ใจดีมีเมตตามารีวิววิธีการทำอาหารต่างๆเป็นวิทยาทานแก่สาวไทยไกลบ้านแบบฉันได้คัดลอกตามอัธยาศัย

No comments:

Post a Comment