Saturday, January 1, 2011

ฝ่าพายุหิมะ มาหานะเธอ

ฉันมายื่นแจกยิ้มสยามให้พนักงานเช็คอินสายการบินแอร์ฟรานซ์อยู่พักใหญ่..สายการบินนี้ขึ้นชื่อมากเรื่องคุมเข้มน้ำหนักกระเป๋าเกินนิดๆหน่อยๆ อย่าได้หวังมาขอเด็ดขาด..แล้วสัมภาระที่ฉันตัดใจขนเข้าขนออกอยู่หลายรอบ ตอนนี้มันยี่สิบสี่กิโล เกินมาหนึ่งกิโล..แล้วกระเป๋าที่จะหิ้วขึ้นเครื่องที่ให้สิบสองกิโล ตอนนี้มันพอดีเป๊ะมาก..เอาน่าขอเถอะ กว่าฉันจะได้กลับเมืองไทยคงปีหน้า โอกาสนี้ขอขนไปประทังชีวิตต่างแดนก่อนนะ..

ฉันยังนึกเคืองสามีอยู่นิดหน่อย ไม่รู้ด้วยความที่เขาซื่อหรือฉันพูดไม่เคลียร์ไม่รู้..หลังจากที่ได้วีซ่าแล้วสามีก็ถามว่าจะกลับมาเมื่อไรจะได้ส่งตั๋วมาให้..ฉันบอกไปว่าขออยู่กับแม่อีกหน่อยแล้วกันนะ ขอกลับเดือนหน้าแล้วกัน..สามีรับปากว่าได้เลยไม่มีปัญหา..แต่อีกอาทิตย์หลังจากนั้น ฉันได้รับตั๋วเครื่องบิน เดินทางวันแรกของเดือนถัดมาเลย..เยี่ยมจริงๆ คิดถึงเมียมากเหรอค่ะ..จากนั้นแผนการณ์ที่ว่าจะทยอยไปลาญาติๆ เพื่อนฝูง ใช้เวลากับครอบครัวก็ต้องกระชับวงล้อมมากขึ้น..จำได้ว่าก่อนเดินทางกลับฉันคิวทองมาก..นัดเลี้ยงส่งแทบจะทุกวัน..บางวันกลางวันเย็น วิ่งงานโน้น งานนี้เป็นที่สนุกสนาน..เพื่อนๆแปลกใจว่าทำไมกินน้อยจัง..กินสิ..ฉันไม่อยากจะบอกว่า ตอนนี้กินจนเอียนแล้ว..ขอมาอย่างเดียวส้มตำ อันนี้แม่ซัดไม่ยั้งเลย

ผ่านด่านเช็คอินมาได้ โดยไม่ลืมย้ำพนักงานว่ากระเป๋ารอรับปลายทางคือลียงนะคะ ไม่ใช่ปารีส..พนักงานแอบเหวอนิดหน่อย..แต่ก็เช็ครายละเอียดสักครู่แล้วหันมาบอกว่าเรียบร้อยแล้ว..ฉันเดินเข้าด้านในเพื่อผ่านการตรวจคนเข้า ออกประเทศ ไม่มีปัญหา..จนถึงตรวจกระเป๋าที่จะเอาขึ้นเครื่องรวมถึงตัวฉันเองด้วย..เหมือนทุกอย่างจะเรียบร้อยดี แต่ระหว่างที่ฉันหอบกระเป๋าและเตรียมใส่โน้ตบุ๊ครุ่นโบราณหนักอึ้งเข้ากระเป๋า..พนักงานก็เชิญมาขอตรวจกระเป๋าอีกรอบ..ฉันงงว่ากระเป๋าฉันมีอะไรเหรอ มันมีแค่โน้ตบุ๊ค หนังสือเรียน ดิกชันนารีกับข้าวของประทินโฉมที่จะใช้บนเครื่องบินเท่านั้นแหละ..จนเปิดซิปด้านในออก อ้าวเฮ้ย ถุงอะไร แป้งๆ ขาวๆ ฉันเอาอะไรมาอ่ะ..เจ้าหน้าที่ถามว่าผงอะไร..พอพลิกมาอีกด้านฉันถึงจะได้ว่า..อ๋อ ฉันซื้อแป้งท้าวยายม่อมมาด้วย..แล้วความที่กระเป๋าน้ำหนักจวนเจียนเต็มพิกัด ฉันเลยโยนเจ้านี่ลงกระเป๋าที่จะเอาขึ้นเครื่องด้วย..พอเจ้าหน้าที่เห็นก็หัวเราะเบาๆ..ถามว่าเอาไปทำกับข้าวเหรอครับ..ค่ะ จะเอาไปทำขนมถ้วย..ฉันตอบไปแบบอายๆปนขำๆ

จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ปารีสบินตรงแบบไม่มีแวะพักที่ไหน จะใช้เวลาประมาณสิบสามชั่วโมง..ฉันพยายามที่จะหลับทันทีเมื่อไฟในห้องโดยสารปิดลง เพราะรู้ดีว่าถ้าไม่พยายามหลับตอนนี้จะเปิดปัญหา Jetlag ตามมาแน่นอน..แต่ทำยังไงก็หลับไม่ลง ไหนจะเพราะคุณแหม่มสาวตัวใหญ่ที่นั่งเบียด ไหนจะเสียงหนูน้อยวัยอ้อแอ้ที่คงหูอื้อจากแรงกดอากาศ จนต้องแผดเสียงร้องไห้จ้าลั่นเครื่องบิน..ฉันเปลี่ยนมาดูหนังไปแทน จนคิดว่าล้าๆเคลิ้มๆ จะนอนแล้ว..คุณแอร์ฯเปิดไฟ แจกอาหารให้กินอีกแล้ว..กินก็กิน เดี๋ยวไม่คุ้ม..ทั้งที่ฉันไม่หิวหรอก แต่กินตามหน้าที่..ออกจากเมืองไทยเที่ยงคืน ฉันมาถึงปารีสสนามบินชาร์ล เดอ โกลด์ เวลาหกโมงครึ่งตอนเช้า..ต้องต่อเครื่องไปลียงเจ็ดโมงครึ่ง เดินทางหนึ่งชั่วโมงก็จะถึงลียง..อีกไม่นานก็จะได้นอนหลับพักสบายบนเตียงอุ่นๆแล้ว..ปลอบใจตัวเองไปแบบนั้น ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองโดยที่เจ้าหน้าที่รับพาสปอร์ตพร้อมตั๋วเครื่องบินต่อไปลียงไปดูแล้วคืนมาให้แบบไม่มีการประทับตราขาเข้าให้แบบทุกครั้งที่ผ่านมา..ฉันทึกทักเอาเองว่า สงสัยคงให้ไปประทับตราที่ลียงละมัง เพราะนี่เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ฉันต่อเครื่องจากปารีสไปลียง..ทุกทีพ่อตัวดีมารอรับตั้งแต่ปารีสไปลียงแล้วบึ่งรถกว่าห้าชั่วโมงไปลียงแบบทุลักทุเล..

ฉันเดินออกมาตามป้าย transit จนมาเจอผังแสดงเที่ยวบิน..มองหาเที่ยวบินของตัวเอง..มีครบเพียงแต่ว่า มันมีตัวหนังสือแดงๆ Annuler ..โอว ถ้าจำไม่ผิด คำนี้มันแปลว่ายกเลิกนี่หว่า..แถมประตูเกทที่ต้องไปเช็คอินก็ไม่มี..แน่แล้ว ฉันคิดว่าไฟลท์ยกเลิกแน่ๆ..เดินหน้ามึนๆ เซ็งๆ แถมง่วงไปติดต่อที่ประชาสัมพันธ์ซึ่งตอนนี้คนไปต่อคิวยาวเหมือนกัน..รอจนได้ตั๋วใบใหม่มาถือในมือ..จากเดิมบินเจ็ดโมงครึ่ง คราวนี้ฉันต้องรอจนบ่ายโมงครึ่งถึงจะได้ขึ้นเครื่อง ได้คูปองอาหารว่างและเครื่องดื่มมาปลอบใจหนึ่งใบที่เจ้าหน้าที่บอกว่าเอาไปใช้ที่ภัตตาคารไหนก็ได้..อืมม รับมาแบบงงๆ แต่ก็เอา จัดแจงหาโทรศัพท์โทรหาพ่อตัวดีจะได้ไม่ต้องไปรอเก้อที่สนามบิน..ปลายสายรับแล้วบอกว่ากำลังจะออกจากบ้านแล้ว..ฉันบอกว่าไม่ต้องรีบเพราะว่าไฟลท์เลื่อน..พ่อตัวดีถามว่าได้บินอีกทีกี่โมง ฉันบอกไป แล้วเสียงเตือนเวลาหมดก็ดังขึ้ึ้น..เจอกันที่สนามบินบ่ายสามคือคำสุดท้ายที่เราพูดกัน..

ฉันเดินหาเก้าอี้ว่างๆนั่งพัก..จะเล่นอินเตอร์เนทค่าเวลา..ก็นึกเสียดายเงินเพราะว่าชั่วโมงละสี่ยูโร จะซื้อแบบเต็มวันสิบยูโรก็งกอีก..เพราะใช้ไม่คุ้ม เลยคว้าสมุดเกมสุโดกุมาเล่นแทน..จนเกือบสิบเอ็ดโมง คิดว่าได้เวลากำจัดคูปองอาหารที่ว่า..ร้านอาหารดีๆที่มีที่นั่งตอนนี้ถูกจับจองให้พรืดจากบรรดาผู้โดยสารที่เจอโรคเลื่อนแบบฉัน..ฉันเลยเดินมาที่ซุ้มขายเบเกอรรี่และกาแฟชื่อว่า Paul ฉันสั่งขนมปังชอกโกแลตและกาแฟร้อนด้วยภาษาฝรั่งเศส..แล้วถามว่าฉันจะใช้คูปองนี้ได้มั้ย..คนขายบอกว่าไม่เปลี่ยนเป็นแซนวิชเหรอ..ในนี้ระบุให้เป็นแซนวิช..แต่พนักงานหญิงอีกคนบอกว่า เบเกอรี่ก็ใช้ได้..ฉันเลยรับสองอย่างที่ว่ามาแบบไม่ต้องเสียตังค์ แต่ที่แน่ๆพนักงานสองคนนั่นคงเสียขวัญกับภาษาฝรั่งเศสแบบของฉันอยู่ไม่น้อย

จัดการกับสองอย่างที่ว่า ทำธุระส่วนตัวต่อในห้องน้ำ สภาพหนังหน้าตอนนี้อย่าให้พูดเลย หน้าซีดๆ เหลือง ขอบตาคล้ำ ตาแดง..เหมือนคนเสพยามาก..เที่ยงครึ่งแล้ว ฉันคิดว่าไปรอในเกทดีกว่า เดินไปเช็คอินตรวจกระเป๋าที่จะเอาขึ้นเครื่อง..เหมือนจะดี แต่มาติดตรงแป้งท้าวยายม่อมอีกนั่นแหละ..เจ้าหน้าที่คงนึกว่าเฮโรอีน..แถมฝรั่งก็อ่านภาษาไทยไม่ออก..ฉันเลยต้องบอกไปว่า pour fait la cuisine. พัว เฟ ลา คุยซีน..สำหรับทำอาหาร..อา..เสียงเจ้าหน้าที่เบิกตาโพล่ง ตอบกลับมา แต่ก็ยอมให้ฉันผ่านมาโดยดี..

ที่เกทคนเยอะมากจนไม่มีที่นั่ง..ฉันหาได้แคร์ไม่ อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะได้ขึ้นเครื่องแล้ว ไม่ต้องนั่งก็ไม่ว่าอะไร..ฉันจับจ้องที่จอทีวีที่บอกไฟลท์บินและเกทว่าต่อไปเที่ยวบินนี้จะพาฉันกลับบ้าน..เกทข้างๆเป็นไฟลท์ที่จะเดินทางไปอัมสเตอร์ดัม ไฟลท์ออกก่อนของฉันครึ่งชั่วโมง..แต่ภาพตรงหน้าคือ ยังไม่มีเครื่องบินมาจอดเทียบท่า หิมะโปรยลงมาบางๆ สักพักเจ้าหน้าที่ประกาศไฟลท์เลื่อนไปเป็นหกโมงเย็น..ฉักนึกสงสารบรรดาผู้โดยสารไฟลท์นั้นอยู่ในใจ..แต่ไม่มากเพราะว่าอารมณ์นั้นฉันไม่คิดอะไรนอกจากอยากจะถึงบ้านให้เร็วที่สุด..แต่เหมือนเหตุการณ์โดมิโน แทบทุกเกททยอยเลื่อนไฟลท์ ฉันพยายามมองหาเกทที่จะไปลียงที่เปลี่ยนไปมาห้าครั้ง จนได้ความว่าจะได้บินอีกทีห้าโมงครึ่ง..แม่เจ้า..ผู้โดยสารหลายคนไปโวยที่เจ้าที่รับเช็คอินที่เกท..ก็ได้รับคูปองเครื่ิองดื่มมาเป็นการปลอบขวัญแทน..ฉันไม่อยากกินอะไรทั้งนั้นเลยมองหาที่นั่งแล้วเล่นสุโดกุต่อไปฆ่าเวลา..

ตอนนี้ห้าโมงสิบนาที ฉันยังนั่งอยู่อย่างเซ็งๆ และง่วงกับการเจอไฟลท์ดีเลย์เพราะหิมะตกแบบนี้ แต่จะมาหลับตอนนี้ไม่ได้ เดินทางคนเดียวต้องปลุกตัวเองให้ตื่นตลอด..ไม่งั้นมีรายการสัมภารหายจะไปเรียกร้องเอากับใคร..สักพักแหม่มฝรั่งพูดฝรั่งเศสอย่างรัวกับฉันที่ตอนนั้นสมองตายเพราะเหนื่อยล้ามากและไม่อยากจะรับฟังด้วย..ฉันยิ้มเจื่อนๆแบบให้รู้ว่าไม่รู้เรื่องเป็นการตอบ..จนเธอพยายามพูดอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่นว่า..give me the chair>>I have baby พร้อมเปิดเสื้อโค้ทตัวใหญ่ออก แล้วชี้ไปที่ท้องของเธอ..ฉันไม่ได้สนใจจะดูท้องเธอหรอก ว่าเธอจะหลอกฉันรึเปล่า แค่เธอบอกว่ามีเบบี้ฉันก็ทะลึ่งพรวดลุกให้แล้ว ไม่ต้องโชว์ท้องคุณแม่ยังสาวที่มองไม่ออกว่าท้องแบบนั้นให้ดูก็ได้.

ยืนรอต่อไปจนเห็นเครื่องบินมาเทียบท่าตอนห้าโมงครึ่ง ผู้คนแย่งกันขึ้นเครื่องแบบอดทนรอไม่ไหว..ฉันรอแบบรั้งท้าย..ยื่นตั๋วพร้อมพาสปอร์ตให้ไป แต่ติดตรงนามสกุลในตั๋วเป็นนามสกุลสามี แต่พาสปอร์ตยังเป็นของเดิม..ฉันเลยต้องเอาทะเบียนสมรสโชว์ให้ดู ก่อนที่พนักงานจะปล่อยให้ขึ้นเครื่อง..สามีทำงานบริการในสายการบิน ฉันเลยได้สิทธิ์พนักงานซื้อตั๋วในราคาถูก แน่นอนว่าต้องใช้นามสกุลสามี..เพราะฉะนั้นฉันยังต้องพกทะเบียบสมรสไปตลอดหากยังใช้พาสปอร์ตของไทย..ที่ฉันก็ไม่คิดจะไปเปลี่ยนหลักฐานทุกอย่างของฉันในเมืองไทยให้เป็นนามสกุลสามี..อยากเป็นนางสาวที่ไทยใครจะทำไม..ถึงจะเป็นมาดามแล้วที่นี่ก็ตาม

ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเท่านั้นฉันก็ถึงลียงตอนหนึ่งทุ่ม..ฟ้ามืดหิมะโปรย..บรรยากาศหนาวยะเยือก..เดินไปตามป้ายบอก สุดท้ายฉันมาโผล่ที่จุดรอรับกระเป๋าโดยไม่มีการตรวจคนเข้าเมืองอีกแต่อย่างใด ฉันเห็นสามีตัวดียืนยิ้มเผล่อยู่ตรงนั้นแล้ว..ใช้สิทธิ์พนักงานเข้ามาข้างในหน้าตาเฉย..ฉันดีใจที่เขามารอรับแต่เหนื่อยเกินกว่าที่จะโผกระโดดกอดแบบในหนังที่สามีตัวดีอย่างให้ฉันลองทำแบบนั้นบ้าง..แต่ฉันอ้วนเกินกว่าจะกระโดดได้..ไม่เอาดีกว่า..ฉันถามสามีว่าไม่มีตรวจคนเข้าเมืองเหรอ..ที่ปารีสไม่ประทับตราให้ ฉันนึกว่าจะให้ทำที่ลียง..แต่ที่นี่ดันไม่มีต้องซะอย่างงั้น..ทำไงอ่ะ..ต้องเอาหน้าพาสปอร์ตที่มีประทับตราการเข้าประเทศของฉันไปยื่นให้ OFII หรือสำนักงานคนต่างด้าวของที่นี่ด้วยนะ..สามีตัวดีเลยขอพาสปอร์ตของฉันไปถามตำรวจประจำสนามบิน..พักเดียวก็มาหาฉันที่ได้กระเป๋าเรียบร้อยเตรียมกลับบ้านได้..แล้วบอกว่า ต้องไปให้ตำรวจประทับตราให้โดยต้องไปติดต่อสำนักงานของตำรวจในสนามบิน..

คุณตำรวจแอบงงว่าทำไมที่ปารีสไม่ประทับตราให้ฉัน..ฉันก็ยื่นให้ดูหมดทั้งตั๋วเครื่องบิน boarding pass, passport ฉันบอกไปว่าเขาคงง่วง.. เพราะมันเช้ามาก..ตำรวจหันมาขยิบตาให้แบบขำๆก่อนจะประทับตราและเซนต์ชื่อให้อย่างไม่มีปัญหาอะไร..เดินออกมาข้างนอกที่บรรยากาศเหมือนหนังผีฝรั่ง หนาวๆ มืดๆ หมอกๆแบบฟ้าปิด พื้นมีหิมะที่แข็วตัวจนเป็นน้ำแข็ง ลื่นๆ เปียกๆ หนาว ง่วง เดินลำบาก..ทรมานจริงๆ ฉันบอกพ่อตัวดีว่า มื้อนี้ฉันไม่ทำกับข้าวแล้วนะ ไม่ไหวอยากนอน..พ่อตัวดีเลยแวะซื้อพิซซ่ากลับไปกินที่บ้าน..กล่องพิซซ่าอุ่นๆถูกวางตรงหน้าตัก..ช่วยได้มากเลย อุ่นๆ หอมๆ แต่ตอนนี้ไม่อยากกินอยากนอนอย่างเดียว..

สองเท้าเหยียบหน้าประตูบ้านตอนสองทุ่ม ถ้านับจากเวลาที่ฉันออกจากบ้านที่เมืองไทยตอนสองทุ่มไปสนามบินสุวรรณภูมิ ตอนนี้ก็ยี่สิบแปดชั่วโมงที่ฉันไม่ได้หลับไม่นอน..พ่อตัวดีจัดแจงเตรียมข้าวของสำหรับมื้อค่ำและเปิดฮีทเตอร์ห้องนอนเพราะดูสภาพแล้วเมียคงไม่ไหวเป็นแน่..ฉับรับพิซซ่ามาถือในมือแล้วกัดไปสองคำ นั่นคือสิ่งที่ฉันจำได้..จนเช้ามาพ่อตัวดีบอกว่า เมื่อคืนสภาพฉันย่ำแย่มาก หลับคาโซฟา พิซซ่าก็ถือติดมือไม่ยอมปล่อยด้วย..กว่าจะแกะพิซซ่าออกแล้วลากเข้าห้องนอนได้..เหนื่อยเลย..อุเหม่ จริงเหรอเนี่ย..แล้วพิซซ่าฉันตอนนี้อยู่ไหน..เอามาเลย..ฉันจะกิน ฉันหิว..โอวว คุณพระ

No comments:

Post a Comment