Thursday, February 3, 2011

มหัศจรรย์สัมพันธภาพบนอินเตอร์เนท

ฉันนั่งอ่านเรื่องราวของผู้คนหลากหลายผ่านตัวหนังสือในหน้าเวบไซต์ สื่ออินเตอร์เนทที่มีเครือข่ายครอบคลุมไปทั่ว..เชื่อมโยงให้คนทั่วโลกติดต่อกันได้  ร่วมทุกข์ ร่วมสุข มีการแสดงความคิดเห็น หรือแม้แต่สืบค้นหาหลักฐานความจริงมาตีแผ่ เปิดวิสัยทัศน์อีกด้านให้รับรู้โดยทั่วถึงกัน

เรื่องของรักออนไลน์หรือสายสัมพันธ์สาวไทยกับชายต่างชาติ ฉันไม่ขอพูดถึงเพราะว่า ฉันบอกไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องถูกหรือผิดหากจะจริงจังกับความสัมพันธ์แบบนี้ ..ไม่ได้สนับสนุนหรือคัดค้าน นานาจิตตัง..
ถามว่าจะไปเชื่อถืออะไรได้กับความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ไม่เคยได้เจอกัน อาศัยเพียงพูดคุยผ่านสื่ออิเลกทรอนิกส์ จะไปรักกันดูดดื่มถึงขั้นปลงใจใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์สามี-ภรรยาได้หรือ..ในมุมของฉัน ฉันคิดว่าหากซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองทุกครั้ง และเจอกับคนประเภทเดียวกันที่ไม่หลอกลวงต่อความรู้สึกตนเองเช่นกัน คนสองคนมาเจอกันในโลกอินเตอร์เนท ก็สามารถสานต่อจนเกิดความสัมพันธ์ในโลกแห่งความจริงได้เช่นกัน..แต่หากเริ่มต้นด้วยการเสกสรรปั้นแต่งคำพูดสวยหรูมาหลอกลวงตบตาคู่ต่อสู้ เราก็จะเจอคู่สนทนาไหลลื่นสมน้ำสมเนื้อเช่นกัน..วิจารณญาณเท่านั้นช่วยคุณได้

จากเดิมหากอยู่เมืองไทย นอกจากพ่อตัวดีแล้ว ฉันยังมีกองทัพกำลังใจอื่นๆอีกเพียบ พ่อแม่เอย พี่ๆเอย เพื่อนๆ ไม่ว่าจะสมัยมัธยมเปรี้ยวอมหวาน หรือเพื่อนๆที่ฝ่าฟันมรสุมเอฟมาด้วยกันสมัยมหาวิทยาลัย จนได้เพื่อนซี้ถูกใจในที่่ทำงาน..สารพัดเรื่องราวจะหยิบมาเล่าสู่กันฟัง..เพื่อผ่อนคลายความทุกข์ แชร์ความสุข หรือแม้แต่ระบายความโมโหกับสิ่งขัดใจที่เจอในแต่ละวัน..

เมื่อมาอยู่ไกลบ้าน แน่นอนว่า ตอนนี้ฉัมมีแค่สามีเป็นเพื่อนคู่คิดคนเดียวเท่านั้น..แม้ครอบครัวและบรรดาเพื่อนๆที่เมืองไทยยังคอยอ้าแขนรับฉันอยู่เสมอ แต่ในบางครั้งฉันเองก็มีปัญหาที่ไม่อยากให้เขาเหล่านั้นต้องมารับรู้..ฉันไม่อยากให้พวกเขาต้องมารับฟังปัญหาที่อาจจะดูงี่เง่าแต่ ณ เวลานั้นที่ฉันจิตตก มันคือปัญหาใหญ่ระดับประเทศ บางครั้งฉันเองยังต้องเลี่ยงที่จะไม่พูดเรืองบางเรื่องออกไป เพราะไม่อยากให้ที่บ้านเป็นห่วง..

จากเดิมที่หวังไว้มากว่าจะได้เรียนภาษาอย่างจริงจัง หลังจากไปรายงานตัวขึ้นทะเบียนขอบัตรพำนักแล้ว..เมื่อไม่ได้เป็นตามที่หวัง แน่ละฉันเกิดอาการจิตตก  เครียด  และไม่รู้จะไปพึ่งใครที่ไหน..ฉันย้อนมาพึ่งหน้าเวบไซด์ที่ฉันอาศัยหาข้อมูลเรื่องเอกสารวีซ่าอีกครั้ง..ฉันหวังว่าพี่ๆ เพื่อนๆ ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน อาจจะให้คำแนะนำฉันได้ ว่าเมื่อเจอระบบราชการเมืองน้ำหอมที่ไม่อาจจะหาหลักใดมากำหนดได้ว่า ควรทำเช่นไร เพราะแต่ละท้องที่ยังทำงานไม่เหมือนกัน..ระบบตามใจฉันซะมาก

ฉันเริ่มตั้งกระทู้ถามข้อมูลว่าควรจะทำอย่างไรดีกับปัญหาของฉัน..เพียงไม่นานมีผู้คนมากมายเข้ามากระทู้ทื่ว่าและให้คำแนะนำ แชร์ประสบการณ์หรือให้กำลังใจ..วินาทีที่ฉันนั่งอ่าน ฉันรู้สึกว่าลำคอมันตีบๆ ขอบตาร้อนๆ..คนพวกนี้เป็นใครกัน..ไม่ได้รู้จักกันเลยแม้แต่น้อยแต่ยังเข้ามาร่วมแบ่งปันความทุกข์ของฉันที่ระบายลงไปในหน้าต่างอิเลกทรอนิกส์..จากกระทู้ปรึกษาว่าทำอย่างไรถึงจะได้เรียนภาษา..มาถึงตอนนี้มีเพื่อนๆ พากันมาแนะนำเวบไซต์ สำหรับการเรียนภาษาด้วยตนเอง หรือแนะนำให้ลองไปติดต่อหน่วยงานอื่นๆดู..ฉันได้รับอีเมล์จากพี่ๆหลายท่านที่เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย..เพียงแต่ตัวหนังสือในกระทู้นั่น มันทำให้พวกเขาส่งอีเมล์มาพูดคุยและให่กำลังใจฉันที่ตอนนั้นอาการหนักอย่ในขั้นโคม่า..วนเวียนคิดแต่เรื่องที่ไม่ได้เรียนพาลคิดว่า อนาคตจะทำยังไง จะต้องตกงานอีกนานเท่าไร

พวกเธอทิ้งเบอร์โทรไว้ให้ พร้อมบอกว่ามีอะไรไม่สบายใจโทรมาคุยกันได้เสมอ..ฉันตื้นตันมาก..คนที่ไม่รู้จักกันเลยไม่เคยเห็นหน้า พวกเธอเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องยี่หระต่อตัวหนังสื่อไม่กี่บรรทัดของฉันในหน้ากระทู้นั่นก็ได้..แต่ความห่วงใยและใส่ใจก็ทำให้ฉันได้อีเมล์มาหลายฉบับ..ฉันกดเบอร์โทรทื่ได้มา..ปลายสายเป็นเสียงหญิงไทยใจดี..เธอบอกว่า เธอมาอยู่ที่นีนานแล้วเป็นสิบปี..เธอเห็นอาการฉันไม่สู้ดีนัก เลยอยากให้คำแนะนำและกำลังใจ..เป็นสิ่งที่ไทยด้วยกันจะช่วยกันได้ เพราะเธอเข้าใจดีว่า การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ อาจทำให้ฉันอึดอัดใจและซึมเศร้าได้ง่ายกับการปรับตัวให้ชินกับชีวิตที่นี่

เกือบสองชั่วโมงที่เราคุยกัน..บางท่านอาจจะคิดว่า ง่ายไปหน่อยมั้ย ไม่รู้จักกันจะไปเชื่อใจเขาได้ยังไง..จากน้ำเสียงของสาวช่างเจรจา มันฟังดูอบอุ่นเหมือนเรารู้จักกันมานาน เป็นคนบ้านเดียวกัน ไทยเหมือนกัน มีอะไรก็ต้องช่วยกัน..เธอแนะนำและปลอบใจ ให้กำลังใจ สำเนียงเมืองเหนือและสไตล์การพูดของเธอมันทำให้ฉันรู้สึกอุ่นๆในหัวใจ..ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำตามคำแนะนำของเธอได้ดีเพียงไร หรือสิ่งที่เธอพูดมานั้น มันจะเกินจริงหรือเชื่อถือได้หรือไม่ ฉันรู้เพียงว่าฉันสัมผัสได้ถึงความเอ็นดูที่เธอเพียรพยายามไถ่ถามฉันด้วยความเป็นห่วง..กำลังใจและคำปลอบโยนที่้เธอมีให้คนแปลกหน้าอย่างฉัน..และฉันก็รู้สึกมีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อไป

จากเดิมที่ไม่เคยใส่ใจกับบรรดาฟอร์เวิร์ดเมล์ขอบริจาคเลือด หรือคลิกเพื่อบริจาคให้แก่ผู้ประสบปัญหาต่างๆ..เพราะคิดว่ามันไม่มีจริง..แต่ตอนนี้ฉันพยายามจะช่วยเท่าที่ทำได้ เด็กน้อยที่รอบริจาคเกล็ดเลือด หรือ คุณยายชราที่ต้องเดินเร่ขายแกงหาเงินมาประทังชีวิต แม้แต่หมาน้อยที่ถูกทิ้งรอการถูกจับไปฆ่า หลากหลายชีวิตได้รับความช่วยเหลือจากการบอกกล่าวผ่านหน้าอินเตอร์เนท..วันนี้ฉันใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้มากขึ้น..การคิดถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายผ่านเรื่องราวและคำพูดผ่านตัวอักษร มันช่วยฉันอ่อนโยนและใส่ใจคนอื่นมากขึ้น  เพราะความมหัศจรรย์ของสัมพันธภาพที่ฉันได้ประจักษ์แก่ตัวเองจริงๆในวันนี้เอง

No comments:

Post a Comment