Friday, January 21, 2011

ไปเรียนภาษากันเถอะ

ฉันมานั่งรอที่หน้า Maison de quartier รอเรียนภาษาสำหรับบ่ายวันนี้ ..หลังจากไปติดต่อฉันได้คอร์สภาษาที่เน้นการออกเสียง..เรียนจันทร์เช้าและอังคารเช้าและบ่าย..สามีมาหย่อนฉันทิ้งไว้และบึ่งรถไปทำงานกะบ่ายต่อ ก่อนไปถามเพื่อความแน่ใจว่าฉันกลับบ้านได้แน่นะ ฉันบอกว่าได้ ถึงตอนนี้จะนั่งรถเมล์ไม่เป็น แต่จากระยะสามป้ายรถเมล์ใกล้ๆ ฉันว่าเดินเอาก็ยังไหว

ก่อนเข้าเรียนฉันได้เจอบรรดาต่างด้าวแบบฉันเยอะแยะมาก สองสามีภรรยาจากอัลบาเนียวัย 50 ที่ต้องมาเรียนภาษากันใหม่หลังจากย้ายมาตั้งรกรากที่นี่  คุณป้าจากกัมพูชาที่ต้องมาเรียนภาษาเพิ่มเพราะจะทำการขอสัญชาตินั่นเอง รวมถึงหนุ่มสาวชาวอาหรับอีกหลายคนที่ต้องมาเรียนการอ่านเขียนเพราะพูดซะคล่องแต่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ก็มี  ระหว่างที่ครูอาสาสมัครทั้งหลายกำลังประชุมแบ่งนักเรียนกัน มาดามหรือครูคนแรกที่เป็นคนที่รับสมัครฉันเข้าเรียน บอกว่าให้ฉันไปเข้าร่วมกลุ่มสนทนากับเพื่อนๆนักเรียนคนอื่นๆ ไปพลางๆก่อน ฉันรีบออกตัวว่า เอ่อ ยังพูดไม่ได้เลย จะให้คุยยังไงมันยากนะ  ครูแหม่มสวนมาว่าก็แค่แนะนำตัว ลองพูดดู ..ฉันเดินไปหาสองสามีภรรยาจากอัลเบเนีย แนะนำตัวเอง ถามชื่อ ตามแบบฉบับที่เรียนมาเป๊ะ แรกๆ ก็เขินๆ หลังๆ ชักจะขำตัวเอง เลิกอาย เพราะว่า สองคนนั่นก็ไม่ต่างจากฉันสักเท่าไร แต่ดันคุยกันรู้เรื่อง..เออ มั่วจนได้ดี  ...หลังจากนั้นครูประชุมแบ่งนักเรียนกันแล้ว เราก็แยกย้ายไปตามมุมต่างๆของห้องเพื่อเริ่มเรียนตามโซน

ฉันเรียนกับครูแหม่มวัยกลางคนท่าทางใจดี พูดช้า เพราะอยากให้ฉันฟังทัน..เราเริ่มเรียนกันตั้งแต่คำทักทาย แต่ที่นี่ไม่ได้เน้นให้ฉันฟังอย่างตอนเรียนที่เมืองไทย..ฉันต้องอ่านแทบทุกคำให้ครูฟัง เพราะว่าครูอยากให้ฉันฝึกการออกเสียง.. เรียนไปทยอยทำแบบฝึกหัดไป แต่มีสือการสอนที่ดีมากแถมเรียนตัวต่อตัวทำให้ฉันลืมไปเลยว่า ครบสองชั่วโมงแล้ว..ก่อนกลับครูเอาชีทมาให้เพิ่มแล้วบอกว่า เธอจะมาแค่วันอังคารบ่ายเท่านั้น  เรียนคราวหน้าวันจันทร์ฉันคงต้องเรียนกับครูคนอืนก็เรียนต่อจากชีทนี่แล้วกัน

ฉันเดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าเดิมมาก ดีกว่าตอนที่นั่งอ่านหนังสือหมกตัวอยู่คนเดียวเป็นไหนๆ อย่างน้อยวันนี้ฉันได้เห็นผู้คนมากมายที่ยังต้องพยายามเรียนภาษาเหมือนฉัน มันทำให้ฉันมีแรงฮึดว่า ฉันไม่ได้แย่อยู่คนเดียว แถมระหว่างทางที่เดินลงเนินเขาเพื่อกลับบ้าน ครูคนหนึ่งแต่ไม่ได้สอนฉันจอดแวะถามว่าฉันจะไปไหน เธอจะไปส่ง ...ฉันบอกชื่อซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านไป..เพราะคิดว่ามันสะดวกกับทั้งฉันและครูไม่ต้องแวะไปส่งถึงบ้าน..ช่วงไม่ถึงห้านาทีเราก็พูดคุยกันด้วยดี ..อย่างน้อยฉันก็ภูมิใจที่เริ่มจะสื่อสารฝรั่งเศสได้ด้วยตัวเองบ้างแล้ว  จากเดิมที่พอมีสามข้างตัว ฉันก็จะไม่ใคร่พยายามเอ่ยวาจาออกมามากนัก

กลับมาถึงบ้าน รายงานตัวกับสามีที่ยังอยู่ที่ทำงานว่า ภรรยาถึงบ้านแล้วโดยสวัสดิภาพ มิต้องเป็นห่วง ..แล้วลงมือเก็บกวาดเคหะสถานที่ปล่อยให้รกรุงรังเพราะรีบไปเรียนแลัวนั่งพักผ่อนกายาอยู่หน้าทีวีพร้อมขนมนมเนยนานาชนิด..กินเอาตายแต่ทำงานเพียงหยิบมือ..แม่ผีเรือนจริงๆ...นั่งเพลินไปหน่อยจดมืดค่ำ สามีใกล้จะกลับ ฉันยังไม่ได้เตรียมมื้อเย็นเลย กระวีกระวาดเข้าไปในครัวหยิบโน่นฉวยนี่มาเตรียมทำสปาเกตตีผัดซอสให้คุณชาย..ต้มเส้นเพิ่งเส้นแบบอัลดันเต้ คุณเธอก็มาแสดงตัวต่อหน้าฉันในห้องครัว เพียงแต่วันนี้มาแปลกไม่พูดอังกฤษสักคำ พ่นฝรั่งเศสใส่อย่างเดียว..แต่ฉันยังคงตอบเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเดิม..แต่พ่อตัวดีทำเป็นไม่เข้าใจ บอกว่าฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจ..ให้ตอบเป็นฝรั่งเศส..เอาละสิ แล้วจะพูดยังไงให้สามีที่รักเข้าใจในไวยากรณ์นรกของฉันหล่ะ..

ค่ำนั้นระหว่างมื้อเย็นเป็นมื้อเย็นที่ใช้เวลาบนโต๊ะอาหารนานมาก อาหารตรงหน้าพร่องไปไม่เท่าไร ไม่ใช่เพราะว่ามันไม่อร่อย หรืออิ่มจนกินไม่ลง..ฉันใช้เวลาทั้งหมดในการแสดงท่าทางเพื่ออธิบายให้สามีฟังว่า วันนี้ไปทำอะไร เรียนเป็นยังไง เจอใครบ้าง มีเพื่อนรึยัง แล้วกลับมาบ้านยังไง..ถ้าพูดเป็นอังกฤษป่านนี้คงเล่าจบพร้อมฟาดอาหารตรงหน้าไปแล้ว แต่นี่ฝรั่งเศสล้วนๆ เล่าไป ขำไป คิดไม่ออกไป แต่ก็ต้องทำ เพราะถือว่าฝึกตัวเองแล้วก็เห็นใจพ่อตัวดีที่ถูกเพื่อนๆ และครอบครัวว่าตลอดว่า ที่ฉันยังพูดฝรั่งเศสไม่ได้เป็นความผิดของสามีเองที่ดันพูดอังกฤษกับฉันไม่เลิก..อา เบ เซ เด  มันไม่ง่านเหมือนเนื้อเพลง อาเซเดเฮ ที่เปิดเมื่อไรป้าแดนซ์กระจาย..ฉันได้แต่พยายามละทิ้งความอายออกไป พูดมันออกมาทั้งผิดๆถูกๆ อย่างน้อยฉันก็ได้ฝึก เวลาไม่เคยรอใคร แล้วฉันก็ไม่ควรที่จะละทิ้งโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองแค่เพราะฉันอาย..อายครูบ่รู้วิชา   ด้านได้อายอด..วินาทีนี้ฉันเลิกอาย ฉันพ่นสารพัดคำออกไปเพื่อจะจบการเล่าเรื่องชีวิตประจำวันวันนี้ออกไป เพราะตอนนี้ท้องไส้เรียกร้องให้จัดการกับอาหารตรงหน้าก่อน ซึ่งอาจารย์ที่นั่งอยู่ข้างๆคงได้ยินเสียงเรียกร้องนั้นดี..และไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์สปาเกตตีสังหารสามี จึงยินยอมยุติการติวเข้มนั่น..เพราะตอนนี้หน้าภรรยามันสลักคำว่า หิวๆๆๆ Tu as comprend?

No comments:

Post a Comment