Sunday, March 6, 2011

เริ่มมีหวังไปเรียนฟรีกับ OFII

3 วันผ่านไปหลังจากส่งจดหมายไปขอคอร์สเรียนภาษาฝรั่งเศสกับ OFII อีกครั้ง..ฉันก็ได้รับจดหมายตอบกลับมาว่า ..ได้รับทราบเรื่องแล้ว แต่ให้ส่งจดหมายอีกฉบับไปแจ้ง วันเดือนปีเกิดของฉัน และเลขที่แฟ้มเอกสารของโอฟี่ เพื่อที่จะได้สะดวกต่อการติดตามเรื่องให้อีกครั้ง...นั่งฟังสามีแปลให้ฟังด้วยอาการเซ็งจิตกับวิถึราชการแบบที่นี่..ท่านชอบจริงๆ เรื่องเอกสารเนี่ย จะหัวหกก้นขวิด หรือจะร้องแร่แห่กระเชิงอะไรก็ต้องส่งเป็นจดหมาย..แต่สามีอ่านแล้วโกรธไม่ยอมที่จะส่งจดหมายให้เสียเวลา โทรไปเลยดีกว่า...

ปลายสายรับแล้ว...ฟังภาษาบ้านเขาไป ชาวเราก็ได้แต่นั่งอึ้ง จนพ่อตัวดีวางสายลงอย่างหัวเสียแล้วหันมาเล่าให้ฟังว่า  โทรไปหาเจ้าหน้าที่ที่ส่งจดหมายกลับมา เพื่อที่จะแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติม..ปรากฎว่าเธอผู้นั้น ได้ลาพักร้อน อาทิตย์หน้าถึงจะกลับมาทำงานตามปกติ...เจ้าหน้าที่คนที่รับสายก็ดีใจหาย..บอกว่าจะช่วยดำเนินการให้ แต่ แต่ แต่ ให้ส่งจดหมายไปอีกครั้ง..เท่ากับเริ่มต้นใหม่นั่นเอง..เซ็งอย่างแรง

เราสองคนตัดสินใจที่จะรอดีกว่าจะดึงดันส่งจดหมายไปให้ซ้ำซ้อน เดี๋ยวพาลจะเกิดอาการหมั่นไส้จนไม่ได้เรียนอีก..แกล้งลืมๆเวลาออกไปเรื่อยๆ จนครบอาทิตย์ พ่อตัวดีก็โทรไปติดต่ออีกครั้ง..พักร้อนซินโดรมคงระบาดนิดหน่อย เธอคนนั้นเกิดอาการสมองตายชั่วขณะ พูดแต่ว่าไม่รู้เรื่องเลย ไม่เห็นมีเอกสาร..จนพ่อตัวดีอ่านข้อความในจดหมายที่เธอส่งมาให้ฟังเท่านั้นแหละ เธอถึงคืนสติกลับมาได้ทันใด..เธอบอกว่า  เธอจะทำการลงทะเบียนรอเรียนให้ฉัน แต่ยังให้คำตอบไม่ได้ว่าจะได้เรียนเมื่อไร เพราะมีคนรอเรียนอีกเยอะ..เอาเถอะ อย่างน้อยก็เห็นความก้าวหน้าอะไรมานิดนึง ได้สิทธิ์รอไปเรียนก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

ผ่านไปสองอาทิตย์ฉันก็ได้จดหมายเรียกให้ไปคุยรายละเอียดเรื่องเรืยนในอาทิตย์หน้า..แถมบอกวิธีนั่งรถเมล์ให้อีกด้วย..ท่าทางจะอยากให้เริ่มต้นทำอะไรเอง..แต่ช้าก่อน ป้าขอใช้บริการสามีดีกว่า..เพราะวันนั้นสามีเลิกงานเร็วพอดี..บ่ายว่างไปเป็นเพื่อนป้าแล้วกันนะจ๊ะ..สามี

ตอนไปถึงมีหลายคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ราวๆสิบกว่าคน ส่วนมากเป็นหญิงอาหรับสังเกตได้จากผ้าคลุมผม เจ้าหน้าที่มี 2 คน ที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์ไปทีละคนไล่ตามโต๊ะรูปตัว U  จนพักใหญ่ก็มาถึงคิวของฉัน เจ้าหน้าที่ขอดูจดหมายเรียกตัวแล้วเขียนชื่อ-สกุลของฉันลงไปในแบบฟอร๋มอีกใบในมือของเธอ แล้วยื่นมาให้ฉันเซนต์ชื่อต่อ เธอส่งข้อสอบมาให้สองแผ่น มีรูปภาพสิ่งของให้เติมคำลงในช่องว่าง ส่วนอึกใบให้เลือกประโยคที่ถูกต้องตรงกับภาพที่ให้มา..สำหรับฉันที่ผ่านการเรียนและฝึกด้วยตัวเองมาแล้ว มันไม่ยากเท่าไร..แต่อีกหลายคนในห้องนั่น อย่าว่าแต่ทำเลยเขียนไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เชื่อมั้ยว่าพูดกันคล่องมาก

เจ้าหน้าบอกให้หยุดทำข้อสอบแล้วชี้แจ้งรายละเอียดของคอร์สเรียน ที่นี่จะเปิดสอนทั้งหมด 240 ชั่วโมง เมื่อครบแล้วจะต้องมีการสอบเพื่อให้ได้ใบประกาศระดับ DILF ซึ่งเป็นระดับพื้นฐานถือว่าง่ายที่สุด ถัดไปจะเป็น DELF A1 , A2  เจ้าหน้าที่บอกว่าหากการทดสอบวันนี้ คนไหนพอมีพื้นฐานก็จะลดเหลือ 180 ชั่วโมง   ซึ่งคนที่มาที่นี่แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ พวกที่โอฟี่ส่งมาให้เรียนโดยตรงนับแต่วันที่ไปรายงานตัวขอสติกเกอร์มหัศจรรย์  พวกที่สองคือ pôle emploi หรือกรมหางานส่งให้มาเรียน  แต่ฉันเองไม่เข้าข่ายอะไรเลย คือ ดื้อขอมาเรียน  ดังนั้นการทดสอบจะไม่ส่งผลอะไรกับฉันทั้งสิ้นเพราะว่าเขาจะให้เรียนเต็มอัตราตามที่ฉันร้อนรนอยากเรียนมานาน การทดสอบของฉันเพียงเพื่อให้ครูรู้ว่าฉันมีทักษะแค่ไหนเท่านั้นเอง..จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ไล่สัมภาษณ์พร้อมบอกชั่วโมงเรียนของแต่ละคน..

การเรียนจะเรียนทุกวันยกเว้นวันพุธ และเสาร์-อาทิตย์ วันละ 4 ชั่วโมง ห้ามมาสายหรือขาดเกิน 3 ครั้ง  หากไม่สบายก็ต้องมีใบรับรองแพทย์มาส่งด้วย..ฉันได้รับมา 240 ชั่วโมง เมื่อเจ้าหน้าที่ถามว่าฉันสามารถมาเรียนได้ตลอดเวลาเลยมั้ย ติดภาระอะไรหรือเปล่า  ประเภทเลี้ยงลูก หรือติดงาน..คำตอบคือ ว่างตลอดค่ะ..จากนั้นก็ให้กรอกประวัติส่วนตัว เมื่อเสร็จแล้วเธอบอกให้กลับไปได้ รอการติดต่อกลับอีกครั้งสำหรับคอร์สเรียนว่าจะเริ่มเมื่อไร ซึ่งเธอไม่สามารถบอกได้ในตอนนี้

เพื่อนที่เรียนด้วยกันที่ Maison de quartier ถามฉันถึงเรื่องเรียนกับโอฟี่ เพราะเราเจอกันเมื่อวันที่ไปรายงานตัวเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้คุยกัน..คาเมล่าบอกว่า เธอก็ได้คอร๋สเรียนเหมือนกัน เพียงแต่ว่าได้แค่ 180 ชั่วโมงเพราะว่า คราวนี้เป็นการเรียนครั้งที่สองของเธอ..ครั้งแรกที่เรียนคือเมื่อสองปีก่อนตอนมาอยู่ใหม่ๆ ตอนนั้นได้ 300 ชั่วโมง มาถึงตอนนี้ เธอหย่าขาดกับสามีจึงต้องหางานทำ เลยถูกส่งมาเรียนก่อน..ฉันและคาเมล่าเฝ้ารอโทรศัพท์และอีเมล์เรียกตัวไปเรียน  จนในวันหนึ่งหลังจากผ่านไปเกือบอาทิตย์  สามีเดินถือจดหมายมาบอกว่า วันจันทร์ที่จะถึงนี้เริ่มไปเรียนได้แล้วนะ..ฉันอึ้งไปไม่รู้จะบอกว่าดีใจมั้ย มันเหมือนก็สมหวังแต่ก็มีความกังวลอยู่เล็กๆว่าจะไปเรียนยังไง..คราวนี้ต้องนั่งรถเมล์ไปเองจริงๆแล้ว..ก่อนสามีออกไปทำงานฉันรีบอ้อนว่า พรุ่งนี้วันเสาร์พาไปซื้อตั๋วเดือนไว้ขึ้นรถเมล์ด้วยนะ..

ฉันเริ่มดีใจที่จะมีกิจกรรมอะไรให้ทำนอกเหนือจากไปเรียนเพียง 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์แล้วกลับมานั่งจ๋อยอยู่คนเดียวรอสามีกลับบ้่านจดมืดค่ำ..ออกไปพบปะผู้คนอาจทำให้อาการฟุ้งซ่าน จิตตกหายไป..ฉันอาจจะมีเพื่อนใหม่ๆ ไม่ต้องมานั่งจดจ่ออยู่กับสามีเพียงคนเดียว  จนอาจจะรู้เมื่อสายว่าความรัก ความห่วงใยของฉันที่มุ่งไปที่เขาคนเดียวมันกลายเป็นความอีดอัดสำหรับเขาโดยไม่รู้ตัว

No comments:

Post a Comment