Thursday, December 30, 2010

ทดสอบภาษาสำหรับวีซ่าติดตามสามี..ลุ้นยิ่งกว่าผลสอบเอนทรานซ์

เดินลงจากสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง ฉันตรงเข้าไปที่ทางเชื่อมของสีลมคอมเพล็กซ์ ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายโมงหลังจากที่แวะเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จ..เดินหาของกินแต่ไม่รู้ยังไม่ถูกใจเลยสักร้าน เลยบ่ายหน้าไปพึ่งพาบิ๊กเปาหมูแดงพร้อมน้ำดื่มหนึ่งขวดที่ 7-11 เดินมาเจอซุ้มกาแฟสดเลยสั่งเอสเพรสโซ่เย็นหนึ่งแก้วที่หาซื้อได้ที่เมืองไทยเท่านั้น..ประเทศอื่นไม่เคยมีแบบเย็นเหมือนบ้านเราเลย Thailand Only ..เดินมาเรื่อยๆจนพ้นซอยก็เจอถนนสาทร..ฉันยืนรอสัญญาณไฟอยู่ด้วยใจหวิวๆ ตื่นเต้นยังไงไม่รู้

ขนาดว่าฉันเองมาที่สมาคมฝรั่งเศสอาทิตย์ละสองครั้งเพื่อเรียนภาษา แต่สำหรับการมาสอบเพื่อวีซ่านั้น ฉันไม่มั่นใจเลยเผื่อเวลาไว้หน่อยดีกว่า กันพลาด..ไหนจะต้องเดินหาห้องสอบ ไหนจะขอเวลาทำใจนิดนึง ฉันเดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่เพื่อติดต่อขอสอบภาษาสำหรับวีซ่าระยะยาว..น้องผู้หญิงเสียงหวานตอบกลับมาว่า..เชิญไปที่ชั้นห้า ตึกซีได้เลยค่ะ

ฉันเดินหอบเสบียงที่ถือติดมือมา ขึ้นบันไดไปเรื่อยไปจนถึงชั้นห้า..ไม่มีใคร แต่เดาเอาว่าห้องแรกสุดน่าจะใช่ เพราะว่ามีรายชื่อผู้เข้าสอบรอบที่แล้วเจ็ดคนแปะไว้อยู่ ฉันยึดบันไดเป็นฐานที่มั่นนั่งจัดการซาลาเปาและกาแฟเย็นไปเรื่อยๆ ปากขยับ ตาก็เหลือบดูบรรดาโพ้ยต่างๆที่ฉันจดมาเพื่อการสอบครั้งนี้ นั่งอ่านหนังสือไปก็มีเพื่อนๆที่ร่วมชะตากรรมเดินมาดูห้องบ้าง บางคนตั้งท้องอยู่แต่กำลังใจดี มีสามีมาคุม บางคนแฟนมาส่ง แต่บุกเดี่ยวแบบฉันก็มีเหมือนกัน..จนบ่ายสองโมงเป๊ะ..คุณชานนท์ผู้ประสานงานและดูแลการสอบ ตัวจริงหน้าเด็กมาก..หรืออาจจะยังอายุน้อยอยู่ คุณชานนท์เชิญให้เข้าไปนั่งรอให้ห้องทำงาน รอให้มาครบทั้งเจ็ดแม่บ้านที่จะต้องมาสอบในวันนี้..แต่รอแล้วรอเล่าก็ขาดไปนางหนึ่ง จนคุณชานนท์ต้องโทรตาม..ปลายสายบอกมาว่า มาไม่ทันอยู่ต่างจังหวัด จะมาได้ตอนหกโมงเย็น..เอ่อ นัดบ่ายสองจะมาสอบหกโมงเย็น วินาทีนั้นเองถึงรู้ว่าคุณชานนท์ใจเย็นและสุภาพมาก เพราะพยายามตอบกลับไปแบบสุภาพมากๆ ว่าคงไม่ได้ต้องรอสอบครั้งถัดไปในเดือนหน้าแล้วกัน..หายไปสิบนาที เธอโทรกลับมาอีกบอกว่า สามีเธอไม่ยอมจะให้สอบภายในเดือนนี้ให้ได้ ถ้าไม่ได้จะฟ้องสถานฑูต..คุณชานนท์ก็ใจเย็นมากจริงๆที่จะตอบปฏิเสธและยืนยันจุดยืนเดิมในการทำงานแบบไม่กลัวอะไรเหมือนกัน..(เป็นไงหล่ะ แทนที่จะเอาเวลามาทบทวนคำศัพท์ ฉันกลับนั่งฟังเรื่องของคนอื่นหูผึ่งซะอย่างนั้น

การสอบแบ่งเป็นสองส่วน คือความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศส..เป็นการสัมภาษณ์ภาษาไทย หกข้อ มีให้เลือกตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ ห้าข้อ ส่วนอีกหนึ่งข้อจะเป็นคำถามปลายเปิดต้องหาคำตอบเอง เช่น สีธงชาติ สัตว์ประจำประเทศ ส่วนห้องที่สองเป็นการทดสอบภาษา โดยผู้ทำการสอบคืออาจารย์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งจะมีทั้งข้อเขียนและการสัมภาษณ์ ฉันได้เข้าสอบเป็นคนที่สี่จากหกคน เริ่มจากความรู้ทั่วไป คำถามไม่ยากขนาดว่าต้องหาหนังสือมาอ่านก่อนถ้าวิเคราะห์คำถามดีๆ ก็ตอบได้แล้ว เช่น ผู้หญิงทุกคนในฝรั่งเศสมีสิทธิ์เลือกตั้งใช่หรือไม่ ฉันกันพลาดมากตอบไปว่าใช่ถ้ามีอายุครบเกณฑ์และถือสัญชาติฝรั่งเศส..พี่ที่คุมสอบคือเจ้าหน้าที่ผู้หญิงใจดีที่ฉันเจอที่สถานฑูต..อมยิ้มนิดนึงก่อนจะบอกว่า ตอบว่าใช่ก็พอค่ะ..ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็เสร็จ..มานั่งรอที่ห้องคุณชานนท์เพื่อทดสอบภาษาต่อ จนอาจารย์ฝรั่งมาตามให้เข้าสอบได้ ฉันทะลึ่งพรวดเดินตามอาจารย์ออกไป พอเข้าไปนั่งแป้นเล้นตรงหน้าอาจารย์ก็เริ่มสัมภาษณ์กันเลย..ถามชื่อเสียงเรียงนาม อายุ อาชีพ ที่อยู่ ของทั้งฉันและสามี ซึ่งฉันได้เรียนมาแล้วที่สมาคม จึงไม่มีปัญหาสักเท่าไร ถามกันเกือบสิบข้อ จนอาจารย์ยื่นข้อสอบมาให้ตรงหน้าแล้วถามว่าเอาปากกามาด้วยรึเปล่า ฉันโชว์ปากกาในมือให้ดูเป็นคำตอบ..ลงมือทำข้อสอบ ฉันตื่นเต้นมากหัวใจเต้นแข่งกับนาฬิกาจับเวลาบนโต๊ะอาจารย์เลยทีเดียว ฉันอ่านตกๆหล่นๆ ใส่ชื่อลืมเติมนามสกุล ใส่วันเกิดลืมสถานที่..จนอาจารย์มีแอบบอกใบ้ให้ดูดีๆ ฉันถึงเติมลงไปทัน..จากการกรอกข้อมูลส่วนตัว ก็มาถึงเติมคำลงในบทสนทนา..ให้มาสี่คำ อาจารย์ไล่ชี้ให้เติมทีละบรรทัด แต่สาวไทยเรียนระบบไทยมาแบบฉัน ต้องเดา ขออ่านให้หมดแล้วเดาเอาว่าเติมคำไหนยังไงดี ซึ่งได้ผลอ่านจนจบถึงรู้ว่าพูดถึงเรื่องว่าพูดถึงอะไร รีบเติมๆ กลัวลืม มาถึงที่ส่วนต่อมา ให้ศัพท์มาแปดคำ เรียงประโยคใหม่ อันนี้ฉันคิดว่าทำได้เลยหล่ะ ข้อสอบตอนเรียนก็มีแนวนี้ สุดท้ายให้เขียนคำศัพท์อาหารที่เราสั่งกินในร้านอาหารมาสิบอย่าง..แม่เจ้า..ตั้งแต่ไปอยู่สามเดือนไม่ค่อยได้เข้าร้านอาหาร ส่วนมากทำกินเองซะมากกว่า..หรือจะพาไปร้านอาหารจริงๆ สามีที่รักก็พาไปร้านอาหารจีนเพราะรู้ดีว่าศรีภรรยาแพ้ชีส
ฉันเลยทำหน้าด้านๆ มึนๆเขียนศัพท์ของกินลงไปแทนจบครบสิบคำ..อาจารย์ดึงกระดาษออกไปพร้อมบอกว่า พอแล้ว..ขอให้โชคดี

คุณชานนท์แจ้งให้รอผลสอบห้าโมงเย็น..สอบเสร็จบ่ายสามโมงนิดๆ..อีกชั่วโมงกว่าจะไปไหนได้ ฉันนั่งรอที่ม้าหินด้านล่าง เจอเพื่อนๆที่มาสอบอีกสองคนนั่งอยู่ เลยเนียนๆนั่งด้วยกันไปเลย..พี่คนหนึ่งเริ่มเล่าว่าเธอมาจากโคราช ด้วยความที่เรียนมาน้อยพอต้องมาจัดการเดินเรื่องเอกสารขอวีซ่า..กลัวมีปัญหาเและข้อจำกัดของเวลาที่แฟนลางานมาเพื่อแต่งงานกับเธอที่เมืองไทยเลยจ้างให้บริษัททัวร์ยื่นให้..เธอบอกว่าเสียไปหลายหมื่นบาท ตั้งแต่ติดต่อแปลเอกสารต่างๆนานาที่ใช้ในการจดทะเบียนสมรส ..ตอนนี้แค่รอสอบอย่างเดียว ถ้าผ่านได้วีซ่า บริษัททัวร์ขอเพิ่มอีกหนึ่งหมื่นบาทเป็นสินน้ำใจ..ฉันได้แต่ขนหัวลุกกับจำนวนเงินที่เธอจ่ายไป..และนึกอายอยู่ในใจว่า ขนาดฉันเดินเรื่องเองแต่แค่ค่าเอกสารต่างๆ นานาร่วมหมื่นฉันก็ใจจะขาดแล้ว..นี่พี่เขาต้องมาเสียเพิ่มอีกหลังจากได้วีซ่าติดตามสามีอีกตั้งหมื่น ซึ่งมันต้องได้อยู่แล้วเพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น..แต่ไหนๆพี่เขาหลวมตัวมาขนาดนี้แล้ว..ฉันอย่าปากพล่อยบอกพี่เขาไปให้เขาสะเทือนใจดีกว่า.. เธอเล่าต่อว่ามาเช่าคอนโดอยู่ในกทม.หกเดือนแล้ว งานไม่ได้ทำเพราะว่าย้ายมาอยู่กทม.ชั่วคราวเพื่อรอไปฝรั่งเศสเท่านั้น เธอบอกว่าเรียนมาน้อย จบ ม.3 แต่เชื่อมั้ยว่า เธอพูดสนทนาฝรั่งเศสได้ดีมาก..เนื่องจากสามีพูดอังกฤษและไทยไม่ได้เลย เธอจึงต้องขวนขายทุกทางให้พูดกันให้เข้าใจเพราะว่าเวลาโทรคุยกันจะได้เข้าใจ..ทำเอาเด็กจบปริญญาแถมเรียนคอร์สฝรั่งเศสจากสมาคมเองด้วยอย่างฉันอายไปเลย..เธอโชว์สมุดจดให้ดู ข้างในมีบรรดาคำศัพท์ไล่ตั้งแต่ ตัวอักษร ตัวเลข วัน เดือน ปี ไปจนถึงคำศัพท์ต่างๆ เธอบอกว่าเธอซื้อหนังสือมาแล้วพยายามอ่านทุกวัน ท่องศัพท์ให้ได้วันละสิบคำทุกวัน..สุดยอดมาก นับถือจริงๆ

เธอบอกต่อว่าเธออยากสอบผ่านมาก เพราะว่าแฟนอยากให้ไปฉลองคริสต์มาสกับที่บ้าน..ฉันเองก็คิดว่าเธอน่าจะผ่านเพราะเธอพุดได้ดีมาก เราคุยกันฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ฉันรู้ดีว่าทุกคนในโต๊ะนั้นประหม่ามากเพราะเราจะพูดกันแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ ตามประสาไม่รู้จะคุยอะไรกันเพราะจิตใจมันจดจ่อรอแต่ผลสอบ..จนสี่โมงครึ่งคุณชานนท์เดินผ่านแล้วส่งสัญญาณให้ไปที่ห้อง รอฟังผลได้
ตอนนั้นมีสี่สาวจากหกเท่านั้นที่ขึ้นมา ส่วนอีกสองสาวที่สามีและแฟนมาคุมยังไม่เห็น..คุณชานนท์หยิบซองเอกสารแล้วขานชื่อที่อยู่หน้าซองจนครบสี่..ฉันแอบสะกิดใจว่า เฮ้ยทำไมวางซองฉันแยกอยู่คนเดียวหล่ะ ไม่เอาไปรวมกลุ่มกับอีกสามสาวที่เหลือ..วินาทีต่อมาคุณชานนท์เรียกชื่อฉันแล้วเชิญไปนั่งที่หน้าโต๊ะทำงาน แล้วก็บอกว่ายินดีด้วยผ่านทั้งสองอย่าง พร้อมกับโชว์เอกสารที่อยู่ในซองว่ามีอะไรบ้าง ประกาศนียบัตรสีเหลืองและสีฟ้าที่ถูกกำชับให้เก็บให้ดีและต้องยื่นที่ฝรั่งเศสด้วย..ฉันดีใจมาก โล่ง หมดเวรหมดกรรม อีกสามสาวที่เหลือถูกเรียกไปพร้อมกัน ฉันเลยขอตัวออกมารอหน้าห้อง พักเดียวทั้งสามคนก็ตามออกมาบอกว่าไม่ผ่านภาษาต้องเรียนก่อน..อีกสองสาวเหมือนทำใจมาแล้วว่าไม่ผ่านเพราะบอกว่าฟังไม่รู้เรื่องและไม่ได้เขียนตอบอะไรไปเลย..แต่พี่จากโคราชนี่สิ ฉันเห็นเธอน้ำตาคลอตอนที่เธอมาขอดูใบประกาศสองสีนั่นจากฉัน..แล้วบ่นออกมาว่า "เสียดายจังพี่น่าจะผ่านบ้าง กว่าจะเรียนจบพี่คงไปไม่ทันคริสต์มาสแล้วหล่ะ สงสารแม่แฟนจัง เอาไปคุยกับเพื่อนบ้านหมดแล้วว่าลูกสะใภ้จะมาก่อนคริสต์มาส"

ระหว่างเดินลงจากตึก ฉันไม่รู้จะพูดอะไรเพราะเข้าใจความรู้สึกของสามสาวที่เหลือดี กว่าจะได้กลับไปหาสามีก็อีกเป็นเดือน ไหนจะเรื่องของความคิดถึง ไหนจะเรื่องค่าใช้จ่าย ค่าอาหาร ค่าที่พัก..หนึ่งสาวในนั้นมาจากสระแก้ว..เธอบอกว่าถ้าเรียนทุกวันค่ารถก็วันละเกือบสี่ร้อยไปและกลับ ถ้าเลือกมาหาห้องอยู่ที่กรุงเทพฯก็ต้องมีค่ามัดจำห้องอีก..คิดแล้วสงสารแฟนที่ต้องส่งเงินมาให้ เพราะทั้งเธอและแฟนก็ยังเด็กอยู่ทั้งคู่ มีเงินเดือนไม่เยอะ เดินทางไปกลับเอาแล้วกันระหว่างเรียน ช่วยแฟนประหยัด..สู้ๆจ๊ะ ฉันเองโชคดีที่ผ่าน..เพราะทั้งฉันเองถึงแก่แต่แฟนยังเด็กก็ล้วนมีเงินไม่เยอะทั้งคู่ ดังนั้นรีบกลับไปโน่นจะดีที่สุด

ฉันกลับมาบ้านด้วยความโล่งใจแต่ก็แอบเศร้าใจกับเพื่อนที่ไม่ผ่านอยู่ลึกๆ ฉันเข้าใจดีว่าอารมณ์ที่อยากกลับไปฝรั่งเศสจะด้วยคิดถึงครอบครัวหรืออยากรีบทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นเพื่อจะได้ดำเนินการขั้นตอนอื่นๆ ต่อไปสำหรับชีวิตในต่างแดนแบบฉันที่เบื่อการเป็นคนว่างงานเต็มทีแล้ว..เป็นอย่างไร หนทางมันไม่้ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่ก็ให้ประสบการณ์ที่คนอื่นอาจไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกัน

Wednesday, December 29, 2010

วีซ่าติดตามคู่สมรสชาวฝรั่งเศส

พรุ่งนี้แล้วที่ฉันจะได้บินกลับไปบ้านเกิดที่เมืองไทย..แทบจะนับชั่วโมงรอกันเลยทีเดียว

ตั้งแต่ฉันมาที่นี่เพื่อจัดงานแต่งงานถึงวันนี้ก็ 84 วันพอดิบพอดี.. วีซ่าที่ฉันได้มาก่อนหน้านี้อนุญาตให้ฉันอยู่ในยุโรปได้ไม่เกิน 90 วัน ฉันไม่อยากอยู่เกินวีซ่าให้มีปัญหาแก่ตัวเอง เพื่อนๆหลายคนของพ่อตัวดีที่แต่งงานกับสาวชาติอื่นที่ไม่ใช่คนฝรั่งเศส ต่างยืนยันกันว่าฉันสามารถขอวีซ่าระยาวได้เลยที่นี่ โดยไม่ต้องบินกลับไปขอที่เมืองไทยให้ยุ่งยาก แต่จากข้อมูลที่ฉันค้นหาในอินเตอร์เนทตามหน้าเวบไซต์ที่เหล่าแม่บ้านต่างแดนใจดีทั้งหลาย แวะเวียนมาเล่าประสบการณ์ของตัวเองและคอยตอบปัญหาให้เพื่อนๆที่จะตามมาอยู่ต่างแดนเหมือนกันให้รู้ข้อมูลจะได้รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป เพราะกฎใหม่ที่ประเทศนี้ขยันมากในการเปลี่ยนกฎกันเป็นว่าเล่น ฉันเลยได้ข้อมูลล่าสุดมาว่า ยังไงก็ต้องกลับเมืองไทยก่อนเพื่อขอวีซ่า..อย่างที่รู้กันเรื่องเอกสารต่างๆสำหรับวีซ่าถือเป็นเรื่องใหญ่ของคนต่างด้าวของฉันในตอนนี้ แต่สามีฉันเองก็ดูเหมือนจะเชื่อเพื่อนมากจะไม่ยอมให้ฉันกลับ..จนสุดท้ายต้องพากันไปติดต่อที่อำเภอ ลามปามไปถึง OFII จนได้ข้อสรุปมาว่า ยังไงฉันก็ต้องกลับไปเมืองไทยเพื่อขอวีซ่าติดตามสามีอยู่ดี

พ่อตัวดีของฉันจัดแจงเตรียมถุงยาใบย่อมให้ซึ่งมีสารพัดยาอยู่ในนั้น ฉันเป็นไข้หวัดอยู่ในช่วงนั้นซึ่งเหมือนเป็นเรื้อรังเพราะว่าอากาศเดือนตุลาคมของที่นี้ก็หนาวมากแล้วสำหรับฉัน พ่อตัวดีก็ยังไม่อยากให้ฉันกลับไปเมืองไทยเท่าไรนัก นึกถึงหัวอกคู่แต่งงานที่เพิ่งแต่งงานกันไม่นาน แต่สาวเจ้าต้องกลับบ้านเกิดไปขอวีซ่าระยะยาวติดตามสามีอีกครั้งก่อน ซึ่งจะใช้เวลานานเท่าไรนั้น..ไม่มีใครสามารถบอกได้แล้วแต่กรณีของแต่ละคน

เพราะว่าอะไรนะเหรอ..ก็เพราะว่าการขอวีซ่าระยะยาวติดตามสามีนั่น..เอกสารไม่ยุ่งยาก ค่าวีซ่าก็ไม่ต้องเสีย เพียงแต่ว่าเราต้องผ่านการทดสอบความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสิทธิของประชาชน และข้อมูลพื้นฐานของประเทศฝรั่งเศส..แถมต้องฝ่าด่านอรหันต์การทดสอบภาษาฝรั่งเศสที่มีทั้งสอบสัมภาษณ์และข้อเขียน เมื่อเพื่อนๆ ญาติพ่อตัวดีถามว่า เมื่อไรที่ฉันจะกลับมาดินแดนตาไ่ก่นี้อีก..คำตอบที่ฉันละพ่อตัวดีต้องคอยตอบคือยังไม่มีกำหนดแน่นอน ..แล้วเราก็ต้องอธิบายเพิ่มว่า เนื่องจากต้องมีการทดสอบสองอย่างที่ว่านั่น..วันสอบนั่นได้กำหนดเป็นตารางไว้ล่วงหน้าแล้วในแต่ละเดือน หากฉันยื่นเอกสารไม่ทันในรอบนั้นๆของเดือน ฉันก็ต้องรอสอบในเดือนถัดไป..แน่ละ มันต้องใช้เวลานานขึ้น..แถมยังต้องทดสอบสองอย่างที่ว่าด้วยแล้วนั้น..หากว่าฉันสามารถพอและโชคช่วย..ก็จะผ่านการทดสอบและได้วีซ่าไม่เกินหนึ่งอาทิตย์หลังจากการทดสอบ..แต่ แต่ และแต่ ฉันสอบไม่ผ่านซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมาก เพราะว่าฉันยังสื่อสารได้ไม่ดีเลย ถ้าถามประโยครูปแบบเท่าที่ฉันเรียนมาที่สมาคมฝรั่งเศส..แน่นอนฉันว่าฉันทำได้ แต่พอมาอยู่ที่นี้ สิ่งที่ผู้คนพูดกันมันไม่ง่ายเหมือนสิ่งที่ฉันเรียนมาในหนังสือ..ฉันเลยมีอาการหูดับ สมองตายกลางวงสนทนาอยู่เสมอ.. และแน่ยิ่งกว่าแน่คือ ถ้าไม่ผ่านการทดสอบ เราจะได้รับความอนุเคราะห์ให้ไปเรียนภาษาฟรี 40 ชั่วโมง โดยจะเรียนทุกวันๆละ 2 ชั่วโมง..ก็ร่วมเดือนแหละกว่จะเรียนจบ..เรียนจบก็ต้องทดสอบกันก่อนว่าใช้ได้รึยัง..แต่ถึงขั้นนี้ไม่ต้องกังวลไป..ผ่านไม่ผ่านก็ได้วีซ่าแล้วหล่ะ

ปฏิทินสำหรับการทดสอบทั้งสองอย่างที่ว่ามา สามารถเข้าไปดูได้ที่ (เวบไซด์ของสมาคมฝรั่งเศสกรุงเทพ)
http://th.alliance-francaise.or.th/index.php?option=com_content&task=view&id=733&Itemid=44
เป็นข้อมูลสำหรับวางแผนในการยื่นวีซ่า ส่วนเรื่องรายละเอียดของเอกสารที่ใช้และนัดหมายยื่นวีซ่า ดูรายละเอียดได้ที่
https://www.tlscontact.com/th2fr/login.php

คืนก่อนที่จะบินกลับมาเมืองไทย..ฉันแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน หลังจากจบมื้อเย็นกับญาติสามีที่มาค้างที่บ้านด้วยเพื่อมาเจอฉันก่อนที่ฉันจะกลับเมืองไทย แน่นอนว่าคุยกันยาวจนดึกดื่น..แถมฉันยังหลับตานอนเฉยๆไม่ได้ ไม่ใช่ว่าสามีกวน หรือจะฝากรักให้สมใจก่อนจะจากกันนานหรอกนะ..ลืมไปได้เลยเรื่องนั้น..ฉันยังวุ่นวายกับการยัดบรรดาของฝากลงกระเป๋า รวมถึงบรรดาเอกสารสำคัญต่างๆที่ต้องใช้ยื่นวีซ่า..พ่อตัวดียื่นจดหมายลายมือตัวเองที่เขียนยืนยันว่าเราแต่งงานกันแล้วและความสัมพันธ์ยังคงดีอยู่ไม่ได้สิ้นสุดลงแต่อย่างใด ซึ่งจดหมายฉบับนี้ต้องใช้แนบตอนขอวีซ่าด้วย..ซึ่งฉันรับมาด้วยความปลาบปลื้มในตัวสามี..ที่อุตส่าห์ทำให้โดยไม่ต้องทวงถาม..แต่พอเห็นลายมืออันเป็นเอกลักษณ์..ฉันเลยต้องใช้มารยาสาไถปลอบประโลมใจสามีว่า "ที่รักจ๋า..พิมพ์ใหม่ดีกว่านะ..อย่าเขียนเลย กลัววีซ่าไม่ผ่านเพราะเจ้าหน้าที่อ่านลายมือยูไม่ออกอ่ะ"..สามีทำหน้าตึงไปสองวินาทีแล้วเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์ทำให้แบบเซ็งอารมณ์เมีย..ตอนนี้คงเริ่มรู้ตัวแล้วว่ามีเมีียน่าละเหี่ยใจ

ถึงคราวที่การเดินทางจะไม่ราบรื่น..มีข่าวแจ้งมาว่าเย็นนี้จะมีการประท้วงรัฐบาลที่ยืดอายุเวลาเกษียณออกไป จากเดิมไฟลท์ที่ฉันจะบินเข้าปารีสคือห้าโมงเย็นเพื่อต่อเครื่องไปกรุงเทพตอนห้าทุ่ม กลายเป็นว่าฉันต้องรีบไปสนามบินตอนบ่ายโมงแล้วตะลีตะเหลือกไปเช็คอินให้ทันเที่ยวบ่ายโมงสี่สิบห้า..เพราะเป็นเที่ยวบินสุดท้ายของวันนั้นที่จะเข้าปารีสแล้ว..ถึงปารีสแล้วก็รอเพลงรอไปเลยแปดชั่วโมง..เฮ้อ..เวรของกรรม

ถึงเมืองไทยด้วยอาการเหนื่อยอ่อนแต่ดีใจที่มาเจอบรรยากาศเดิมๆที่ไม่ได้เห็นกว่าสามเดือน..แต่จะมามัวโอ้เอ้ไม่ได้นาน หลังจากใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนๆสองวัน ฉันก็ไปยื่นเอกสารตามที่นัดไว้ เอกสารไม่เยอะเมื่อคราวขอวีซ่าไปแต่งงาน ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จขั้นตอน ตอนนี้เหลือแค่รอสมาคมฝรั่งเศสนัดไปสอบแค่นั้น หลังจากนั้นสองวันก็ได้รับจดหมายนัดให้ไปทดสอบในอาทิตย์ถัดไปนับจากวันที่ยื่นเอกสาร เผอิญว่าสอบผ่านเลยได้รับวีซ่าในสองวันต่อมา..ใช้เวลาประมาณเก้าวัน..แต่ถ้าไม่ผ่านก็มีแน่ๆหนึ่งเดือน..หลายท่านอาจจะคิดว่าดีซะอีก ไม่ผ่านได้เรียนฟรี แถมได้อยู่เมืองไทยนานๆอีกด้วย..ฉันเองก็มีความคิดแบบนั้น แต่วิบากกรรมของสาวไทยตัดสินใจไปต่างแดนแบบฉันต้องมีหลายขั้นตอนที่ยังต้องสู้ต่อไป จะมาพักเล่น ขำๆที่เมืองไทยนานๆไม่ได้แล้ว..ทุกวินาทีคือเงินทองทั้งนั้น ไม่ว่าจะเข้าหรือออกจากระเป๋าเราก็ตาม

Monday, December 27, 2010

Joyeux Noel a Ermont

นั่งฟังเสียงสามีก่นด่าคุณพี่คันข้างหน้ามาพักใหญ่..เรากำลังขับรถจากลียงเข้าปารีสเพื่อให้ทันงานปาร์ตี้ในคืนคริสต์มาสอีฟกับครอบครัวของสามี..จากเดิมที่แพลนไว้ว่าพ่อตัวดีเลิกงานตอนบ่ายสามโมงเราจะไปเจอกันที่สนามบินเพื่อบินเข้าปารีสตอนห้าโมงเย็น..หกโมงเย็นพ่อสามีก็จะมารอรับที่สนามบินพอดิบพอดีไปงานปาร์ตี้...แต่เพราะหิมะเจ้ากรรมดันตกมาตั้งแต่เช้า..แถมขยันตกยันเย็นเลบทีเดียว..งานนี้สนามบินปารีสเลยเป็นอัมพาต พาลให้ไฟลท์ที่เราจองไว้ยกเลิก..แผนเปลี่ยนเลยต้องบึ่งรถเข้าปารีส ถ้าถนนโล่งไม่มีน้ำแข็งเกาะก็ใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมงขับแบบไม่ต้องแวะเข้าห้องน้ำที่ไหนเลย..

แต่นี่กว่าจะได้ออกเดินทางหลังจากรอเปลี่ยนยางใหม่ไปสองเส้น..ก็ปาไปบ่ายสี่โมง เราใช้บริการทางด่วนที่ค่าธรรมเนียมแพงเอาการหลายสิบยูโรเลยทีเดียว..สายนี้เรียกว่า A6 autoroute du soleil กว่าสี่ร้อยกิโลเมตรบนทางด่วนที่มีหิมะตกมาตลอดทาง ถนนมีน้ำแข็งเกาะปะปราย พ่อตัวดีหงุดหงิดมากเพราะคันข้างหน้าขับช้ามากแถมอยู่เลนซ้ายอีกต่างหาก..บนทางด่วนถ้าฝนไม่ตก จำกัดความเร็วไม่เกินหนึ่งร้อยสามสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่พี่คันหน้าแกเล่นเหยียบแค่เก้าสิบ..แถมมีชะลอดูอุบัติเหตุของทางด่วนฝั่งตรงข้ามอีกต่างหาก..ณ วินาทีนั้น ความอดทนของโชเฟอร์ประจำรถขาดผึง..พ่อตัวดีกดแตรใส่ไปหลายทีแล้วส่งสัญญาณไฟและมือให้แกเข้าเลนขวาไปเลย ฉันพยายามบอกให้คนของฉันใจเย็นๆ คนอื่นเขาอาจไม่ชินที่ต้องขับตอนหิมะตกเลยช้าไปหน่อย พ่อตัวดีที่แทบจะกินหัวใครได้ตอนนี้ก็เถียงสวนมาเลยว่า ก็ไปอยู่เลนซ้าย..มาคลานเป็นเต่าอยู่ฝั่งขวาแบบนี้มันต้องโดน..ด่า ท้ายที่สุดฉันเลยไม่พูดอะไรมาก..คอยส่งเสบียงให้คนขับเท่านั้นพอ..ไม่พูดไม่หื้อไม่อือ..จนพ่อตัวดีมารู้ตัวทีหลังว่า..ในรถอ่ะใครใหญ่สุด..เลยยอมจำนนเลิกบ่นเอาใจเมีย

ด้วยสภาพอากาศที่ย่ำแย่บวกกับการจราจรติดขัดเป็นบางช่วง..กว่าจะมาถึงบ้านพ่อสามีก็เกือบห้าทุ่ม..ญาติๆรออยู่นานแล้ว..แถมรู้สึกผิดมหันต์เพราะงานนี้มีญาติที่ท้องนั่งรอทานข้าวอยู่ด้วย..คุยไปทักทายไปแบบทำเวลามาก..กว่าฉันจะได้มุดหัวเข้านอนก็ปาไปตีสอง..รีบนอนซะ พรุ่งนี้ยังต้องมีปาร์ตี้ต่อ

เวลานัดหมายของวันคริสต์มาสแบบนี้คือบ่ายโมง..พ่อสามีคงรู้นิสัยลูกชายดีว่า ถ้าบึ่งรถมานานแบบนี้หล่อนต้องพักยาว..ฉันหอบบรรดาของขวัญเข้าบ้านไปรวมกับของคนอื่นที่เอามาชุมนุมกันใต้ต้นคริสต์มาสเป็นที่เรียบร้อย


พอทุกคนประจำที่แล้ว งานก็เริ่มโดยน้องชายคนเล็ก..เด็กสุดในบ้านทำหน้าที่แจกจ่ายของขวัญให้ทุกคนตามชื่อที่แปะไว้บนกล่องจนครบ จากนั้นทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตาแกะของขวัญที่กองอยู่ตรงหน้า แกะในที่นี้คือฉีกทึ้งกระดาษด้วยอาการดีใจ รีบร้อนไม่ต้องมานั่งค่อยๆแกะให้กระดาษไม่ขาดนะคะ ฉีกๆอย่างเดียว..แล้วพอเห็นของแล้ว แสดงออกมาเลยถึงความรู้สึกว่าดีใจ ไม่ชอบหรือยังไง อย่ามาทำเป็นแอ๊บเขินแบบฉัน..(ปีแรกที่ไปปาร์ตี้คริสต์มาส..กริยาอย่างไทยยังติดตัวอยู่มาก ไม่แกะของขวัญดู รอจะเอามาแกะดูคนเดียว..จนแฟนต้องบอกว่าแกะเลย..พอเห็นของฉันก้ขอบคุณเบาๆแบบเก็บอาการดีใจ ทั้งที่ในใจชอบมาก คือรักษากริยาต่อหน้าครอบครัวแฟนว่างั้นเถอะ..จนแฟนมาแอบถามว่า ถามจริงๆ ชอบของขวัญมั้ยเนี่ย บรรดาญาติๆเขากังวลมาก เพราะเห็นนั่งยิ้มๆ ไม่ออกอาการเลย..แฟนบอกว่า ชอบก็แสดงออกมาเลยไม่ต้องอาย..เรื่องปกติ) ฉันเลยจำมาจนถึงทุกวันนี้ วันนี้ฉันเลยเห็นแม่สามีรีบกลัดเข็มกลัดของขวัญที่ฉันให้เป็นการใหญ่แล้วเอ่ยชมไม่ขาดปาก..ของฉันเองนั้นได้นาฬิกาเรือนใหม่จากพ่อตัวดี เพราะว่าเรือนเก่าไปหล่นหายที่สนามบินหลังจากเจอวิบากกรรมไฟลท์ดีเลย์สิบชั่วโมงเพราะพายุหิมะ

Merci Papa Noel แมกซี่ ปาป้า โนเอล พ่อสามีเอ่ยขอบคุณเสียงดังหลังจากได้รับภาพวาดจากจิตรกรลูกหลง..เจ้าน้องชายคนสุดท้อง พ่อแนบรูปกับอก ยิ้มหน้าบาน แล้วยกรูปขึ้นจูบเบาๆ แล้วรีบเก็บรูปไว้อย่างดีในหนังสือเล่มใหญ่ที่ได้มาเป็นของขวัญอีกชิ้นจากใครสักคนในครอบครัว..จากสายตาฉันแล้ว มันก็ภาพวาดฝีมือเด็กแปดขวบธรรมดาๆนี่แหละ ไม่ได้สวยงามเข้าขั้นปิกัสโซ่ แต่ความงามที่มันเกิดขึ้นคือความตั้งใจของเจ้าตัวน้อยที่จะทำให้พ่อต่างหาก..ฉันคิดว่านั่นแหละ ของขวัญที่มอบให้ซานต้าครอสตัวจริงเสียงจริงของงานวันนั้น..พ่อนั่นเอง

เราใช้เวลาตั้งแต่แกะของขวัญจนนั่งทานไอศกรีมที่เป็นของหวานนานมาก..ร่วมห้าชั่วโมง จากนั้นน้องๆ ก็ขนบรรดาเกมต่างๆที่มีมาเล่นกัน ..ไม่ใช่เกมบอยไก่กา หรือวีดีโอเกมแบบสมัยฉันยังเด็ก..สมัยนี้เขาเล่น Wii หรือไม่ก็ X box 360 ซึ่งมันต้องให้ผู้เล่นออกท่าทางต่างๆตามเกมไปด้วย..เรียกเหงื่อได้เลยแหละ..ฉันที่หลุดยุคนั้นมาก็หลบนั่งอ่านหนังสือทำขนมที่เพิ่งได้มาไปดูน้องๆ เล่นไป แม่ลงมาเล่นกับน้องบ้าง..ไอ้น้องจอมแสบบางทีก็แผดเสียงร้อง สวมบทบาทดาราเจ้าน้ำตาเวลาที่เล่นเกมแล้วแพ้ หรือ ทำได้ไม่ดี..ฉันนั่งขำกับภาพที่เห็นตรงหน้า..

ตอนนี้ฉันเข้าใจทุกอย่างและทุกคน..เข้าใจดีว่าทำไมพ่อตัวดีเหยียบแทบจะบินเมื่อคืนให้มาถึงทันปาร์ตี้..พ่อสามีที่โทรมาสั่งการเรื่องงานตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อน จิกถามทุกรายละเอียดว่า เราจะมายังไง กี่โมง..น้องสาวพ่อตัวดีที่ไปอยู่กับแฟนที่เบลเยี่ยมก็ต้องบึ่งรถมาเหมือนกัน..ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไป มันหายเหนื่อยเพราะการได้อยู่ร่วมกันกับครอบครัว หัวเราะบ้าง เถียงกันบ้าง ร้องไห้ หรืองอนกันบ้าง แต่เราก็คือครอบครัว..ฉันเองที่ตอนนี้จากบ้านมาสร้างครอบครัวของตัวเองในต่างแดน..แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยอินกับคริสต์มาสมากนักเพราะยังชอบสงกรานต์บ้านเรามากกว่า ..เล่นน้ำตัวเปียกแล้วมากินกับข้าวฝีมือแม่ที่ต้องพร้อมรบกับบรรดาพี่ๆที่มือไวไม่แพ้กัน..ใครช้าอดว่างั้นเถอะ

พ่อนั่งหลับกรนเสียงดังที่โซฟา จนน้องๆ และพ่อตัวดีหยุดหันมามอง แล้วแอบถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐานแบล๊กเมล์คุณพ่อทีหลัง
โดยมีแม่สนับสนุนโดยไร้การห้ามปรามใดๆ..อากาศข้างนอกมันหนาว..แต่ภายในบ้านตอนนี้มันอุ่น..ไม่รู้ว่าเพราะคนเยอะหรือฮีตเตอร์ตัวใหม่ก็ไม่ทราบได้..ฉันคิดแต่ว่า..ขอบคุณค่ะซานต้า

ปล.แม้แต่เจ้าตัวนี้ซานต้าก็ไม่ลืมให้ของขวัญด้วยนะ..น่ารักจริงๆ

Thursday, December 23, 2010

ปัญหาท้องไส้ไม่ปกติ

หลังจากผ่านวันพิธีแต่งงานไปเรียบร้อยแล้ว..ต้อนรับขับสู้บรรดาครอบครัวและเพื่อนฝูงที่อุตส่าห์ถ่อมาไกลเพื่อเราทั้งคู่และส่งกลับไปโดยสวัสดิภาพเรียบร้อยแล้วนั่น..ตอนนี้ฉันก็มีเวลาอยู่ลำพังมากขึ้น..ในที่นี้คืออยู่คนเดียวจริงๆ

แต่เดิมฉันแพลนไว้ว่าในแต่ละวัน ฉันมีตารางการทำงานแบบแม่บ้านอะไรบ้าง จากนั้นก็จะใช้เวลาเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสจากหนังสือ และบรรดาซีดีที่ทั้งตัวเองและคุณสามีขนซื้อมา..แรกๆฉันยังสามารถควบคุมตัวเองให้ทำได้ตามตางรางในแต่ละวัน ในหน้าร้อนแถบตะวันตกแบบนี้ พระอาทิตย์จะตกดินช้ากว่าปกติ จากเดิมที่ฉันเคยมาเที่ยวในช่วงคริสต์มาส ยังไม่ทันห้าโมงเย็น พระอาทิตย์ก็รีบร้อนกลับบ้านเข้านอนแล้ว..แต่หน้าร้อนสองทุ่มแล้วพระอาทิตย์ยังทำโอทีแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย..ทำให้ฉันที่ถือเอาแสงตะวันเป็นสรณะในการดำเนินชีิวิต คิดเอาเองว่าแต่ละวันมันยาวนานมากขึ้น..ฉันต้องหาอะไรทำจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน..ฆ่าเวลารอสามีกลับจากทำงานด้วย

ฉันเริ่มออกไปข้างนอกเอง..แต่ก็ละแวกบ้านนั่นแหละ ไม่ได้ออกไปซ่าที่ไหนไกลบ้าน หนึ่งเพราะว่าไม่มีรถ สองขับรถไม่เป็น (รถที่นี่ส่วนมากเป็นเกียร์กระปุก..สาวไทยที่เรียนหลักสูตรเร่งรัดขับเฉพาะเกียร์ออโต้แบบฉัน พอมาเจอทั้งเกียร์กระปุกและพวงมาลัยซ้ายของที่นี่ ทำเอาเหมือนคนไม่เคยขับรถมาเลย) ละแวกบ้านก็จะมีทั้งร้านรวงต่างๆ ซุปเปอร์มาเก็ต ห้องสมุด ไปรษณีย์ ธนาคาร
จุดประสงค์คือ อยากพบเจอผู้คนบ้างเพราะหลังจากสามีออกไปทำงานช่วงบ่ายกว่าจะกลับมาก็สามทุ่ม..ฉันจะมาหมกตัวอยู่ไย..

ฉันเริ่มจากการไปซุปเปอร์มาเก็ตก่อน..มันง่ายที่สุดในความคิดฉัน ถึงคุยกันไม่รู้เรื่องแต่ตัวเลขจากเครื่องคิดเงินก็เข้าใจง่ายในการจ่ายเงิน และมันก็ช่วยให้ฉันได้เรียนรู้ว่าคนที่นี่เขากินอะไรกัน แน่ละ น้ำพริก กะปิ น้ำปลาคงไม่มีเหมือนเมืองไทย..ฉันเจอกองทัพชีส สารพัดขนมปังนานาชนิด ไล่ไปจนถึงของใช้สำหรับวันนั้นของเดือน..ยังขำตัวเองที่ไปยืนตะลึงที่โซนผ้าอนามัยอยู่นาน ตอนไปเจอแผ่นอนามัยสำหรับกางเกงในแบบจีสตริง..เอ่อ จะใส่กันทำไมไม่ทราบค่ะ มันจะช่วยซึมซับอะไรได้จากไอ้เส้นเรียวๆ เล็กๆนั่นได้

จากที่เคยกินแต่อาหารรสจัด ร้อนๆ เผ็ดๆ และบรรดาผักใบเขียวที่มีในอาหารไทยแทบทุกจาน..พอมากินแต่ชีส ขนมปัง แฮม รสชาติสุภาพเรียบร้อย (จืดๆ แบบไร้พิษสงและการแสดงออกทางรสชาติใดๆ) ท้องไส้ฉันก็เริ่มมีปัญหา..ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว..อาการเหล่านี้ฉันเป็นมานานตามนิสัยตะกละตะกลามเคี้ยวข้าวไม่ละเอียดของฉัน อาหารเลยไม่ค่อยย่อยจนเกิดอาการต่างๆที่ว่ามา..ซึ่งฉันอาศัยตัวช่วยคือ แอร์ เอ็กซ์รสมะนาวที่หอบหิ้วมาจากเมืองไทยกันเป็นโหล แต่ที่สุดจะทนคือ การท้องผูก บางทีนั่งจนเกือบจะหลับ อุนจิเจ้ากรรมยังไม่ยอมออกสู่โลกภายนอกเลย..

ฉันเลยต้องหาตัวช่วย..ทั้งสารพัดผักใบเขียวที่ฉันจะต้ิองกินเพียงลำพัง เพราะพ่อตัวดีเป็นมนุษย์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการกินผักแทบทุกชนิด..กล้วย นมเปรี้ยว ลูกพรุน อะไรก็ตามแต่ที่เขาว่ามันช่วยขับถ่าย..ฉันขนซื้อมาหมดนอกจากยาถ่าย (อันนี้กลัวคุยกับเภสัชกรแล้วเรื่องยาว เลยไม่ได้ซื้อ)..แน่ละ ฉันแอบไปซื้อตอนพ่อตัวดีไปทำงาน..มันดูจะเกินไปถ้าต้องบอกสามีว่า ที่รักจ๊ะ ทำไงดีฉันอึไม่ออกมาเป็นอาทิตย์แล้ว มียาสวนก้นมั้ย..อี๊

ต่อแถวรอจ่ายเงิน ฉันแอบสังเกตพฤติกรรมคนอื่นที่อยู่ข้างหน้าว่า เขาทำอะไรกันบ้าง ถึงตราฉัน จะได้ไม่ปล่อยไก่ให้อับอาย..Bonjour>>>Merci>>Bonne journee Au revoir>>แทบทุกคนจะพูดแบบนี้ตลอด ซึ่งมันก็เหมือนทักทายกันก่อนเริ่มใช้บริการ..ขอบคุณตอนจ่ายเงิน และกล่าวอวยพรและอำลา..สุภาพเนอะ แถมทุกคนเตรียมถุงใส่ของมากันเอง จัดแจงหยิบของใส่ถุงเอง ซึ่งไม่เหมือนที่เมืองไทย..แคชเชียร์ต้องทำงานแบบมีแปดมือ สแกนบาร์โค้ดไปอีกมือแหวกถุงจัดของวางลงไป แถมต้องแยกว่า ถุงไหนของกิน ของใช้ ใส่ด้วยกันได้มั้ย บ่อยครั้งที่ฉันได้ยินลูกค้าขาโหดวีนแตกใส่น้องแคชเชียร์ที่บังอาจเอาไส้กรอกแช่เย็นไปใส่ถุงเดียวกับผงซักฟอก.. แคชเชียร์ที่นี่ทำหน้าที่แค่ สแกนบาร์โค้ดแล้วรอรับเงินเท่านั้น ขั้นตอนอื่นๆลูกค้าอย่างเราทำเองทั้งนั้น แถมถ้าเกิดขี้อายไม่เอ่ยคำทักทาย บงชู่ว์ไปก่อนแบบฉันในบางครั้ง..ก็จะได้เจออาการหน้าหงิกหน้างอให้เห็นทันควัน

ถึงคิวฉันแล้ว ฉันเอ่ยทักทายไปแบบที่เห็นตัวอย่างมาหลายคนเบื้องหน้า สาวน้อยแคชเชียร์หน้าสวยกล่าวตอบพร้อมยิ้มแบบเซ็งๆให้นิดนึง..เธอเอ่ยอะไรออกมา รัวๆ เร็วๆ ฉันก็จับประโยคได้ไม่หมด..เดาเอาว่ามีบัตรสมาชิกของร้านมั้ย..นงๆ ฉันตอบไปว่าไม่ ตามหลักไวยากรณ์นรกแตกแบบของฉัน ถามว่าจะเอาถุงมั้ย..นงๆ ฉันตอบไปอีก ถึงแม้วันนี้ฉันจะลืมถือถุงมาด้วย..แต่ไอ้ของไม่กี่อย่างฉันยอมหอบกลับบ้านเองดีกว่าเสียเงินซื้อถุงผ้ากระสอบแบบที่แม่ค้าสำเพ็งชอบใช้ แต่ใบละหลายยูโร ฉันงกฉันยอมลำบาก ฮ่าๆๆ ถึงคราวจ่ายเงินส่วนมากฉันเห็นคนที่นี่จ่ายด้วยบัตรเครดิตที่เราต้องเสียบการ์ดด้านที่มีชิปเข้าไปที่เครื่องเอง พร้อมกดรหัสบัตร หรือไม่ก็เช็ค ..แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันชอบจ่ายเงินสดมากกว่า เหตุผลคือ ควบคุมตัวเองไม่ให้รูดบัตรเพลินจนหนี้ท่่วมหัวตอนปลายเดือน แต่เหตุผลอีกข้อคือ ฉันไม่เคยจำรหัสบัตรเครดิตเลยตั้งแต่ใช้มา แค่ยื่นให้พนักงานเอาสลิปมาเซนต์ แล้วจะต้องไปจำรหัสทำไม..ยิ่งจะกดเงินสดจากบัญชีบัตรเครดิตด้วยแล้ว..ยิ่งไม่คุ้มกับดอกเบี้ยมหาโหดที่จะตามมา ฉันเลยฉีกรหัสทิ้งทันทีที่ได้บัตรมาแบบไม่สนใจจะจำ

..อาจจะเป็นคราวซวยของน้องแคชเชียร์ที่มาเจอฉัน เพราะตอนฉันยื่นเงินสดให้หล่อนไป เธอทำหน้าแบบว่าเซ็ง พร้อมพูดรัวๆมาว่า มีเครดิตการ์ดมั้ย..ไม่มี..เธอเลยวีนเอาว่าเคาน์เตอร์นี้รับเฉพาะบัตรเครดิต..อ้าว เดี๊ยนจะทราบมั้ยค่ะ ต่างด้าวแบบเดี๊ยนก็เดินๆตามคนอื่นมาหล่ะคะ..ไม่เคยเจอว่าไม่รับเงินสดรับแต่บัตรแบบที่นี้เลยจริงๆ..สุดท้ายหัวหน้าของน้องหน้าสวยก็ต้องบอกให้ฉันตามไปจ่ายตังค์อีกเคาน์เตอร์

หมดเรื่องที่ซุปเปอร์ฯ แต่ยังไม่หมดเรื่องของตัวเอง..ฉันจัดแจงกรอกสารพัดสิ่งที่ซื้อมาเพื่อช่วยการขับถ่ายให้ท้องไส้ทำงานดีขึ้น ตามด้วยน้ำอีกขวดใหญ่..ไร้ผลตอบสนองใดๆ จนสุดท้ายก็พึ่งยาระบายจากสามีที่ไปซื้อมาให้จนได้หลังจากพ่อตัวดีอ้าปากค้างตอนฉันบอกว่าไม่ถ่ายมาสองอาทิตย์แล้ว..oh mon dieu แปลได้ว่า คุณพระช่วย!!! เป็นแบบนี้อยู่นานจนฉันค้นพบวีธีที่อาจจะดูซกมกสักหน่อยแต่มันช่วยให้ท้องไส้ทำงานดีขึ้น คือ ตื่นเช้าทำภารกิจแม่บ้านปัดกวาดเช็ดถูเรียบร้อย จนได้เวลาอาหารเช้า ที่ปกติฉันจะต้องล้างหน้า อาบน้ำแปรงฟันก่อน..คราวนี้กินมันทั้งๆที่น้ำลายบูดๆนั่นแหละ กาแฟดำร้อนๆ ตามด้วยน้ำอีกขวดเบิ้ม..พักเดียวฉันก็ทำการขับไล่ไสส่งมันออกมาได้แบบไม่ต้องบีบคั้นกันมากเกินไป..เห็นมั้ยว่ากว่าจะอึได้ไม่ใช่เรื่องขี้ๆ อี๊ แหวะ

Wednesday, December 22, 2010

งานเลี้ยงส่งบ่าวสาวเข้าหอ

ฉันได้ยินเสียงแว่วๆภาษาต่างด้าวมาพักใหญ่ แต่ด้วยความขี้เกียจและหนาวทำให้ฉันยังขดตัวนอนอยู่ใต้ผ้าห่มเบียดสามีตัวใหญ่ต่อไป..แต่ด้วยสามัญสำนึกของกุลสตรีไทย ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ..จะปล่อยให้ครอบครัวเขารู้ได้ยังไงว่า สะใภ้หมาดๆอย่างฉันนอนขี้เซาเอาบ้านเอาเมืองขนาดนี้..

กว่าฉันจะทยอยส่งแขกและเพื่อนๆที่มาปาร์ตี้ฉลองแต่งงานเมื่อคืน..สองเท้าก็มาหยุดที่หน้าประตูบ้านตอนตีสี่ คิดถึงปาร์ตี้เมื่อคืนแล้วก็แอบขำตัวเอง..หลังจากเสร็จพิธีฉันก็ถูกพาไปบ้านบนเนินเขาที่คืนนี้มันจะมีปาร์ตี้ฉลองแต่งงานของฉัน..บรรดาเพื่อนฝูงของพ่อตัวดีพยายามช่วยกันคิดเรื่องงานเลี้ยงนี้ขึ้นมาเพราะว่าไม่อยากให้ฉันรู้สึกว้าเหว่ หรือ โดดเดี่ยวมากเกินไปนัก..ผู้หญิงตัวคิดเดียวที่เดินทางลัดฟ้ามาเพื่อเริ่มต้นชีวิตครอบครัวที่นี้ พวกเขารู้ดีว่าสำหรับฉันแล้วฉันก็ยอมทิ้งทุกอย่างในชีวิตมาเริ่มต้นใหม่ที่นี่..

ตอนฉันไปถึงแขกและเพื่อนๆทยอยกันมาเยอะแล้ว..แต่ละคนช่วยกันจัดสถานที่ ขนอาหารเครื่องดื่ม ..แม้แต่เจ้าบ่าวหมาดๆก็ยังเดินแบกถาดอาหารตัวปลิวไปแล้ว..ไม่มีใครยอมให้ฉันช่วยทำอะไรสักอย่าง สุดท้ายฉันเลยทำหน้าที่ถ่ายรูปรักแขกหน้างานไป เพราะว่าใครๆก็อยากจะถ่ายคู่กับชุดไทย..แต่เจ้ากรรมที่อากาศยามเย็นที่บ้านบนเนินเขานั้น..มันหนาวยะเยือกลงทุกที ไหล่เปลือยๆที่โผล่พ้นสไบฉลุดิ้นทองนั่นสั่นเข้าจังหวะเพลงพอดิบพอดี..ไม่มีใครคิดมาก่อนว่ากลางคืนในเดือนสิงหาคมมันจะหนาว..ดีที่แต่ละคนมองการณ์ไกล ..แม่สามีเตือนให้ฉันเตรียมเครื่องกันหนาวมาเผื่อ..เพราะว่าสาวแดนสยามอย่างฉันที่เด๊่ยวนี้จำไม่ได้แล้วว่า เมืองไทยมีหน้าหนาวด้วยเหรอ..มาเจออากาศปลายฤดูร้อนของที่นี่ ฉันก็ยังรู้สึกหนาวๆ วูบๆ ให้คนที่นี่ประหลาดใจ

ดีเจอาสาของงานคือ หนึ่งในเพื่อนผู้ใจดีของเจ้าบ่าว..ซึ่งงานนี้หอบหิ้วเครื่องเสียงและอุปกรณ์ต่างๆ นานา มาทำให้แบบไม่ยอมรับสินน้ำใจที่ฉันแอบยัดใส่มือให้อีกด้วย..ดีเจเริ่มกล่าวเปิดงานทักทายแขกเหรื่อ..บรรยากาศมันไม่เหมือนงานฉลองแต่งงานที่ฉันพบเจอที่เมืองไทย..งานนี้อารมณ์ประมาณชุมนุมรอบกองไฟ..ฉันถูกเจ้าบ่าวลากไปนั่งที่เก้าอี้สองตัวกลางวงล้อมของแขกที่มางานวันนี้ประมาณห้าสิบคน..พ่อ แม่ ญาติและเพื่อนๆทยอยมากล่าวอวยพร..คาโอลินสาวน้อยวัยสิบขวบ ลูกสาวของเพื่อนเจ้าบ่าว เด็กน้อยที่ฉันมักยึดไว้เป็นเพื่อนคุยและครูสอนภาษาประจำตัว เธอมากล่าวอวยพร น้ำตาคลอ ทำเอาแขกเหรื่อน้ำตาคลอกันทั้งงาน..แต่เจ้าสาวอย่างฉัน มีเหรอจะร้องไห้..ช่างภาพอาสาทั้งหลาย พยายามมากที่จะจับช๊อตที่เจ้าสาวร้องไห้น้ำตาแตกด้วยอารมณ์ซาบซึ้ง..แต่ไม่มีซะหรอกฉันเอาแต่นั่งหัวเราะขำเพื่อนๆของเจ้าบ่าวต่างหาก..

หลังจากถูกบังคับให้เปิดฟลอร์เต้นรำไป(อย่าเรียกว่าเต้นเลย เรียกว่าย่างเท้าจนจบเพลงดีกว่า เจ้าสาวในสภาพผ้าซิ่นจีบหน้านางรองเท้าส้นสูงย่างเท้าช้าถึงช้ามากบนสนามหญ้า..ไม่ล้มหน้าคว่ำก็เก่งมากแล้ว)ฉันก็ถูกปล่อยให้มาคุยกับแขกบ้าง จิบน้ำกินบ้าง พักผ่อน..แม้วันนี้จะไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันตั้งแต่เช้า..แต่ความรู้สึกอยากอาหารตอนนี้มันไม่มีเลย..ตอนนี้ฉันมานั่งกลางวงอีกครั้งแต่แอบเห็นในมือของแขกทุกคนถือกระดาษเอสี่สีขาว..จังหวะเพลงดังขึ้นจากเครื่องเสียงแต่เสียงร้องมันมาจากแขกทุกคนที่มาร่วมงาน..พวกเขาร้องเพลงให้ฉัน..เนื้อร้องบางส่วนถูกดัดแปลงเป็นชื่อฉัน..กระดาษแผ่นหนึ่งยื่นมาให้ตรงหน้า มันคือคำแปลของเพลงนี้ ที่เพื่อนๆอุตส่าห์แปลมาจากกูเกิ้ลเอามาให้ฉัน ให้ฉันจะได้เข้าใจว่าเพลงนั้นหมายถึงอะไร..

จบเพลงเซอร์ไพรส์ของขวัญสุดประทับใจสามเพลงรวดไปแล้ว ต่อไปคือ แขกทุกคนทยอยมาจุ๊บแก้มบ่าวสาวและสวมกอด..ฉันยังจำนาทีที่แม่สามีมาจูบแก้มแล้วกอดฉันแน่นๆ แล้วบอกว่าตอนนี้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ..แล้วแม่ก็น้ำตาไหลพรากจนฉันต้องลูบหลังปลอบใจอยู่นาน..ฉันไม่ได้ร้องไห้ซึ้งใจออกมาให้ใครเห็น..ฉันแอบประทับใจกับสิ่งที่ทุกคนทำให้อยู่เงียบๆและตื้นตันมาก

แขกคนสุดท้ายที่ฉันเดินส่งขึ้นรถออกจากบ้านบนเนินเขาไปตอนตีสามครึ่ง..ฉันในสภาพสังขารเน่าในชุดไทยจักรีหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวแนวสปอร์ต..หน้าตาที่โบกด้วยเครื่องสำอางฝีมือตัวเองตั้งแต่ก่อนเที่ยง ตอนนี้มันเหลือแต่คราบดำๆ แห้งๆของมาสคาร่าและอายไลนเนอร์เท่านั้น ทรงผมรังนกนั่นอีกหลุดลุ่ยกระเซิงมาตั้งแต่เที่ยงคืน..ฉันดีใจที่พ่อตัวดีพากลับมาถึงบ้านก่อนฟ้าสว่าง ฉันคิดถึงห้องหอรอรักเต็มทีแล้ว..แทบทนรอไม่ไหว

เปิดประตูห้องหอได้..ฉันไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นกระชากมือเจ้าบ่าวแบบอารมณ์สาวหน้ามืดอารมณ์เปลี่ยว..แต่ช้าก่อนงานนี้ยังไม่มีเลิฟซีนนะ..กว่าฉันจะให้พ่อตัวดีช่วยแกะบรรดาเข็มกลัดและตะขอต่างๆให้หลุดพ้นจากพันธนาการชุดไทยสุดสวยนั่นก็นานพักใหญ่..ต่อด้วยกิ๊ฟและปิ่นต่างๆ นานา ที่ช่างบรรจงเสียบมาให้อีกร่วมร้อยตัว ฉันนั่งสางผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง..ข้าวสารร่วงลงมาอีกเป็นกำๆ..

พอสะสางสังขารแต่ไร้ซึ่งการชำระล้างใดๆพอให้นอนได้เท่านั้น เราสองคนก็อดทนห้ามใจกันและไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว..เรากระโจนซุกตัวใต้ผ้าห่มนวมหนาๆนั่นแล้วหลับตาลงแบบไม่อายฟ้าอายดินหรือผีสางนางไม้ที่ไหนอีกแล้ว..ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรอีกต่อไปแล้ว..ถ้าคืนนี้นังตัวดีจะกรน จะผายลมอะไรก็ตามใจเถอะ ฉันปิดประสาทสัมผัสทั้งหมดหลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่รับรู้อะไรแล้วทั้งนั้น..

เหมือนฟ้าแกล้ง..แสงแดดแยงตา พร้อมกับเสียงแม่และน้องสาวและบรรดาเจ้าตูบแว่วๆมาจากห้องนั่งเล่น..เหลือบดูนาฬิกา..แปดโมงแล้ว..ฉันควรจะลุกมาจัดการสังขารเน่าของตัวเองให้พร้อมที่จะเผชิญหน้าชาวโลกได้แล้ว.. ทำไมนะ พระอาทิตย์จะตื่นมาทำงานสายๆบ้างไม่ได้หรือไง..หนูเหนื่อยค่ะ..หนูจะนอน..ฮือๆๆ

ถึงคราววิวาห์

ฉันยืนรออยู่ที่ลานจอดรถของที่ว่าการอำเภอสำหรับทำพิธีแต่งงานที่มีขึ้นในตอนบ่ายแก่ของวันเสาร์หนึ่งในเดือนสิงหาคม..ฉันรอพร้อมกับน้องสาวเจ้าบ่าวที่งานนี้ทำหน้าที่ทั้งพยานและเพื่อนเจ้าสาว ส่วนน้องชายคนเล็กตัวกระเปี๊ยกทำหน้าที่เป็นคนถือแหวนแต่งงาน..ชุดไทยจักรีที่แม่ช่วยเลือกให้ฉันสำหรับวันแต่งงาน ทำให้คนที่นี้ตะลึงเมื่อได้เห็นความงามแบบไทย..ทั้งที่จริงแล้วชุดแต่งงานแบบไทยระดับที่เจ้าสาวที่เมืองไทยนิยมใส่กันจะมีความวิจิตรตระการตามากกว่าชุดนี้..แต่ด้วยความที่ฉันไม่มีเวลาเตรียมตัวในเรื่องเสื้อผ้ามากนัก..ฉันเลยทำได้แค่ไปซื้อชุดที่ทางร้านเย็บไว้สำเร็จเรียบร้อยแล้วเท่านั้น เลยยังไม่อลังการงานสร้างแบบที่เจ้าสาวเมืองไทยใส่กัน..ดีที่วันนั้นแม่ยังคงกรุณาฉันอยู่มาก ท่านไปช่วยเลือกชุดให้ด้วย..เลยบังคับให้ฉันเอาชุดนี้ที่ขนาดเล็กกว่าชุดไซส์เอ็กซ์แอลที่แอบใส่สบายเพราะมันหลวม..แม่บอกว่าเอาชุดนี้ไป แล้วก็ลดน้ำหนักเอา

ไม่น่าเชื่อว่าสามอาทิตย์ก่อนแต่งงานในแดนน้ำหอม ฉันก็ทำได้จริงๆ น้ำหนักหายไปหลายกิโลจนสามารถใส่ชุดนี้ได้ไม่ปลิ้น..ทั้งทีฉันต้องกล้ำกลืนฝืนกินสารพัดชีสและขนมนมเนยที่คุณตัวดียัดเยียดมาให้..ฉันเลยต้องแอบออกกำลังกายหน้าจอทีวีตอนที่เขาออกไปทำงานแล้วเท่านั้น..สารพัดวีดีโอแอโรบิกแดนซ์ช่วยคุณได้

ถึงแม้ว่าพิธีจะเริ่มบ่ายสาม แต่ฉันก็ตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า..ทั้งทีคืนก่อนแต่งงาน ฉันเปิดศึกสงครามน้ำตากับคุณว่าที่ไปชุดใหญ่..มันอาจเป็นอาการเจ้าสาวกลัวฝนทำให้ออกอาการเหมือนไม่อยากแต่ง..พาลให้หาเรื่องทะเลาะกับเขาด้วยเรื่องงี่เง่า..แน่ละคุณชายหาได้ใส่ใจไม่..เขามาบอกภายหลังว่า เขาพยายามจะไม่คิดมากเวลาฉันอาละวาดใส่เพราะเข้าใจดีว่าฉันคงรู้สึกว้าเหว่อยู่ลึกๆกับการมาใชีชีวิตใหม่ที่นี่ ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อนฝูง มีแต่เขาเท่านั้น..แปดโมงเช้า พ่อแม่ พี่น้องและพยานทั้งสี่คนที่ต้องเข้าพิธีในงานแต่งงานเริ่มทยอยมา..พวกเขาเดินทางมาจากปารีส ขับรถมาเกือบห้าชั่วโมงกว่าจะถึงลียง..เห็นมั้ยว่า ตอนแค่รักกันมันเรื่องของคนสองคน แต่ถ้าคิดถึงเรื่องแต่งแล้วละก็ มันจะลามปามกลายเป็นเรื่องของคนหลายคนเลยทีเดียว

แม่และน้องสาวของพ่อตัวดีมาตามให้ฉันออกไปทำผมที่ร้านที่คุณตัวดีไปติดต่อไว้เมื่อวานอย่างฉุกละหุก เพราะว่าช่างเดิมที่นัดไว้ให้มาช่วยแต่งหน้าทำผมให้ฉันในวันงาน..ดันโทรมายกเลิกก่อนวันงานวันเดียวซะงั้น เพราะว่าเขากลับจากวาเคชั่นไม่ทัน..อืมม รับผิดชอบดีจริงๆ..ฉันเตรียมแบบผมสำหรับชุดไทยไปให้ช่างที่ร้านดู เพราะรู้ดีว่าเราคงคุยกันไม่รู้เรื่อง..แม่และน้องสาวของเขาต้องแยกตัวไปทำผมอีกร้านหนึ่งเพราะหากมารอทำร้านเดียวกันคงไม่ทันแน่ๆ..ฉันนั่งนิ่งๆให้ช่างทำผมเกล้าแถมมีแซมดอกไม้ประดับพร้อมหมุดมุกหลายสิบอัน..มันคงเยอะจนลูกค้าคนอื่นสงสัยว่าอีกะเหรี่ยงนี้มันสั่งให้ทำผมอะไร จนเจ้าของร้านต้องบอกว่า แต่งงานย่ะ คนนี้เขาเป็นเจ้าสาวนะ..

กลับจากร้านทำผมเพียงคนเดียว..ตอนนี้ทั้งบ้านไม่มีใคร ฉันเลยตัดสินใจอาบน้ำอีกรอบเพราะคิดว่า ไม่งั้นคงไม่มีเวลาแล้ว..จากนั้นฉันก็หมกตัวอยู่ในห้องพร้อมกองเครื่องสำอางเต็มโต๊ะ..เสียงผู้คนทยอยกันกลับมาพร้อมขนข้าวของสำหรับงานวันนี้เข้ามาในบ้านด้วย..ฉันนั่งแต่งหน้าตัวเองอย่างช้าๆ และตั้งใจมากที่สุดเพราะไม่อยากเป็นเจ้าสาวหน้าเหียก..แต่งจนเมื่อยมือเริ่มปลอบใจตัวเองว่า เอาเถอะได้แค่นี้แหละ ถ้ามันออกมาแย่มาก ค่อยกลับไปถ่ายซ่อมที่เมืองไทยแล้วกัน..

จะด้วยความตื่นเต้นหรือเครียดไม่รู้..
ฉันกินอะไรไม่ลง ได้แต่จิบน้ำไปครึ่งแก้วเท่านั้น..รอจนเกือบบ่ายสองโมง..แม่สามีเดินมาเคาะประตูส่งสัญญาณให้แต่งตัวได้เพราะว่าเจ้าบ่าวออกจากบ้านไปเตรียมงานที่อำเภอแล้ว..ธรรมเนียมของที่นี้คือ ห้ามให้เจ้าบ่าวเห็นชุดเจ้าสาวก่อนเข้าพิธี ไม่งั้นจะมีโชคร้าย..ฉันเลยต้องรอให้เจ้าบ่าวออกจากบ้านไปก่อนถึงจะเริ่มแต่งองค์ทรงเครื่องกัน..ประกอบร่างเสร็จ..ฉันเห็นแม่สามีน้ำตาคลอพร้อมกับชมว่าสวยไม่ขาดปาก..ก่อนจะจูงมือฉันออกมาจนถึงรถของพ่อตัวดีที่ตอนนี้ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้ สำหรับเป็นรถเจ้าสาวในวันนี้..สารถีจำเป็นคือแม่สามีนั่นเอง ระหว่างทางจากบ้านไปอำเภอซึ่งก็ไม่ไกลมากนัก แม่ขับรถไปบีบแตรเป็นจังหวะไปตลอดทาง..ที่ทำแบบนี้พ่อตัวดีมาบอกทีหลังว่าเป็นธรรมเนียม ชาวบ้านจะได้รู้ว่ามีคู่บ่าวสาวแต่งงานในวันนี้นะจากเสียงแตรรถที่ดังเป็นจังหวะนั่นแหละ

ฉันเกาะแขนน้องสาวพ่อตัวดี เริ่มเดินขึ้นบันไดไปยังด้านบนของที่ว่าการอำเภอพร้อมน้องชายคนเล็กและเพื่อนเจ้าบ่าวที่มาเดินตามหลังอยู่ไม่ห่าง..จนถึงหน้าห้องทำพิธี น้องสาวเขาบอกให้ฉันรอยู่หน้าห้องก่อนกับเพื่อนเจ้าบ่าว..ตอนนี้ฉันเปลี่ยนมาคล้องแขนเพื่อนเจ้าบ่าวที่อายุมากพอจะเป็นพ่อเจ้าบ่าวได้เลย..งานนี้ฉันเลยทึกทักเอาว่าคุณโรเจอร์เพื่อนพ่อตัวดีเสมือนพ่อฉันที่มาส่งตัวฉันเข้าพิธี..โรเจอร์ชวนคุยให้ฉันคลายเครียด..ฉันเลยบอกไปว่า ตอนนี้ฉันกลัวแต่ว่าจะทำอะไรเปิ่นๆในพิธีให้ได้อายกัน..ได้เวลาเดินเข้าพิธี..ฉันเดินช้าๆอยู่ข้างๆโรเจอร์ มือที่ถือช่อดอกไม้ตอนนี้มันชุ่มไปหมด สายตาทุกคู่จ้องมาที่ฉัน จนโรเจอร์เดินมาส่งมือของฉันไว้ในอุ้งมือของเจ้าบ่าวที่รอรับอยู่กลางลานพิธี

ต่อหน้าท่านนายกเทศมนตรีที่กำลังอ่านประวัติของฉันอย่างยากลำบาก..ออกเสียงแค่ชื่อ นามสกุลก็ว่ายากแล้ว นี้ท่านต้องอ่านตั้งแต่ ชื่อ พ่อ แม่ ยันที่อยู่ตามเสียงทับศัพท์ภาษาไทย..แต่ละคำทรมานต่อการออกเสียงของท่านทั้งนั้น ฮ่าๆๆ..จนมาถึงตอนที่ท่านถามว่า เจ้าสาวยินดี..จะรับเจ้าบ่าวเป็นสามีหรือไม่.. oui Je veux.. หวี เฉอ เวอ..แปลว่า ค่ะ ฉันรับค่ะ..ฉันพูดออกไปตามที่เตี๊ยมมากับแม่เจ้าบ่าว..ทุกคนในห้องหัวเราะกันให้ครืน..จนฉันต้องแอบกระซิบพ่อตัวดีว่า..ฉันพูดอะไรผิดรึเปล่า..ขานั้นที่ตอนนี้หน้าแดงน้ำตาคลอก็บอกว่า ไม่หรอก..ทำดีแล้ว พร้อมกระชับมือฉันแน่นขึ้น..สักพักฉันก็ได้ยินเสียงเขาตอบแบบเดียวกันกับฉันเมื่อครู่..ฉันสวมแหวนทองปลอกมีดที่น้องชายคนเล็เเดินถือมายื่นให้ต่อหน้า..ฉันหัวเราะออกมาเบาๆแก้เก้อ ด้วยรู้ว่าทุกคนมองเป็นตาเดียว เขายกมือซ้ายของฉันไปบ้างสวมแหวนให้มือสั่นจนสังเกตเห็น..เสียงเฮดังขึ้นพร้อมจุมพิตฟ้าแลบที่พ่อตัวดีจู่โจมมาแบบไม่ให้ตั้งตัว

ท่านนายกฯ เชิญฉันและเขาไปที่แท่นพิธี ที่ตอนนี้มีเอกสารอยู่สองแผ่นพร้อมอธิบายให้เราเซนต์ชื่อ จากนั้นพยานทั้งสี่คนก็ตามมาลงนามในเอกสารทั้งสองแผ่นนั้นด้วย..ตรวจตราอะไรกันครู่ใหญ่ ฉันก็ได้รับทะเบียนสมรส สมุดครอบครัวและสมุดที่ระลึกลายสวยจากท่านนายกฯที่กำชับว่าเก็บไว้ดีๆนะ เอกสารสำคัญเอาไว้ขอวีซ่าระยะยาวต่อไป..

ถ่ายรูปกับท่านนายกเทศมนตรีเป็นที่ระลึกพักใหญ่ เพราะว่าท่านขอถ่ายคู่กับฉันด้วย ท่านบอกว่าชอบชุดเจ้าสาวของฉันมาก..สวยไม่เคยเห็นมาก่อน..เป็นไงหล่ะคะ..คุณค่างามอย่างไทย..ตอนนี้ในห้องพิธีเหลือแค่ฉันและพ่อตัวดี ไม่รู้ว่าคนอื่นหายไปไหนหมด..พ่อตัวดียกมือฉันไปแนบแก้มแล้วเอ่ยขอบคุณเบาๆ เขาบอกว่าเขามีความสุขมากจริงๆ ..เราเดินออกมาด้านนอก ฉันยังไม่รู้ตัวจนกว่า มหกรรมข้าวสารเสกที่ญาติๆเอามาปาใส่หลุดเข้าปากนั่นแหละ ถึงรู้ว่าข้าวสารที่แม่สามีมาขอไปเมื่อเช้า คือเตรียมมาเพื่อจะปาข้าวเสารเสกใส่นี่เอง..เขาบอกว่าเพื่อความอุดมสมบูรณ์ เจ้าน้องชายตัวจ้อยที่ถือแหวนคงอยากให้ฉัมสมบูรณ์มากเพราะมันจ้องจะปาข้าวสารเข้าปากฉันอย่างเดียวเลย..ฮึม ..ฝากไว้ก่อนเถอะ โอฬาร

ทรงผมรังนกของฉันเลยกักเก็บความอุดมสมบูรณ์ไว้ได้เป็นกำๆ ถ้าเอาไปหุงคงอิ่มพอดีมื้อ..แต่ฉันก็เก็บข้าวนั่นไว้เป็นขวัญถุงเพื่อชีวิตคู่ของฉันในดินแดนแปลกใหม่ต่างแดนแบบนี้

Monday, December 20, 2010

วีซ่าแต่งงานที่ฝรั่งเศส

ฉันนั่งรอเจ้าที่ตรวจเอกสารยื่นวีซ่าเพื่อไปแต่งงานอยู่พักใหญ่ หลังจากเสียค่าธรรมเนียมวีซ่าระยะสั้นและค่าบริการตัวแทนไปสี่พันกว่าบาท..ฉันนั่งมองเอกสารปึกหนาในมือ คิดอยู่ว่ามันหนาว่าวิทยานิพนธ์สมัยเรียนปริญญาอีกนะ

เอกสารที่ว่าก็มีแค่..

ใบสมัครขอวีซ่าพำนักระยะสั้น,รูปถ่ายสีประจำตัวขนาด 3.5 ซม. x 4.5 ซม. โดยมีพื้นหลังสีขาว 2 รูป ,หนังสือเดินทาง (ทั้งเล่มใหม่และเก่า ..เอามาหมดค่ะ สถานฑูตจะได้ทราบว่าเราเคยเดินทางไปที่นั่นมาบ้างแล้ว),เอกสารการจองตั๋วเครื่องบินแบบไป - กลับ จาก/ถึง ประเทศไทย ,ประกันภัยการเดินทาง,Attestation d'accueil,สูติบัตรที่แปลเป็นภาษาฝรั่งเศสแล้ว, ใบเปลี่ยนชื่อ, รายการเดินบัญชีครอบคลุมระยะเวลา 3 เดือนล่าสุด,หนังสือรับรองการทำงาน,สลิปเงินเดือน 3 เดือนล่าสุด,ใบประกาศการแต่งงาน, หนังสือรับรองไม่คัดค้านการแต่งงานที่ออกโดยอำเภอ, แถมงานนี้พ่อตัวดีก็ต้องเตรียมเอกสารของเขาให้ฉันด้วยมีทั้งสำเนาบัตรประชาชน,สำเนาหนังสือเดินทางพร้อมหน้าที่มีการประทับตราเข้าและออกเมืองไทย,สัญญาเช่าบ้าน,บิลค่าน้ำ ไฟ โทรศัพท์,หนังสือรับรองการทำงาน,รายการเดินบัญชีและสลิปเงินเดือน (ฉันเองที่ตัดสินใจตกล่องปล่องชิ้นกับเขาแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ถึงเพิ่งจะรู้ว่าสามีในอนาคตมีเงินเดือน เงินออมเท่าไรก็งานนี้ ทุกทีมิใคร่สนใจซักถาม) อ้อ เอกสารทุกอย่างที่ว่า สำเนาไว้หนึ่งชุดด้วยนะคะ ต้องยื่นให้ทั้งเอกสารตัวจริงและสำเนา

น้องเจ้าหน้าที่ของตัวแทนสัมภาษณ์ฉันแบบสุภาพมาก ไม่มีแววตาดูแคลนแบบที่ฉันเจอที่สถานฑูตครั้งแรกและครั้งเดียว เพราะจากนั้นด้วยความที่ฉันผ่านการขอวีซ่ามาบ้างแล้ว ทำให้ฉันค่อนข้างมั่นใจ ไม่อึกอักเวลาเขาถามถึงข้อมูลต่างๆ อาจทำให้เจ้าหน้าที่สถานฑูตเชื่อใจฉันมากขึ้น (หรือเพราะฉันมาเจอเจ้าหน้าที่ผู้หญิงใจดีอีกท่านในสถานฑูตด้วยก็ไม่รู้..พี่เขาเป็นคนน่ารักจริงๆ ยังจำเขาได้ติดตาถึงทุกวันนี้ เขาช่างต่างกับเจ้าหน้าที่ผู้ชายคนแรกที่ฉันเจอจริงๆ คนนั้นไม่อยากจะพูด..เพลียใจ)..พอเปลี่ยนมาเป็นเจ้าหน้าที่ของตัวแทนด้วยแล้ว..น้องเขาก็สุภาพสมกับค่าธรรมเนียมที่จ่ายไปนั่นแหละ..

เอกสารของฉันเกือบจะเรียบร้อยดี..เพียงแต่ว่า ไอ้หนังสือรับรองการไม่คัดค้านการสมรส ทางอำเภอของพ่อตัวดีไม่ยอมให้มา..บอกว่ามันเป็นเอกสารของราชการนะ ให้ไม่ได้หรอก..พ่อตัวดีวิ่งรอกเป็นอำเภอเอารายการเอกสารที่ฉันต้องใช้ขอวีซ่าให้อำเภอดู แต่คุณท่านก็ยังยืนยันว่าไม่ให้อยู่ดี ให้ได้แค่หนังสือประกาศการแต่งงาน..งานนี้พ่อตัวดีเลยร่างจดหมายมาฉบับหนึ่งว่าเขามาขอเอกสารนี้แต่ทางอำเภอให้ไม่ได้หวังว่าทางสถานฑูตจะเข้าใจและอนุมัติวีซ่าให้ว่าที่เจ้าสาว..หากมีปัญหาอะไรให้ติดต่อที่อำเภอนี้ได้เลย แล้วให้ทางอำเภอลงชื่อและประทับตราให้ด้วย..อำเภอก็บ้าจี้เซนต์และประทับตราในจดหมายนั่นมาให้จริงๆด้วย..

ฉันเลยอธิบายให้น้องเขาฟังอย่างใจเย็นและกำชับไปอีกรอบว่า น้องเข้าใจใช่มั้ยค่ะ ว่าราชการฝรั่งเศสเขาทำงานแบบระบบใครระบบมัน ไม่เหมือนกันในแต่ละที่..อำเภอนี้เขาไม่ยอมจริงๆคะ พี่ก็เพลียใจเหมือนกันค่ะ บลาๆๆ..น้องเขาคงฟังฉันพล่ามมานานจนมึน เลยยินยอมแต่โดยดี

ฉันกลับเข้าออฟฟิตทำงานต่อไป..ผ่านไปสามวัน ระหว่างที่ฉันกำลังจ้วงข้าวราดแกงเข้าปากอย่างเมามัน..ก็มี SMSจาก TLS แจ้งให้ไปรับพาสต์สปอร์ตคืนได้แล้ว..ฤกษ์งามยามดีที่เจ้านายไม่อยู่ออฟฟิตในช่วงบ่ายและไม่เข้ามาอีกแล้วในวันนั้น..ฉันเลยแวบไปรับเล่มคืนมาเปิดดูเพื่อให้แน่ใจว่าฉันได้วีซ่าแน่ๆ ไม่ใช่ถูกปฏิเสธวีซ่า..ซึ่งไม่มีอะไรพลิกล็อค วีซ่าเชงเก้นเหมือนเดิม เพียงแต่คราวนี้ฉันอยู่ได้สามเดือนเลยก็เท่านั้น..

ในเมื่อวีซ่าพร้อมแล้ว..ขั้นต่อไปฉันก็คงต้องเคลียร์เรื่องของตัวเองในเมืองไทยให้เรียบร้อยก่อนบินไปเป็นเจ้าสาวต่างด้าวที่เมืองน้ำหอม..แอบใจหายว่า เหลือเวลาไม่มากแล้วในเมืองไทย..

Sunday, December 19, 2010

พบกันหน้าอำเภอ A la marie

ฉันส่งเอกสารทั้งหมดจากภารกิจที่ฉันต้องทำเพื่อการไปเสนอหน้าแต่งงานที่เมืองไวน์ไปให้คุณตัวดี แน่นอนก่อนส่งฉันทำการสแกนเอกสารทั้งหมดและทำสำเนาสีไว้อีกหลายๆชุด ทั้งนี้กันพลาดว่าคุณไปรษณีย์อาจไม่ไยดีเอกสารของฉันก็ได้ แล้วฉันจะเรียกร้องเอากับใครที่ไหน หากเอกสารเรือนหมื่นของฉันมันพังยับเยินหรือหายวับไปกับตา..

พ่อตัวดีโทรหาฉันหลังจากเอกสารที่ว่าจากเมืองไทยส่งไปถึงมือเรียบร้อยแล้ว..น้ำเสียงดูตื่นเต้นสุดๆ..ฉันเองก็ดีใจว่าอย่างน้อยเอกสารสุดรักไม่ได้หล่นหายระหว่างทาง..เขาบอกฉันว่า พรุ่งนี้เขาจะรีบไปติดต่อเรื่องที่อำเภอเพื่อที่ว่าจะได้ทันงานแต่งที่เขามาดมั่นมากว่าจะต้องมีให้ทันเดือนกันยายน เหตุผลก็คือ เขาไม่อยากรอต่อไปอีกแล้วหลังจากที่ฉันมักจะขอเลื่อนไป เลื่อนไป สุดท้ายเขาบอกว่าก่อนไตรมาสสุดท้ายของปี เขายื่นคำขาดมาแค่นั้น..(รอแกมาสามไตรมาสแล้ว..มีคนมาขอแต่งงานก็ดีแล้วนะ รีบๆแต่งซะที เล่นตัวอยู่ได้..เขาคงคิดแบบนี้)

แต่การแต่งงานที่เมืองไวน์ มันไม่เมืองไทยที่ว่า บ่าวสาวพร้อมแล้วพกบัตรประชาชนไปจดทะเบียนที่อำเภอได้เลยไม่ต้องมีพิธีรีตอง หรือ พยานอะไรให้มากมาย..แต่สำหรับที่นี้แล้วยิ่งเจ้าสาวต่างด้าวแบบฉัน มันเลยต้องมีการยื่นเอกสารแจ้งความจำนงค์ว่ามีหญิงชายคู่หนึ่งจะแต่งงานกันนะ ในวันที่นี้นะ ซึ่งวันแต่งงานก็ต้องมีการจองไว้ล่วงหน้าเหมือนกัน เพราะหากมีคู่แต่งงานหลายคู่ในวันนั้น ทางอำเภออาจจะต้องให้เราเลื่อนวันเป็นวันอื่นแทน (ส่วนมากคนที่นี่จะแต่งงานกันวันเสาร์เพราะว่าวันธรรมดาแขกอาจไม่สะดวกมาร่วมงาน)..มีใครจะคัดค้านตามราวีหรือเปล่า..ซึ่งทางอำเภอก็จะติดประกาศไว้สองอาทิตย์ ถ้าไม่มีใครไปโวยวาย ก็จะได้ใบประกาศการไม่คัดค้านการสมรส หรือ certificat de publication et de non-opposition มาครอบครองซึ่งไอ้ใบที่ว่าต้องนำมาแนบเรื่องตอนขอวีซ่าไปแต่งงานที่โน่นด้วย

พ่อตัวดีบอกว่า เขาจองวันแต่งงานไว้ที่เสาร์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม ตอนนี้เขารอแค่ certificat de publication et de non-opposition และ Attestation d'accueil (เอกสารยืนยันว่ายินดีให้ไปพักอยู่ด้วยกันจากเจ้าบ้าน ซึ่งคราวนี้คือ พ่อตัวดีเองเพราะว่าลงทุนมาตั้งรกรากที่เมืองนี้รอยายแก่บ้าจากเมืองไทยมาสามปีแล้ว)ซึ่งทางอำเภอให้ไปติดต่ออีกสองอาทิตย์ถัดมา

ฉันก็ยังใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ไม่ได้คิดเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะคิดทีไรก็ใจหายอยู่เงียบๆ เพราะมันก็เหมือนนับถอยหลังเวลาที่ฉันเหลืออยู่ที่เมืองไทยที่คุ้นเคยมาทั้งชีวิต..จนมีซองเอกสารส่งมาจากต่างประเทศ..แวบแรกที่เห็นฉันก็รู้ว่ามันคืออะไร..แม้แต่พ่อ แม่เองก็คงจะรู้ว่าต่อไปจะมีอะไรเกิดขึ้น เพียงแต่พวกท่านไม่ได้พูดอะไรออกมาเท่านั้นเอง ทุกครั้งที่ฉันจะไปเยี่ยมคุณฝรั่ง ฉันมักจะได้เอกสารจำเป็นพวกนี้เสมอๆเพื่อใช้ขอวีซ่า..แต่คราวนี้มันต่างจากเดิมที่มันเป็นวีซ่าเพื่อขอไปแต่งงาน..และเริ่มชีวิตที่นั่น ซึ่งอย่างน้อยฉันก็ต้องอยู่ที่นั่นสามเดือน ไม่ใช่แค่สองอาทิตย์แบบทุกๆปีที่ผ่านมา..ฉันก็ได้แต่แอบหวังให้ทุกอย่างมันผ่านไปด้วยดีและแอบสะกดจิตตัวเองให้สู้และเข้มแข็งกับหนทางข้างหน้าที่มันยังต้องดิ้นรนกันไปอีกนาน

เตรียมเอกสารขอวีซ่าไปแต่งงาน

หลังจากตัดสินใจแล้วว่า ฉันขอเริ่มใช้ชีวิตของฉันบ้าง..เมื่อทุกอย่างมันไม่สวยหรูเหมือนงานแต่งงานในฝัน..พ่อแม่ไม่ได้หวงห้าม คัดค้าน เพียงแค่ไม่สนับสนุนการตัดสินใจของฉันเลยก็เท่านั้น..ไหนๆฉันตัดใจจะไปใช้ชีวิตต่างแดนแล้ว..แต่งงานมันซะที่โน่นแหละดีที่สุดแล้ว..

ฉันและเขา เราแยกย้ายกันหาข้อมูลมาถกกันว่า เริ่มต้นคือวีซ่าสำหรับการมาอยู่ของฉันในเมืองน้ำหอมต้องทำอย่างไรกันบ้าง..ครวนี้มันคือวีซ่าเพื่อมาแต่งงานไม่ใช่วีซ่าเยี่ยมญาติแบบเดิมๆอีกแล้ว..ทั้งข้อมูลจากผู้มีประสบการณ์ใจดีๆหลายๆท่านที่มาบอกเล่าประสบการณ์ให้ความรู้แก่คนรุ่นหลังๆในอินเตอร์เนท..การถามไถ่จากเพื่อนฝูงที่มีประสบการณ์ตรงมาแล้วบ้าง..แต่ด้วยความที่ประเทศนี้เปลี่ยนกฎกันเป็นเรื่องสนุก..หลังจากหัวหมุนไปพักใหญ่ ก็ได้ขอสรุปมาว่า ฉันต้องลงมือทำเอกสารก่อน ดังนี้

เริ่มจากฉันต้องไปเตรียมเอกสารไม่ว่าจะเป็น สำเนาบัตรประชาชน ใบเกิด ทะเบียนบ้าน ใบรับรองสถานการสมรส(ใบรับรองความเป็นโสด)เตรียมส่งให้พ่อตัวดีไปยื่นเรื่องที่อำเภอของเขา..เหมือนจะง่ายแต่ฉันแทบจะต้องทำการตามหาพื้นเพของตัวเองเลยทีเดียว..สาวเลขสามแบบฉันที่ถือครองบัตรประชาชนมานาน ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาตามหาใบเกิดอีกรอบ..ซึ่งมันก็นานมากแล้วหลายสิบปีที่ฉันไม่เห็นหน้าตาของใบเกิดของฉัน..เป็นแบบที่คิด..หายสาญสูญไปแล้ว

ฉันเริ่มจากไปเขตที่มีชื่อของฉันอยู่ในปัจจุบันเพื่อติดต่อขอเอกสารต่างๆ คือใบเกิดและใบรับรองทะเบียนราษฎรที่ฉันได้ข้อมูลมาว่าใช้เอกสารนี้แทนการสำเนาทะเบียนบ้านเล่มน้ำเงินธรรมดาจะดีกว่า..แต่พอไปติดต่อคือเขตปัจจุบันซึ่งไม่ใช่เขตที่ฉันแจ้งเกิด ฉันต้องไปคัดสำเนาใบเกิดที่เขตของโรงพยาบาลที่ฉันเกิด แถมใบรับรองทะเบียนราษฎรก็ดันได้เลขที่บ้านใหม่ จากการที่กทม.เปลี่ยนระบบบ้านเลขที่ใหม่..เอาละสิ ฉันเลยต้องทำบัตรประชาชนใหม่ เพื่อให้มันตรงกับบ้านเลขที่ปัจจุบัน..งานเข้าจริงๆ

เอาหล่ะ ได้บัตรประชาชนใหม่แล้ว ฉับรีบเรียกแท็กซี่ไปอำเภอของโรงพยาบาลที่ฉันเกิด ดีที่พี่คนขับไหวพริบดี พาฉันมาถูกด้วยเพราะให้ฉันไปเองก็ไม่มีทางไปถูกหรอก จนฉันมานั่งรอคุณเจ้าหน้าที่ใจดีในสำนักเขตของโรงพยาบาลที่ัฉันเกิดแล้ว..ใช้เวลาไม่นานฉันก็ได้สำเนาใบเกิดมาครอบครอง แต่มันก็มีปัญหาอื่นตามมาอีก..ชื่อที่แจ้งเกิดกับชื่อปัจจุบันไม่ตรงกัน..พ่อแม่คงหมดความเห่อในการตั้งชื่อลูกคนเล็กแบบฉัน ทำใหตอนโรงพยาบาลแจ้งเกิด ฉันได้ชื่อย่อของโรงพยาบาลมาเป็นชื่อตัวเอง..จนพ่อแม่ดูฤกษ์พานาที รูปพรรณสัณฐานของลูกสาวแล้ว ถึงได้มอบชื่อจริงที่ฉันใช้ในปัจจุบันมาให้ (ดีนะที่ยังจำชื่อตอนแรกเกิดของตัวเองได้..ไม่งั้นเจ้าหน้าที่ก็หาใบเกิดของฉันไม่เจอหรอก)..ต้องกลับไปขอให้เขตเดิมออกใบเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ มันเหมือนจะง่ายแต่พอไปติดต่อแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามเจ้าหน้าที่แบบไหนเมื่อเขาว่าจำได้มั้ยว่า เปลี่ยนชื่อตอนไหน..โอว..ฉันยังอ้อๆแอ้ๆอยู่เลยมั้งตอนนั้น..ส่วนแม่ก็นานเป็นสามสิบกว่าปีเท่าอายุฉัน..จะจำได้มั้ย.. ฉันวิ่งรอกไปๆมาระหว่างสองเขต คือ เขตปัจจุบันและเขตเก่าที่มีข้อมูลของฉันอยู่เดิมก่อนที่จะโอนมาอยู่ในเขตปัจจุบันหลายรอบกว่าจะค้นเจอใบเปลี่ยนชื่อ..เฮ้อ เรื่องเยอะจริงๆจะแต่งงานสักทีเนี่ย

เอาหล่ะยังไม่หมดเวลาทำการ ตอนนี้ฉันเหลือแค่ขอใบรับรองสถานภาพสมรส ฉันเดินขึ้นไปชั้นบนของที่ว่าการเขตเพื่อติดต่อขอไอ้เจ้าใบที่ว่านี่..นึกว่าจะง่ายรอรับได้เลย..ที่ไหนฉันต้องไปหาพยานมาสองคนพร้อมบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของพยานมาด้วย เพื่อยืนยันว่าฉันไม่เคยแต่งงานกับใครมาก่อน..แล้วฉันจะไปลากใครมาให้ลางานมาเพื่อเป็นพยานให้ฉัน หลังจากพยายามขอร้องเจ้าหน้าที่อยู่นานก็ได้รับการปฏิเสธกลับมา..สุดท้ายแล้วฉันได้พี่เพื่อนร่วมงานที่ใจดีอยู่ละแวกบ้านพร้อมลูกชายของพี่เขา มาเป็นธุระจัดการให้..คิดดูนะว่าพี่เขากับฉันต้องนัดกันเลยว่าลางานวันนี้นะ เพราะลูกชายว่างพอดีจะได้มาช่วยทำธุระให้..พยานต้องอายุยี่สิบปีขึ้นไปนะคะ..มันยุ่งยากมากเลยเนอะ ทั้งๆที เจ้าหน้าที่เวลาซักถามพยานก็ไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับสถานภาพการสมรสของฉันเลย..ถามแค่ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ของพยานเท่านั้นเอง..ฉันนั่งรอเกือบสามชั่วโมงถึงได้กระดาษเอสี่ มีตราครุฑที่ว่ามาครอบครอง เอกสารแผ่นเดียวเดือดร้อนหลายชีวิตเลย

ว่าที่สะใภ้ต่างแดนแบบฉันภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น ฉันต้องเอาเอกสารทั้งหมดไปรับรองที่กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะก่อนถึงจะเอาไปแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสได้..ค่าธรรมเนียมแบบธรรมดาใบละสองร้อยบาท แบบเร่งด่วนรอรับได้เลยใบละสี่ร้อย..ฉันมีเอกสารต้องไปรับรองหกฉบับ คิดแล้วเอาแบบไม่รีบนักก็ได้ รอแค่สองวันประหยัดได้เป็นพันบาท ขอแบบธรรมดาค่ะ (ขนาดรวมค่าจ้างแมสเซนเจอร์ไปกลับสองรอบด้วยแล้ว ยังถูกกว่าเลย..ฉันยอมรอ หึ) ฉันได้มาแล้วเอกสารรับรองจากกงสุล ภารกิจต่อไปคือ เอาเอกสารไปแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส

ฉันเลือกใช้บริการแปลของสมาคมฝรั่งเศสเนื่องจาก อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานและที่สำคัญคือราคาไม่แพงแถมฉันยังได้ส่วนลดเพิ่มอีก เพราะว่าฉันเรียนภาษาฝรั่งเศสกับสมาคมด้วย แต่ขนาดประหยัดๆ ตอนนี้ฉันก็เสียไปเกือบสามพันบาท เอกสารหกฉบับสมาคมนัดให้ฉันมารับในอีกหนึ่งอาทิตย์ถัดไป..ในเวลาทำการของสมาคม มาถึงตอนนี้ฉันเริ่มเหนื่อยว่า ทำไมหนอ แค่คิดจะมีสามีต่างด้าวเนี่ย ฉันต้องทำโน่นนี่สารพัด..แต่ก็ยังไม่จบเรื่อง ฉันยังต้องเอาเอกสารที่แปลแล้วจากสมาคมไปประทับรับรองจากสถานฑูตด้วยแน่นอนมีค่าธรรมเนียมอีก ใบละสิบแปดยูโรอีกต่างหาก แล้วแถมไม่ใช่สถานฑูตตรงถนนสาทรนะ ต้องไปโน่นเลย สถานฑูตฝรั่งเศสตรงเจริญกรุงโน่นเลย..กว่าจะเสาะหาข้อมูลสถานฑูตว่าแฝงตัวอยู่ที่ไหน ต้องทำอะไรบ้างจากอินเตอร์เนท ฉันก็นึกขอบคุณพี่ๆแม่บ้านฝรั่งเศสหลายๆคนที่อุตส่าห์มาโพสต์ลงในอินเตอรเนทให้รุ่นหลังแบบฉันได้ทำตามแบบไม่ทุลักทุเลนัก

ฉันมานั่งรอยื่นเอกสารอยู่ที่สถานฑูตแต่เช้าแต่จนป่านนี้ผ่านไปสองชั่วโมงฉันก็ยังรอต้องต่อไป เพราะว่ามีคู่สมรสหลายคู่เลยที่ไปรอรับบริการในวันนั้น..เพราะหากเลือกสมรสในไทย ก็ต้องจูงมือพ่อหนุ่มของเรามายื่นเอกสารพร้อมทำการสัมภาษณ์ที่สถานฑูตที่นี้..ระหว่างรอฉันแอบอิจฉาสาวๆหลายๆคนที่ มีว่าที่สามีมาเคียงข้างดำเนินการด้วยกันไม่หัวเดียวกระเทียมลีบแบบฉัน..แต่อีกหลายนางเหมือนกันที่แอบข่มสามีสุดฤทธิ์ จิกว่าสารพัดว่าสามีไม่รู้เรื่อง โง่ ไม่ได้ความเลย น่าเบื่อที่สุด ฯลฯ ..เอ่อ แล้วพี่ฉลาดทำไมไม่ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เองหล่ะคะ มานั่งฉลาดๆ หน้าหงิกแบบนี้ทำไม..(นิสัยเสียนะคะ ชอบแส่เรื่องของชาวบ้าน แต่หาได้นำพาเรื่องของตนเองไม่..หึ หึ)

รอเกือบสามชั่วโมงจนเกือบเที่ยง ใจเสียเหมือนกันว่าเจ้าหน้าที่จะไล่ให้ไปหาข้าวกลางวันทานก่อนมั้ย แต่สุดท้ายก็ได้ไปตรวจเอกสารรอรับรองหลังจากเสียค่าธรรมเนียมไปเกือบห้าพันบาท..เจ้าหน้าที่ชาวฝรั่งเศสแต่หน้าเหมือนคนไทยและพูดไทยชัดมาก..บอกให้ฉันเดินลงมาติดต่อประทับตราที่ด้านล่างและเน้นว่าต้องให้เจ้าหน้าที่เซนต์กำกับด้วยนะ ไม่งั้นได้วิ่งมาสถานฑูตอีกรอบแน่ๆ..ฉันลงมาติดต่อด้านล่างรอประทับตราอีกเกือบชั่วโมง ก็ได้เอกสารมาอยู่ในมือ..สิ้นเสียงเจ้าหน้าที่บอกว่า เรียบร้อยแล้วเหมือนเสียงสวรรค์เลยสำหรับฉัน..รอมาสี่ชั่วโมงแล้ว อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกเต็มที..แต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ ขอดูหน้าตาเอกสารให้ชื่นใจหน่อยเถอะ..เห็นรอยประทับตราสีแดงของสถานฑูตลงวันที่เรียบร้อย..แต่ แต่ แต่ ไม่เห็นมีลายเซนต์เจ้าหน้าที่เลยนี่..หันหลังกลับไปติดต่อเจ้าหน้าที่คนสวยที่ยื่นเอกสารมาให้ฉันแทบไม่ทัน..ฉันเลยต้องนั่งรออีกเกือบชั่วโมงในเจ้าหน้าที่แหม่มฝรั่งที่ดูเหมือนเป็นระดับหัวหน้าที่นั่งอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวเซนต์รับรองเอกสารทั้งหกใบให้อีกครั้ง..

ฉันเข้าไปสถานฑูตตั้งแต่เก้าโมงเช้า ได้ออกมาอีกครั้งตอนบ่ายสองโมง..โล่งใจทีภารกิจเสร็จสิ้นแต่ตัวเบาหวิวเพราะเสียทรัพย์ไปไม่น้อย กว่าจะได้เอกสารพวกนี้มาครอบครองเอาเฉพาะค่าธรรมเนียมต่างๆก็เกือบเก้าพันบาท..คุณพระช่วย ถ้ารวมค่าเดินทางทั้งของฉันเองและบรรดาตัวช่วยทั้งหลายแหล่..แตะหมื่นกว่าบาทเป็นที่เรียบร้อย..เลยปลอบใจตัวเองด้วยของอร่อยย่านบางรักไปหลายอย่าง ข้าวหน้าเป็ดนายสูง โจ๊กปรินซ์ แถมด้วยขนมหวานบุญทรัพย์อีก..กินเอาตายเลยทีเดียวโดยหารู้ไม่ว่า อีกหน่อยหล่อนจะมีปัญหาหาชุดแต่งงานใส่ไม่ได้ หึ หึ

Saturday, December 18, 2010

คำตอบ

24 ชั่วโมงในหนึ่งวันของฉัน หมดไปกับการเดินทางจากชานเมืองมุ่งสู่ใจกลางเมืองขาละหนึ่งชั่วโมง อีกไม่ต่ำกว่าสิบสองชั่วโมงในแต่ละวันกับวิถีของสาวออฟฟิตที่ฉันต้องทั้งผลัก ดัน จิก กัด ให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ กลับมาถึงบ้านฉันก็มาเคลียร์บัญชีที่ร้าน ดูร้านต่ออีกหน่อยรอเวลาปิดร้าน ซึ่งก็ประมาณ สามชั่วโมงในวันธรรมดา แต่ถ้าวันหยุดแล้วหล่ะก็ สิบห้าชั่วโมงเต็มๆ ฉันก็จะทำงานในร้านเนี่ยแหละ ..ที่เหลืออีกหกชั่วโมงคือเวลาที่ฉันในสำหรับฟื้นฟูสังขารเอาแรงไว้เริ่มวันใหม่อีกครั้ง..

ฉันแอบคิดว่า โชคดีที่ต้นรักของฉันไปผลิดอกออกผลกับคนแดนไกล..เพราะหากชีวิตของฉันยังมีวิถีแบบนี้ ฉันจะมีเวลาที่ไหนไปให้เขา..และอาศัยว่าอาชีพของฉันมันเกี่ยวพันกับคอมพิวเตอร์ ทำให้ฉันทำงานไปด้วยได้และยังคงรักษาความสัมพันธ์และเก็บมุมเล็กๆ ลึกๆในหัวใจกับเขาแบบรักออนไลน์ต้องอดทนเอาไว้ได้

หลังจากเขากลับไปแล้ว ฉันทิ้งระยะไปนานกว่าครึ่งปีกว่าจะพยายามพูดคุยกับแม่อีกครั้งถึงการแต่งงาน ฉันเองก็ปุถุชนคนธรรมดา มีด้านดีด้านมืดในตัว ฉันรู้ดีว่าหลังจากพี่ๆแยกย้ายออกเรือนกันไป แม่ฉันก็เหงามากขึ้น ฉันพยายามที่จะเติมเต็มในสิ่งที่มันหายไปจากพี่ๆ ..ทุกครั้งที่แม่เอ่ยปากขออะไร หรือถามถึงอะไร ฉันเป็นต้องขวนขวายหามาให้ได้ตามที่แม่ต้องการเสมอ ..ฉันมักทำแบบนั้น แม่คือแม่แบบในการดำเนินชีวิตเลยก็ว่าได้..แต่ฉันเองก็อยากใช้ชีวิตในแบบของฉันเองอยู่เงียบๆในใจ

ฉันพยายามหาทางออกสำหรับเรื่องชีวิตคู่ของฉัน ให้มันลงตัวกับชีวิตอีกส่วนหนึ่งที่เหลือ คือ พ่อและแม่ ฉันเคยลองเสนอว่า ถ้าให้แฟนย้ายมาอยู่เมืองไทย จะดีมั้ย..แน่นอนมันยากสำหรับฝรั่งที่ภาษาไทยไม่กระดิกที่จะหางานทำในเมืองไทย..แต่ความที่เขาก็สนใจและมีความรู้ในเรื่องคอมพิวเตอร์พอตัว ฉันเลยเสนอว่าให้มาช่วยดูแลร้านอินเตอร์เนทก็ไ้ด้ พ่อแม่จะได้ไม่เหนื่อยมากตอนที่ฉันออกไปทำงาน..แต่คำตอบก็คือ ไม่..ทำแบบนั้นได้ยังไง ร้านนี้ไม่ใช่ของเธอคนเดียวนะ..ของพี่ๆเธอด้วย

ฉับแอบน้อยใจอยู่เงียบๆ ฉันไม่ได้หวังว่าเงินเดือนแทบทั้งหมดที่ฉันยกให้แม่ในทุกเดือนมาตั้งแต่เงินเดือนก้อนแรก จนถึงวันนี้ร่วมสิบปีแล้ว จะทำให้ฉันได้ครอบครองสิทธิ์ในร้าน แค่ฉันพยายามหาทางออกให้ฉันสามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ฉันรักได้ทุกคน..ฉันตัดใจแต่ไม่ยอมแพ้ อีกเกือบเดือนฉันลองถามอีกว่า ถ้าพ่อตัวดีไม่มายุ่งกับกิจการของที่บ้าน แต่แต่งแล้วก็มาอยู่ด้วยกันที่บ้านได้มั้ย เขาจะหางานอื่นทำ สอนภาษาอะไรไปก่อนมีหนทางก็ขยับขยาย..ไม่..คำตอบเดิม..ฉันกลับมาคุยกับพ่อตัวดีใหม่..หลังจากคิดสารตะกันพักหนึ่ง พ่อตัวดีก็เสนอมาว่า เขาจะไม่มายุ่งวุ่นวายที่้บ้านก็ได้ เขาจะขายทุกอย่างที่เขามีที่นี่ มันคงได้เงินมาจำนวนหนึ่งที่อาจจะเอาไปดาวน์คอนโด หรือทาวน์เฮ้าส์ก็ได้ เขาอาจจะทำร้านอินเตอร์เนทและสอนภาษา หากแม่ไม่ยอมให้เขาอยู่ด้วย ทางสุดท้ายคือ ฉันและเขาไปหาที่อยู่ใหม่ แล้วทุกเย็นและในวันหยุด ฉันก็มาช่วยงานที่ร้านเหมือนเดิม จากนั้นก็ค่อยกลับบ้านมาใช้ชีวิตแบบสามีภรรยา..แต่คำตอบจากแม่ก็คือไม่อีก..คำขาดของแม่คือ ไม่ต้องแต่งงานกับใครเลยเป็นดีที่สุด ประเสริฐสุดแล้วสำหรับชีวิตลูกผู้หญิง

ฉันเข้าใจดีว่าแม่รักฉันจนไม่ยากให้ฉันเจอปัญหาที่จะตามมาอีกหลายอย่างจากการใช้ชีวิตคู่ร่วมกับใครสักคน แบบที่แม่เจอมาแล้ว..ชีวิตแต่งงานมันหอมหวานในช่วงแรกๆแต่พอมีลูกมีห่วง ภาระต่างๆที่เข้ามา มันทำให้แม่คิดว่าผุ้หญิงที่คิดแต่งงานนั้น เสียสละมาก..ยิ่งกรณีของฉันแล้ว ต้องทิ้งทุกอย่างที่เมืองไทยเริ่มต้นใหม่ที่โน่น ยิ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ไร้สติในความคิดของแม่.. คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า มันก็คงเป็นแบบนั้น..

เมื่อฉันรู้จุดยืนของแม่ดีแล้ว..มีอีกคนหนึ่งที่ฉันต้องรับมือด้วยคือ พ่อตัวดีที่คอยไถ่ถามว่า สรุปแล้วความสัมพันธ์ของเราจะเป็นยังไง มันคงเป็นการรอคอยที่ยาวนานและไม่เห็นอนาคตมากไป ที่ผู้ชายคนหนึ่งออกย้ายมาทำงานต่างเมือง มาสร้างหลักปักฐานหวังว่าวันหนึ่งเขาจะได้สร้างครอบครัวกับคนรักที่อยู่แดนไกลในสักวันหนึ่ง แต่ก็เกือบสามปีแล้วที่เขากลับมาบ้านแล้วก็ยังใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว ทำได้แค่รอ รอ เท่านั้น แล้วเขาจะลงทุนย้ายมาทำงานต่างเมืองเพื่อรออะไร เขามักถามเช่นนี้ ส่วนฉันเองก็จนด้วยคำตอบ..เราเริ่มทะเลาะกันเรื่องนี้ถี่ขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุมันก็เกิดจากฉันเองที่รู้สึกผิดอยู่ในใจว่า ฉันจะยื้อความสัมพันธ์ไว้ทำไม เพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เมื่อไรที่เราจะมีอนาคตร่วมกัน..จนฉันออกปากบอกให้เขาไปหาคนใหม่ อย่ามาเสียเวลากับฉันเลย..แม้จะเสียใจแต่ฉันก็คิดว่ามันดีกว่าที่จะทำให้เขาเสียเวลาและโอกาส..ฉันปากพล่อยพูดแบบนี้ไปหลายครั้งประหนึ่งว่าฉันสวยเลือกได้..หน้าตาถ้าตัดเกรดออกมาคงได้แค่เกือบคาบเส้น..แต่กรรมของเขาหรือบุญของฉันก็ไม่ทราบ ที่ทำให้พ่อหนุ่มตัวดี ยังยืนยันหนักแน่นว่าเขาไม่เปลี่ยนใจ และจะยังเดินหน้าลุยเกลี้ยกล่อม หว่านล้อมให้ฉันตัดสินใจเริ่มชีวิตของตัวเองได้แล้ว

วันเวลาผ่านไปรวดเร็วมาก เกือบสองปีที่เขากลับไปและเราไม่ไดเจอกันตัวเป็นๆอีก ในแต่ละวันระหว่างทางที่ฉันเดินไปออฟฟิต หรือบนรถโดยสารสารพัดรูปแบบในเมืองหลวง คือช่วงเวลาที่ฉันจะได้ใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง..ฉันถามตัวเองว่า ตอนนี้ฉันมีความสุขกับชีวิตหรือยัง ..คำตอบคือฉันมี ฉันได้อยู่กับพ่อแม่ เพื่อนฝูงที่เมืองไทย บรรยากาศที่ฉันคุ้นเคยมาทั้งชีวิต..แต่ฉันก็ต้องซื่อสัตย์กับอีกเสียงในใจว่า แต่มันยังไม่ทั้งหมด ฉันยังมีอีกมุมหนึ่งว่า ชีวิตแบบทุกวันนี้มันก็ทำให้ฉันแอบคิดว่า..ชีวิตมันมีแค่นี้เองหรือไง..ฉันยังแสวงหาสิ่งแปลกใหม่ ท้าทายอีกหลายอย่างในชีวิตนี่..คนรักอาจจะคืออีกส่วนหนึ่งของคำตอบ แต่จริงๆแล้วฉันเองก็อยากลองเรียนรู้สิ่งใหม่ในต่างแดน ไม่่ว่าจะภาษา วัฒนธรรม และผู้คน..ฉันรู้ว่าลำบากและไม่ได้สวยงามแบบที่หลายคนโอ้อวดว่าประเทศนอกมันสวยงาม ศิวิลัย แต่มันก็ท้าทายดีนะถ้าฉันจะต้องฝ่าฟันและทำมันให้สำเร็จด้วยตัวฉันเอง

ฉันเฝ้าถามตัวเองอยู่เงียบๆในแต่ละวัน..สุดท้ายฉันก็ได้คำตอบแล้ว คำตอบของฉันอาจจะไม่ถูกใจใครต่อใครหลายคน ฉันอาจจะเลือกทางเดินชีวิตผิด หรือทิ้งอนาคตเพียงเพื่อแสวงหาความท้าทายใหม่ๆในชีวิต หลายคนพูดแรงๆใส่ฉันว่า บ้ารึเปล่า ทิ้งอนาคตเพื่อผู้ชายคนเดียว..แต่ฉันก็เลือกแล้วที่จะทำตามคำตอบในใจฉัน

Friday, December 17, 2010

แม่ครับ..แต่งงานนะครับ

ฉันกำลังหน้าดำคร่ำเครียดกับงานกองมหึมาที่ฉันต้องทำให้เสร็จก่อนหนุ่งท่มวันนี้ เพราะพ่อตัวดีบอกว่าวันนี้เขาจะรอที่ร้านกาแฟด้านล่างออฟฟิตที่ฉันทำงานอยู่ตอนหนึ่งทุ่มเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน พ่อตัวดีลาพักร้อนมาหาฉันที่เมืองไทยสามอาทิตย์แต่ที่บ้านฉันไม่สะดวกที่จะให้เขาไปพักด้วยเพราะว่าอยู่กันหลายคน ฉันเลยหาอพาร์ทเมนท์ใกล้บ้านให้เขาอยู่แทน..แต่ข้าวปลาอาหารสามมื้อ แม่ของฉันบอกให้มาฝากท้องที่บ้าน แม่ยินดีต้อนรับขับสู้เต็มที่ ทั้งๆที่ก็คุยกันจนเมื่อยมือทั้งคู่กว่าจะเข้าใจกัน แต่แม่เองก็บอกว่า ดีซะอีกแม่จะได้ฝึกภาษา.. พ่อตัวดีเลยจะมาใช้เวลาที่บ้านฉันอยู่เกือบทุกวันและทั้งวัน ตั้งแต่มารับฉันไปทำงาน..ซึ่งฉันก็พาเขาโหนรถเมล์ไปทำงานและนั่งตัวลีบแออัดบนรถตู้กลับมาบ้านเกือบทุกวัน เขาก็จะหายไปกินข้าวที่บ้านฉัน หรือไปตะลอนๆในกรุง รอเวลามารับฉันอีกครั้งตอนเลิกงาน จนกว่าจะเสาร์ อาทิตย์ ฉันถึงจะพาเขาไปเที่ยวบ้างตามแต่โอกาส..เป็นแบบนี้ทุกครั้งถ้าเขามาหาฉันที่เมืองไทย

แต่มาคราวนี้มันมีอะไรมากกว่านั้น..เสียงมือถือของฉันดัง ทั้งเสียงเรียกเข้าและหน้าจอโทรศัพท์ บอกว่าปลายสายคือแม่นั่นเอง..แม่โทรหาฉัน ถามฉันว่าพ่อตาน้ำข้าวเขามีอะไรจะบอกแม่ แต่แม่ไม่เข้าใจเลยโทรหาฉัน ให้ช่วยฟังแล้วอธิบายให้แม่หน่อย
ฉันถามตัวต้นเหตุว่า ทำอะไรอยู่ มีอะไรกับแม่..ปลายสายตอบมาว่า..มาขออนุญาตแม่ฉัน แต่งงานกันฉัน..งานเข้าอีกแล้ว..

หลังจากที่คุกเข่าขอฉันแต่งงานหน้าทีวีวันนั้น ตอนนี้มันก็ผ่านมาเกือบสองปี..เขาคงนึกเฮี้ยนขึ้นมาอีกหล่ะสิ..แม่ถามฉันว่า คุณฝรั่งเขาจะเอาอะไรกับแม่..ฉันไม่รู้จะตอบยังไงดี ..เลยบอกไปว่า เดี๋ยวเย็นนี้ค่อยไปคุยกันที่บ้านตอนนี้ขอทำงานก่อน

ทุ่มกว่าแล้ว ฉันเพิ่งออกมาจากออฟฟิตมาเจอพ่อตัวดี หลังจากคาดเค้นว่าไปทำอะไรไว้กับแม่ของฉัน ก็ได้ความว่า เขาแอบถามพี่ชายฉันว่าขอแต่งงานพูดเป็นภาษาไทยว่ายังไง..แล้วก็ไปขออนุญาตแม่ของฉันเพื่อขอฉันแต่งงาน..แต่ แต่ พ่อคุณดันไปนั่งจับมือแม่ แล้วแอบพูดตามโพยที่พี่ชายสอนไปว่า "แต่ง งาน กับ ผม นะ ครับ"..โอ๊ยยย คิดภาพตามแล้ว..งานเข้า

มันดูเหมือนจะฮากับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ชีวิตจริงมันไม่เป็นแบบนั้น หลายปีที่เขาอดทนรอ มีหลายอย่างในครอบครัวฉันที่เปลี่ยนแปลงไป..พี่ๆเริ่มออกเรือนแยกย้ายไป บ้านที่เคยแออัดเพราะอยู่กันหลายคน มาตอนนี้เหลือสามชีวิต พ่อ แม่ และฉันเท่านั้น
แม่ที่เคยฝากความหวังไว้ที่พี่สาวคนโตว่าจะอยู่ดูแลยามแก่เฒ่า มาตอนนี้เหลือฉันคนเดียวที่อยู่ด้วย ความหวังทั้งหมดเลยเปลี่ยนมาที่ฉันแทน..ฉันรับรู้การเปลี่ยนแปลงนี้มาบ้าง แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วฉันต้องตัดสินใจอะไรสักอย่างมากมายหลังจากนั้น

คืนนั้นฉัน แม่และเขานั่งคุยกันเรื่องนี้..แม่อึ้งไปเมื่อฉันแปลให้ฟังถึงจุดประสงค์ของพ่อตัวดีที่ทำไปเมื่อบ่ายนี้..แม่เองก็รับรู้มาว่าฉันคบหากับอีตาฝรั่งมาหลายปี และรู้ว่ายังไงก็ต้องมีวันนี้ แต่เมื่อมันมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในครอบครัว ..คำตอบที่ฉันต้องบอกต่อให้พ่อตัวดีฟังก็คือ..แม่ปล่อยให้ฉันตัดสินใจเอง แม่ไม่คัดค้าน แต่ก็ไม่สนับสนุนหากฉันจะต้องทิ้งชีวิตและอนาคตในเมืองไทยเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตคู่ในต่างแดน และให้ฉันตั้งสติดีๆว่า ควรแล้วหรือที่จะแต่งงานกับหนุ่มรุ่นน้อง แม่ยินดีที่จะรับพ่อตัวดีในฐานะเพื่อนของลูกสาว แต่ถ้าจะเลื่อนมาเป็นสามีแม่ว่าไม่เหมาะ..

คืนนั้นฉันยืนส่งพ่อตัวดีหน้าร้าน บอกให้เขารีบกลับไปก่อน พรุ่งนี้ฉันจะอธิบายให้ฟังตอนนี้ยังไม่สะดวกจะพูดอะไร..เขาที่ฟังไม่เข้าใจดีนักแต่คงเดาได้จากสีหน้าของแม่และฉันว่า มันคงไม่ง่ายนักสำหรับการขอสาวไทยแบบฉันแต่งงาน

ฉันอธิบายให้เขาที่ยังสับสนว่า ตกลงแม่ของฉันเกลียดหรือ ชอบเขากันแน่ เพราะว่าตลอดเวลาที่มาเมืองไทยทุกครั้ง แม่ต้อนรับขับสู้เขาดีมากทุกครั้ง แต่คราวนี้ทำไมทุกอย่างเปลี่ยนไปเพียงเพราะเขาขอฉันแต่งงาน..ฉันอธิบายสารพัดเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปในครอบครัวของฉัน และรวมถึงสาเหตุที่แม่ไม่เห็นด้วยที่ฉันจะแต่งงานไปอยู่ต่างแดน ทั้งในเรื่องอายุของเขาและ หน้าที่การงานของฉันที่เมืองไทย..ฉันรู้ดีว่าคงยากสำหรับเขาที่จะเข้าใจ แต่ก็ขอว่าอย่าโกรธหรือเกลียดแม่ของฉัน แม่ทำแบบนี้เพราะแม่รักฉันมาก..จริงๆ

ฉันไปส่งเขาที่สุวรรณภูมิ เขาเองก็ยังงอแงอยู่มากเมื่อไม่เป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้ เขาคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาถ้าเขามาขอฉันแต่งงานกับแม่ตามธรรมเนียมไทยที่เขาศึกษามาบ้าง งูๆปลาๆ ..ฉันปลอบใจไปว่า เวลาอาจจะทำให้แม่ใจอ่อน ตอนนี้กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเสียก่อน ร้องเพลงรอต่อไปอย่างน้อยตอนนี้เขาก็แสดงเจตจำนงค์ให้แม่ทราบแล้ว..ช้าๆได้สาวพร้อมพร้าเล่มงาม..หึ หึ

เขากลับไปแล้ว..ฉันเองก็มาใช้ชีวิตตามปกติโดยรับรู้การเปลี่ยนแปลงของแม่อยู่เงียบๆ จากวันนั้นแม่ไม่พูดแซวหรือ เอ่ยถึง พ่อหนุ่มตาน้ำข้าวอีกเลย.. ฉันเองก็เข้าใจดีและให้เวลาเยียวยาความรู้สึกของตัวเองและแม่ต่อไป..หารู้ไม่ว่าอีกไม่กี่ปีหลังจากนั้น..ชีวิตฉันจะมีจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ฉันต้องเลือกด้วยตัวเอง

Wednesday, December 15, 2010

พัฒนาความสัมพันธ์

หลังจากสองเราคบหาดูใจแบบทุลักทุเลกันอยู่นานหลายปี..ที่ว่าทุลักทุเลคือ ใน 365 วันแห่งรัก จะมีสัก 30 วัน บวกลบจากนั้นไม่เท่าไรต่อปีเท่านั้น ที่ฉันและพ่อตัวดีจะได้ใช้เวลาพบปะตัวจริง เสียงจริง ฉันท์คู่รักทั่วไป ส่วนอีกสามร้อยกว่าวันที่เหลือก็ต้องพูดจาภาษารักกันผ่านสื่ออิเลกทรอนิกส์ทุกรูปแบบ..แต่บางวันระดับฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวนเข้าขั้นวิกฤต ฉันก็ฟาดงวงฟาดงาหาเรื่อง จับผิด จนทะเลาะกันใหญ่โต ทั้งฉันเองที่แอบน้ำตาเล็ดแต่ยังไม่เช็ดหัวเข่า ส่วนพ่อคน sensitive ก็โทรมาร้องห่มร้องไห้ หรือแม้แต่ น้ำตาไหลคา webcam ก็บ่อยครั้ง..ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหลังจากเลิกแชทแล้ว หล่อนจะลุกขึ้นปาดน้ำตาทิ้งแล้วลั้นลาออกไปปาร์ตี้สบายใจเชิบๆ รึเปล่า

ความสัมพันธ์ที่ต้องให้กำลังใจทั้งตัวเองและอีกฝ่ายให้อดทนรอให้ถึงวันที่เราอาจจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน..มันผ่านไปตามครรลองของสองชีวิตที่มาเจอกันแต่ต้องแยกกันดำเนินชีวิตของแต่ละคนไปก่อน จนวันหนึ่งหลังคริสต์มาสผ่านไปสองสามวัน ฉันมาเยี่ยมเยือนปารีสเหมือนเคย นั่งดูทีวีกันอยู่สองคน ส่วนคนอื่นๆในบ้านของเขา แยกย้ายไปปาร์ตี้นอกบ้านกันหมด..คุณตัวดีขอตัวออกไปเอาเครื่องดื่มร้อนๆมาจิบแก้หนาวระหว่างดูทีวี..หายไปพักใหญ่ เขากลับมาอีกทีพร้อมโกโก้ร้อนๆสองแก้ว แต่มีของแถมมาด้วย วินาทีนั้นฉันยังไม่เข้าใจนักว่า หล่อนจะลงไปคุกเข่านอบน้อมฉันทำไมยะ แค่เอาโกโก้มาให้ไม่ต้องลงทุนคลานเข่าเข้ามาหาฉันก็ได้..ฉันไม่ใช่คุณหญิง คุณนายที่ไหน..แต่สุดท้ายฉันก็เห็นแหวนวงโตมีเพชรเม็ดกระจ้อย (วงโตเพราะว่านิ้วของฉันอวบมากส่วนเพชรเม็ดกระจ้อย มาได้คำจำกัดความจากกูรูเรื่องเพชรแล้ว ท่านให้คำจำกัดความแก่ฉันมาว่า "เล็กเท่าขี้ตามด")

Will you marry me? ถ้าฟังไม่ผิด ฉันได้ยินมาแบบนั้นจริงๆ พร้อมแหวนเพชรเม็ดกระจ้อยของฉันถูกยื่นมาตรงหน้าจากมือใหญ่ๆของเจ้าของดวงตาสีน้ำข้าวนั่นที่ตอนนี้มันจ้องมาที่ฉันแบบจริงจังและรอคำตอบอยู่ในที

ความรู้สึกตอนนั้นฉันไม่ได้ดีใจ หรือว่า วาบหวิวแล้วโผเข้ากอดเขา ตามแบบหนังรักโรแมนติกที่ฉันดูมาหลายต่อหลายเรื่อง..ฉันเอาแต่อึ้งแล้วก้มลงมองหน้าเขาอยู่เป็นนาน และนาน มันคงนานจนทำให้พ่อหนุ่มตัวดีใจเสีย..น้ำตาคลอเบ้าแล้วถามออกมาว่า ฉันไม่ตกลงเหรอ..

ฉันเงียบไปพักใหญ่ เพราะว่ายังงงๆกับเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นและตกใจว่า ทำไมชายตัวโตอย่างเขาน้ำตาไหลรินได้ง่ายจัง..จนสติฉันกลับมาอีกครั้ง..ฉันเอื้อมมือไปจับมือเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นให้มานั่งบนโซฟาข้างๆฉัน..แล้วฉันก็ขอบคุณที่เขาแสดงออกถึงความรู้สึกที่จริงจังในการอยากใช้ชีวิตกับฉัน แต่สำหรับฉันในตอนนั้นแล้วสามปีของการคบหา ฉันว่ามันยังเร็วเกินไป แต่ไม่ได้หมายความว่า ฉันไม่ได้รักเขา..แต่ฉันยังไม่พร้อมและหวงความโสดอยู่นั่นเอง..

กว่าฉันจะอธิบายและขอให้เราสองคนคบหากันแบบนี้ไปก่อนแล้วรอจนกว่าจะถึงวันนั้นก็ใช้เวลานานร่วมชั่วโมง พ่อหนุ่มตาหวานก็กลายเป็นพ่อหนุ่มตาบวมปูด แต่ก็ยังยืนยันว่าแหวนที่ให้นั้น ไม่ใช่แหวนแต่งงาน แต่ขออนุญาตสวมให้เพื่อยืนยันถึงความรู้สึกของเขา..นิ้วนางข้างขวาของฉันที่ตอนนี้มีแหวนวงนั้นมาสวมอยู่ ฉันก้มลงดูมันอยู่นาน (ไม่ได้หามุมส่องน้ำเพชรนะคะ)จนฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งและขอบคุณที่เขายังจะอดทนรอฉันต่อไปจนกว่าฉันจะพร้อมกว่านี้..

เจ้าสาวที่กลัวฝน..ฉันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้..ถึงแม้อายุจะแตะเลขสามแล้วก็หาได้ใส่ใจไม่ ฉันแอบโล่งใจที่พ่อหนุ่มของฉันเข้าใจและยังให้เวลาฉันบ้าง..

ความรักฉันท์คู่รักมันคือเรื่องราวของคนสองคนแต่ถ้าความสัมพันธ์มันพัฒนาไปจนถึงขั้นปลงใจที่จะแต่งงานกันแล้ว..มันจะกลายเป็นเรื่องของคนหลายคนเลยทีเดียว.. ฉันและพ่อตัวดียังไม่ทราบชะตากรรมของตัวเองเลยว่า กว่าจะได้ครองคู่แบบรักข้ามแดน เราสองคนจะต้องเจออะไรอีกบ้าง..ละครชีวิตของฉันมันยังดำเนินต่อไปอีกยาว

อลหม่านประสบการณ์ขอเชงเก้นวีซ่าครั้งแรก

หลังจากพระนางของเรื่อง ศึกษาดูใจกันผ่านสื่ออิเลกทรอนิกส์อยู่แรมปี พ่อหนุ่มของเราก็อยากให้สาวเจ้ามาเยี่ยมชมบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองบ้าง.. ตอนที่เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ในครั้งแรกๆนั้น ฉันยังไม่ได้คิดอะไรมาก..ไม่คิดว่ามันจะเป็นจริงมากกว่า อย่างที่รู้ๆ ฉันมันก็สาวออฟฟิตติดดินธรรมดา รายได้ปานกลางจนเกือบน้อย..อย่าพูดถึงเงินออมในบัญชี..หึ ไม่มีซะหรอกที่จะเหลือเกินหมื่น.. แล้วฉันจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อตั๋วเครื่องบินลัดฟ้าไปหาเธอได้

แต่คุณชายเธอก็พยายามไถ่ถามและทำให้เรื่องราวมันจริงขึ้นมาให้ได้..วันหนึ่งในเดือนสิงหาคม ฉันได้รับซองจดหมายนำส่งมาจากแดนไกล..เอาอีกแล้ว ส่งอะไรมาอีก..แกะออกดูมันเป็นใบเหลืองๆ ภาษาบ้านเขา..แต่มีชื่อฉันอยู่ในนั้น ฉันยังงงๆ ว่าจะส่งไอ้ใบนี้มาให้ฉันทำไม..จนเย็นวันนั้นฉันได้แชทกับพ่อตัวดีที่รีบแถลงไขมาให้ทราบว่า ใบเหลืองๆที่ส่งมา คือ ATTESTATION D'ACCUEIL มันเป็นเอกสารที่ออกมาจากอำเภอของว่า เจ้าบ้านบ้านนี้ได้มาขออนุญาตให้มีผู้อื่นมาพำนักด้วย..ซึ่งเจ้าบ้านตอนนั้น คือแม่ของเขา ผู้อื่นก็คือฉันเอง..ระบุเวลาที่ขออนุญาตให้ไปเยือนคือ วันคริสต์มาสในปีนั่นเองเป็นเวลาสองอาทิตย์

ฉันเองตอนนั้นยังขำๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก ฉันตอบไปว่า ส่งไอ้นี้มา แต่ฉันไม่มีเงินพอค่าตั๋วเครื่องบินหรอก ให้แม่ลำบากไปขอเอกสารมาทำไมเสียเวลา เสียดายเงินค่าธรรมเนียมด้วย ตั้งสี่สิบห้ายูโร..แต่อีกฝ่ายก็ยังยืนยันและจริงจังว่า เขาเตรียมไว้แล้ว เขาจะส่งเงินค่าตั๋วเครื่องบินมาให้ หน้าที่ของฉันคือไปลาพักร้อนและเตรียมเอกสารยื่นวีซ่า แล้วก็จองตั๋วเครื่องบินไว้..เท่านั้นแหละ

แต่เรื่องมันก็ไม่ง่ายแบบที่คิด..มันเริ่มตั้งแต่คิดว่าจะไปฉันคุยเรื่องนี้กับที่บ้าน..ทุกคนเป็นห่วงว่าฉันจะไปยังไง ผู้หญิงคนเดียวริจะไปต่างบ้านต่างเมืองคนเดียว เกิดพ่อหนุ่มตาน้ำข้าวแปลงร่างกลายเป็นแก๊งค้าเนื้อสดขึ้นมา ฉันจะเอาตัวรอดได้มั้ย..ฉันคุยกับที่บ้านและพ่อคนต้นเรื่องอยู่หลายตลบมาก จนสุดท้ายฉันขอให้ที่บ้านเชื่อใจว่า ฉันจะไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทางให้พ่อแม่เสียใจและจะดูแลตัวเองให้ดี..สุดท้ายที่บ้านก็ปล่อยให้เด็กดื้อแบบฉันทำตามใจตัวเอง..เพราะทุกคนก็รู้ว่า ฉันชอบท่องเที่ยว..แล้วแดนตะวันตกแบบนี้ฉันก็ไม่เคยไปเยือนสักครั้ง

เอาหล่ะ ที่บ้านยอมกดไฟเขียว เคลียร์วันลากับเจ้านายได้ คราวนี้ฉันก็ต้องเริ่มหารายละเอียดการขอวีซ่าแล้วว่า เขาทำกันยังไง..ฉันก็อาศัยกูเกิ้ลอีกนั่นแหละ ฉันรวบรวมเอกสารในส่วนของฉัน แบบฟอร์ม พาสปอร์ต รูปถ่าย จดหมายรับรองการทำงาน ใบจองตั๋วไปและกลับ ประกันการเดินทาง บัญชีธนาคาร(ซึ่งส่วนมากเงินเข้าเดือนละครั้งแต่ถอนออกถี่มาก จนยอดเหลือกระจุ๋มกระจิ๋มน่าเอ็นดู) แต่มันยังไม่พอ ฉันยังต้องให้พ่อตัวดีส่งเอกสารมาเพิ่ม คือ สำเนาบัตรประชาชนของแม่เขา จดหมายเชิญที่แม่ของเขาในฐานะเจ้าบ้านเขียนเพื่อเชิญฉันไปเยือนและจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายระหว่างนั้น..แต่ด้วยความที่แม่ของเขาไม่เคยมาเมืองไทยและยังไม่รู้จักฉันเลย ฉันเลยต้องเอาเอกสารที่ว่าจากแฟนตัวดีของฉันด้วย พร้อมสำเนาพาสปอร์ตและเอกสารการงานและหลักฐานการเงินของเขาด้วย..

เมื่อได้มาครบแล้ว..ฉันก็เริ่มหาข้อมูลก่อนไปยื่นวีซ่า..ชีวิตนี้เป็นครั้งแรกที่จะไปสถานฑูต..ฉันก็อยากให้มั่นใจสักหน่อยว่าฉันจะไม่ไปปล่อยไก่หรือทำพลาดให้เสียเรื่อง..ฉันแอบเครียดกับเรื่องนี้อยู่นาน จนพี่สาวบอกว่ามีคนรู้จักทำเรื่องยื่นวีซ่าอยู่ ให้ฉันเอาเอกสารทั้งหมดมา พี่สาวฉันจะช่วย..ฉันนึกดีใจว่าโล่งอก ให้คนอื่นไปยื่นแทนแล้วกัน..เสียค่าน้ำร้อนน้ำชานิดหน่อยดีกว่าเสียเวลาและประสาทจะเสียเอา..

แต่เมื่อเขาเอกเอกสารฉันไปดูก็บอกว่า ขอฉันทำยื่นแบบนักท่องเที่ยวไม่ได้ ต้องเป็นแบบเยี่ยมเพื่อนแทนซึ่งมันต้องมีการแสดงตัวที่สถานฑูต..พี่ที่เอาเอกสารไปยื่นให้บอกให้ฉันมาที่สถานฑูตวันนี้เลยได้มั้ย เขาจะแวะไปรับฉันตอนเก้าโมงเช้าที่ออฟฟิตเพราะว่าเขานัดสถานฑูตไว้วันนี้พอดีจะได้ไม่เสียเที่ยว..โชคดีของฉันที่วันนั้นเจ้านายออกไปสัมมนากันหมด ฉันเลยบอกพี่ที่ทำงานว่า ขอตัวไปทำธุระสักครู่..(ไม่มีใครรู้ว่าฉันมีแฟนเป็นฝรั่งตาน้ำข้าว..ฉับเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบมากเพราะไม่อยากเป็นขี้ปากใคร)

ไปถึงสถานฑูตพี่ที่พามาก็เอาเอกสารของฉันส่งให้ แล้วบอกให้ฉันไปเข้าคิวติดต่อเคาน์เตอร์ด้านซ้าย ส่วนตัวเขารอพาสปอร์ตที่เรียบร้อยแล้วคืน..เหวอสิค่ะ..อ้าว.. แบบนี้ก็เท่ากับหนูมายื่นเอง ทำเอาสิค่ะเนี่ย

เอาเถอะมาถึงขั้นนี้ ฉันยื่นเอกสารไปกับแหม่มสาวสวยที่ไม่ใส่ใจคำสวัสดีของฉันเลย..หลังจากดูเอกสารครู่ใหญ่เธอก็ถามฉันเป็นภาษาฝรั่งเศส..อะไรก็ยากจะแปลได้..สุดท้ายเธอก็ถามฉันว่า ฉันพูดอังกฤษได้มั้ย ฉันบอกว่าได้..ในใจคิดว่า ง่ายกว่าภาษาหล่อนเยอะเลยหละ..แหม่มผมทองถามฉันว่า ฉันรู้จักใครในครอบครัวนี้ ฉันบอกชื่อเขาไปและบอกคร่าวๆว่าเรารู้จักกันแบบไหน..แต่ความสัมพันธ์ฉันก็บอกว่า คือเพื่อน ไม่ได้บอกว่าเป็นแฟนแต่อย่างใด..สุดท้ายแหม่มคนสวยบอกว่า จะยื่นเอกสารให้แต่ฉันต้องเอกเอกสารมาให้เพิ่มเติมคือ สำเนาพาสปอร์ตของพ่อตัวดีที่มีการประทับตราเข้าออกเมืองไทย..โอว..ไม่นะ ฉันต้องมาอีกเหรอเนี่ย

พี่ที่พอฉันไปรอฉันอยู่ด้านหน้าสถานฑูต ถามว่าเรียบร้อยดีมั้ย ฉันบอกไปว่า ยัง สถานฑูตต้องการได้เอกสารเพิ่ม..พี่คนนั้นเลยได้ทีทับถมว่า ..ก็แบบนี้หล่ะ สาวโสดเดินทางไปแบบเยี่ยมญาติแบบนี้โอกาสผ่านมีน้อย..สู้ขอแบบท่องเที่ยว..ง่ายกว่าเป็นไหนๆ..อ้าวแล้วแกทำไมไม่บอกฉันก่อนโทรเรียกให้ฉันมาหล่ะ..เซ็งอารมณ์

หายไปสามวัน ฉันได้รับเอกสารเพิ่มเติมที่ว่านั้นจากเมล์ที่พ่อตัวดีส่งมาให้ ฉันเลยรีบปลีกตัวไปส่งเอกสารในช่วงบ่าย..(ออฟฟิตกับสถานฑูตอยู่ไม่ไกลกันเท่าไร)แต่คราวนี้ฉันไม่เจอแหม่มคนสวยแล้ว เจอเจ้าหน้าที่คนไทยแทน..ฉันเข้าไปติดต่อและแจ้งว่ามาส่งเอกสารเพิ่ม..เขาทำเป็นเหมือนว่าฉันไม่มีตัวตน ฉันยืนรอจนเกือบยี่สิบนาที เขาถึงหันหยิบเอกสารที่ฉันยื่นไปมาดู แล้วเริ่มสัมภาษณ์อีกครั้ง ถามถึงว่าไปทำอะไร แล้วคุณตัวดีเนี่ยเป็นอะไรกัน ฉันก็ตอบไปว่า เพื่อน(ฉันอาจจะจริตเยอะไปหน่อย..แฟนของฉันคือ คนที่จริงจังถึงขั้นจะแต่งงานกันแล้วเท่านั้น)จนท.ทำหน้าดูแคลน แล้วเพิ่มระดับเสียงมากขึ้นว่า เพื่อนหรือแฟน เอาจริงๆ ไม่ต้องมาโกหก..นาทีนั้นฉันเริ่มโมโห ฉันตอบกลับไปเสียงเรียบๆแต่แสดงออกทางสีหน้าแล้ว..ตอนนี้เป็นเพื่อนที่กำลังคบหาเพื่ออาจจะพัฒนาไปเป็นแฟน.. จนท.ทำหน้ากวนอารมณ์ใส่..แล้วบอกว่า จะยื่นให้แล้วกัน แต่ไม่รู้ว่าจะผ่านหรือเปล่า คงยากหน่อยนะ..ฉันสะกดอารมณ์ทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ ถามไปว่า ฉันจะต้องโทรมาติดต่อเรื่องผลวีซ่ายังไง..เขาตอบมาว่า ไม่ต้องทำอะไรแล้ว..รออย่างเดียว ฉันเลยถามว่านานมั้ยเพราะว่าฉันมีแผนจะเดินทางปลาบปี กลัวไม่ทัน..เขาตอบมาว่าไม่รู้นะ แต่ไม่ต้องโทรมาถามหรอก โทรติดยาก..รอให้สถานฑูตโทรไปจะง่ายกว่า..ฉันจ่ายค่าธรรมเนียมและได้รับใบเสร็จและใบแสดงเลขที่แฟ้มเอกสารที่ต้องเก็บไว้ตอนมารับเล่มคืน (สามพันกว่าบาทหลุดลอยไป..ถ้าไม่ได้วีซ่า เสียดายเงินแย่เลย)

เสร็จจากวันนั้น ฉันรอเรื่องวีซ่าอยู่นาน จนผ่านไปสามอาทิตย์ฉันก็ยังไม่ได้รับเรื่องหรือการติดต่อจากสถานฑูตเลย..จนคุณตัวดีที่ไถ่ถามว่าได้วีซ่าหรือยังรอไม่ไหว โทรมาถามสถานฑูตเองว่า เรื่องของฉันไปถึงไหนแล้ว..บ่ายวันนั้นพ่อหนุ่มตาน้ำข้าวก็เมล์มารายงานว่า โทรไปถามสถานฑูตแล้ว ฉันได้รับวีซ่าแล้ว..ฉันแอบงงที่เขาอยู่ต่างแดนโทรไปสถามฑูนดันติด แต่ฉันเนี่ยกดมือหงิกไม่เคยได้คุย) รุ่งขี้นสถานฑูตโทรมาให้ฉันมารับเล่มคืนได้แต่ต้องเอาตั๋วเครื่องบินและประกันการเดินทางตัวจริงไปยื่นวันรับเล่มด้วย..

หายไปจัดการเรื่องตั๋วต่างๆ อีกเกือบอาทิตย์ ในที่สุดฉันก็ได้เล่มมาเรียบร้อย ..แต่กว่าจะได้เล่นเอาเหนื่อย แถมเคสของฉันเจ้าหน้าที่ยังให้กลับไปรายงานตัวที่สถานฑูตตอนกลับมาเมืองไทยแล้วอีกด้วย..สงสัยหน้าตาดูว่าจะหนีไปอยู่ต่างแดนถาวรเลยต้องเข้มกับฉันเป็นพิเศษ

นี่คือครั้งแรกที่ฉันต้องผจญกับการขอวีซ่า..ทั้งเครียด ทั้งเหนื่อย..เพราะว่าฉันยังไม่มีประสบการณ์บวกกับความไม่รู้ทำให้วิตกจริตกังวลไปกันใหญ่..แต่หลังจากนั้นต้องขอวีซ่าไปเยี่ยมคุณชายอีกสองครั้งในสองปีถัดมา ฉันก็คุ้นเคยและไม่คิดว่ามันยากแบบที่เคยคิด..

ใครๆที่ต้องการขอวีซ่าแบบฉัน ไม่ต้องกังวลแล้วก็ไม่ต้องเสียค่าจ้างเอเจนท์ไปทำเรื่องให้หรอกนะคะ หาข้อมูลในอินเตอร์เนทเนี่ยแหละค่ะ มีแหล่งข้อมูลที่มีผู้รู้มาโพสต์ มาช่วยตอบคำถามเต็มไปหมด ค่อยๆอ่าน ค่อยๆศึกษาไปไม่ยากค่ะ..ยิ่งเดี๋ยวนี้สถานฑูตจัดให้ยื่นเอกสารผ่านตัวแทนมันยิ่งรวดเร็วและง่ายต่อการติดตามวีซ่ามาก แค่เสียค่าธรรมเนียมให้ตัวแทนเพิ่มขึ้นเนี่ยแหละที่ไม่ปลื้ม..หึ
รายละเอียดดูได้ที่นี่ https://www.tlscontact.com/th2fr/login.php?l=th
แต่ถ้าอยากได้ข้อมูลหรือคำปรึกษาจากผู้มีประสบการณ์ ที่นี่เลย http://www.ladyinter.com/forum_topics.asp?FID=45
(ตัวฉันเองก็แอบศึกษาจากที่นี่เหมือนกัน)

ตอนนี้วีซ่าพร้อม ตั๋วพร้อม แต่คนและกระเป๋ายังไม่พร้อม ไหนจะเคลียร์งานปิดงบปีให้เสร็จก่อนไป ไหนจะของฝากที่ต้องหอบหิ้วไปเสนอหน้ากับครอบครัวของเขา เสื้อผ้ากันหนาวอีก..โอว..ชีวิต..กว่าสองเท้าจะได้ย่ำชองอาลิเซ่เนี่ย..ลำบากจัง เอ้อ

Monday, December 13, 2010

รักออนไลน์

หลังจากพ่อหนุ่มตาน้ำข้าวเดินทางกลับบ้านเกิดไปแล้ว ฉันก็ยังได้รับข่าวสารจากเขาสารพัดรูปแบบ ทั้ง sms อีเมล์ และโทรศัพท์มาหาอยู่ทุกวัน ส่วนมากวันหยุดสุดสัปดาห์ หากเวลาว่างตรงกันฉันก็มักจะเห็นชื่อของเขาออนไลน์ในเอ็มเอสเอ็นโปรแกรมแชทที่ฉันใช้มานานหลายปีอยู่เป็นประจำ เราพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวของอีกฝ่ายผ่านสื่อที่ว่ามาทั้งหมด จนฉันเองก็ไม่รู้ตัวหรอกว่า เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของฉันตั้งแต่เมื่อไร

เขาทำแบบนี้อยู่นานเป็นปี จนวันหนึ่งในเดือนมีนาคมก่อนหน้าวันครบรอบวันเกิดของฉันหนึ่งอาทิตย์ ฉันได้รับดอกไม้ช่อใหญ่พร้อมการ์ดเล็กๆ ภาษาอังกฤษลงชื่ออีตาฝรั่งคนนั้น มาส่งให้ที่บ้าน..บ้านฉันเป็นอาคารพาณิชย์ แน่นอนหล่ะ ร้อยวันพันปีชาวบ้านแถวนี้ไม่เคยเห็นใครได้ช่อกุหลาบช่อเบิ้มมานาน ตอนฉันออกไปเซนต์รับดอกไม้ เพื่อนบ้านแถวนั้นหรือแม้แต่คนเดินผ่านไปมาก็หันมามองแล้วยิ้มๆให้ ฉันรู้สึกอายแทนมากกว่าจะดีใจ ..ที่จริงก็เขินพ่อเขินแม่ แล้วก็พี่ๆในบ้านอีกนั่นแหละ

บ่ายวันนั้นจำเลยออกมาสารภาพบาปว่า ชอบดอกไม้ที่เขาส่งให้มั้ย เขาอยากทำเซอร์ไพรส์ ซึ่งมันก็ได้ผล เซอร์ไพรส์มาก อายคนอื่นด้วย..ฉันขอบคุณไปก่อนที่จะปรามไปว่า อย่าทำแบบนี้อีกนะ ไม่ต้องส่งของอะไรมาอีกแล้ว มันไม่จำเป็น เปลืองเงินโดยใช่เหตุ
แต่ดูเหมือนฝรั่งจอมดื้อจะไม่เชื่อ เพราะในวันเกิดของฉันที่ไม่มีงานเลี้ยงอะไรพิเศษแค่ตื่นมาใส่บาตรตอนเช้า ผลบุญเลยส่งให้วันนั้นงานเยอะเป็นพิเศษและเป็นงานด่วนที่ต้องเคลียร์ให้จบในวันนั้นอีกต่างหาก ทำให้ฉันต้องทำงานจนดึกกว่าจะได้กลับมาบ้าน..

ผลบุญยังส่งผลให้ฉันต้องเสียเงินเพิ่มอีก พี่สาวเดินมาแบมือเขอเงินค่าภาษีกับฉันหนึ่งพันห้าร้อยบาท เพราะมีพัสดุจากแดนไกลหนักพอดูส่งมาหาฉัน เจ้าหน้าที่ที่มาส่งขอเก็บเงินขาภาษี..งานเข้าอีกแล้ว ฉันจ่ายเงินไปให้พี่สาวแล้วรับกล่องเจ้าปัญหานั่นมาแกะดู ..จ่าหน้าถึงฉันจากนังฝรั่งตัวดีเจ้าเดิม..เปิดออกมาดู ฉันก็เห็นเครื่องสำอาง น้ำหอม ขวดเล็กขวดน้อยอยู่จำนวนหนึ่ง การ์ดใบเล็กๆ เขียนอวยพรวันเกิดจากพ่อตาสีน้ำข้าว แล้วก็อัลบั้มภาพหนาหนัก หน้าปกเขียนชื่อของเขาไว้ ฉันเปิดออกมาดู เป็นภาพของเขาตั้งแต่แรกเกิดจนครบหนึ่งขวบ โดยแม่ของเขาเขียนคำบรรยายภาพทุกภาพไว้หมด ..แต่เป็นภาษาฝรั่งเศสนะ ซึ่งในตอนนั้นฉันยังไม่อ่านไม่ออกเลยสักคำ

คนในครอบครัวแซวเรื่องนี้กันใหญ่..แบบว่าเตรียมเฮได้ ลูกสาวคนเล็กขายออกสักที ฮิ้ว..แต่ฉันรู้สึกหัวเสียนิดหน่อยว่า ทำไมฉันต้องมาจ่ายค่าภาษีแพงขนาดนั้น เพื่ออัลบั้มรูปของเขาเนี่ย ฉันจะเอาไปทำอะไรได้..แล้วก่อนนอนคืนนั้น จำเลยก็โทรมาหาฉัน ถามว่าได้ของแล้วหรือยัง อัลบั้มที่เค้าให้มานะ เป็นของเขาเอง สำคัญมากเพราะหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว แ่ต่เขาอยากให้ฉันช่วยเก็บเอาไว้ให้..ถ้าฉันเป็นสาวโรแมนติกกับเขาสักหน่อย ฉันคงตื้นตันกับสิ่งที่เขาทำให้ แต่ฉันจำได้ว่า ฉันดุเค้าไปว่า ส่งมาทำไมเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ต้องส่งของมาให้ เนี่ย รู้มั้ย ฉันต้องเสียภาษีรับของแพงมากเลย..เขาอึ้งไปแล้วขอโทษที่ทำให้ฉันเดือดร้อน เขาบอกว่า รีบส่งมาให้กลัวไม่ทันวันเกิดของฉัน เลยลืมระบุไปว่าเป็นของขวัญ ทำให้ฉันโดนเรียกเก็บภาษี..พอแสดงบทผู้หญิงใจร้ายออกไป คราวนี้เองที่ฉันรู้สึกผิดว่าฉันพูดแรงไปรึเปล่า เพราะน้ำเสียงของเขามันอ่อยๆ ละห้อยมาก..

นางมารร้ายอย่างฉันที่ยังไม่รู้ตัวว่า ฉันเองนี่แหละที่ตามไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของฝรั่งหน้าซื่อๆ แต่แอบโจมตีฉันอยู่ทุกทาง
ระหว่างนั้นฉันก็ยังดำเนินชีวิตไปปกติ ความสัมพันธ์ของเรายังเรียกว่าเพื่อน แต่ฉันเองก็รู้ว่าเขาอยากเป็นมากกว่านั้น แต่ฉันยังขอเวลาอีกสักพัก..แต่แอบมีสงสัยหรือนึกถึงบ้างเวลาที่เขาไม่ส่ง sms หรือโทรมาหาเหมือนเคย.. เหมือนของที่เราเห็นอยู่ทุกวัน ทำไมวันนี้ไม่เหมือนเคย..อะไรทำนองนั้น..ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก มุกนี้มันใช้ได้จริงๆ นะ

วันที่ฉันตกลงว่าจะลองคบกับเขาดูแบบคนรัก ฉันจำได้ว่าได้รับกล่องพัสดุ(อีกแล้ว) แต่คราวนี้เรียบร้อยดีไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม ข้างในมีกล่องซีดีหน้าปกเป็นรูปของฉันที่เขาแอบถ่ายไว้ตอนมาเมืองไทย..ในซีดีคือคลิปเพลง Endless Love แต่มีภาพของฉันตั้งแต่เด็กๆ สมัยฟันหลอ ตัดผมม้าเด๋อๆ เรื่อยมาจนถึงภาพตอนเรียน รับปริญญาและภาพปัจจุบัน ..และฉากสุดท้ายเป็นคำสารภาพของเขาอีกครั้ง..

ฉันแอบซึ้งที่มีคนอีกคนหนึ่งในโลก ทำให้ฉันขนาดนี้ พี่สาวแอบมาบอกตอนหลังว่า เขามาแอบขอให้พี่สาวช่วยส่งรูปของฉันให้หน่อย เขาอยากทำอะไรบางอย่างให้ฉัน พี่ฉันก็อยากขายน้องเต็มแก่ ไม่รีรอที่จะช่วยเลยทีเดียว..

เจ้าตัวดีโทรมาขอคำตอบก่อนที่ฉันจะนอน ฉันเองก็ตัดสินใจอยู่พักใหญ่แต่ในที่สุด ฉันก็ยอมรับหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ในฐานะแฟน
แม้ว่ามันอาจจะแปลกๆอยู่สักหน่อย ที่ตอนเจอตัวเป็นๆไม่ตกลง มาตอบรับตอนที่เราต้องห่างกัน..นั่นแหละจุดเริ่มของรักออนไลน์ของฉัน..มันอาจจะไม่ปกติตามวิถีทางของคู่รักปกติที่ได้อยู่ใกล้กัน ได้ใช้เวลาร่วมกัน..แต่มันก็ช่วยพิสูจน์ว่าระยะทางไม่ใช่อุปสรรคถ้าเราเชื่อใจและอดทนกันมากพอ

Sunday, December 12, 2010

บุพเพอาละวาด

ฉันกำลังยื่นถุงยาแก้ไข้พร้อมกำลังเจื้อยแจ้วอธิบายการกินยาให้พ่อฟังหลังจากที่เดิมดุ่มๆออกไปร้านขายยาใกล้ๆบ้านเพื่อซื้อยาแก้ไข้ตามบัญชาของพ่อ แต่แล้วก็เหมือนมีรังสีอำมหิตแอบมองอยู่ไม่ไกล บ้านฉันทำร้านอินเตอร์เนทอยู่ชานเมืองกรุงเทพ ลูกค้าส่วนมากก็จะเป็นลูกเล็กเด็กแดงแถวนั้น นักศึกษา คนวัยทำงาน แน่นอนอยู่ชานเมืองแบบนี้ลูกค้าส่วนมากคือคนไทย แต่ก็ไม่น้อยที่บ่อยครั้งฉันจะได้ต้อนรับ พม่า ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ที่หันเหมาตั้งรกรากที่เมืองไทย

แต่คราวนี้เจ้าของรังสีอำมหิตเป็นหนุ่มคอเคเชียนตาคมที่มาพร้อมสาวไทยสเปกฝรั่ง ร่างผอมบาง หน้าคม แต่อกโต..ในตอนนั้นฉันไม่ได้ใส่ใจอะไรกับลูกค้าคู่นี้มากนัก เพราะบ่อยครั้งที่ฉันมีลูกค้าฝรั่ง อเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย มาใช้บริการที่ร้าน บางครั้งก็เป็นคนวัยทำงาน แบคแพคเกอร์ นักธุรกิจ ซึ่งส่วนมากมีสาวๆไทยมาด้วยทุกครั้ง..ฉันนึกเอาว่าฉันคงเสียงดังไปทำให้ตาฝรั่งคนนี้หันมามอง..ฉันเลยเดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่นด้านในเพื่อที่จะคุยกับพ่อต่อ..

ผ่านจากวันนั้นมาอีกอาทิตย์ วันเสาร์นี้พี่สาวที่ทำหน้าที่ดูแลร้านขอออกไปเที่ยวกับแฟนหนุ่ม ทำให้ฉันมาดูร้านอินเตอร์เนทแทนในวันนี้
ปกติฉันเป็นสาวออฟฟิตใจกลางเมือง ฝ่ารถติดออกไปทำงานทุกวัน มันเลยทำให้ฉันหมกตัวอยู่แต่ในบ้านในวันหยุดเพราะฉันผจญรถติดมาทั้งอาทิตย์แล้ว..สองวันนี้ของพักแบบเพิ้งๆบ้างแล้วกัน..วันนี้ฉันอยู่ที่ร้านคนเดียว พ่อแม่ พี่ๆออกไปข้างนอกกันหมด..ประมาณบ่ายโมง ฝรั่งตาคมคนเดิมเดินเข้ามา ฉันเดินออกไปต้อนรับตามปกติ เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนเกือบหกโมงเย็น ลูกค้าทยอยเข้า ออก หลายคน แต่ที่คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นก็ยังเป็นคุณฝรั่งคนเดิม..นั่งนานนั่งทนสุดยอดลูกค้า..แต่ที่แอบเขม่นๆตาคนนี้อยู่ คือ ฉันสังเกตว่า เขาแอบมองฉันอยู่นาน และหลายครั้งมากๆ ..ฉันรู้ตัวแต่แน่นอนฉันทำเป็นไม่สนใจ ไม่รู้ ตามจริตของกุลสตรีไทยที่จะไม่กระโตกกระตากให้เกินงาม

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่ม ฝรั่งคนเดิมเรียกให้ฉันไปดูอะไรที่หน้าจอของเขา ฉันคิดว่าสงสัยเครื่องเสีย เดินไปดู สิ่งที่ฉันเห็นคือ
ตัวหนังสือภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ และไทย อย่างละบรรทัด..มีใจความว่า..ผมอยากรู้จักคุณ เย็นนี้ไปทานข้าวกับผมได้มั้ย..

ฉันเหวอไปแปบนึง..แล้วก็หัวเราะแก้เก้อนิดนึง (แหม ตั้งแต่เกิดมาไม่มีใครจีบเลย..มันก็ต้องมีเขินไปธรรมดา) ฉันตอบเขาไปเป็นภาษาอังกฤษว่า ไม่ได้หรอก ฉันต้องดูร้าน เขาตอบกลับมาว่า ไม่เป็นไร เขารอได้จนร้านปิด ..ฉันปฏิเสธไปอีกครั้งว่าร้านฉันปิดสี่ทุ่มซึ่งมันคงดึกเกินไปที่จะออกไปทานข้าว..ฉันขอบคุณสำหรับคำเชิญแต่คงไปด้วยไม่ได้จริงๆ ขอโทษด้วย

เขาทำหน้าผิดหวังแต่ก็บอกว่าไม่เป็นไร แต่ก็ยังบอกว่า ถ้าคราวหน้าฉันสะดวกก็ขอให้บอก เขาอยากไปทานข้าวทำความรู้จักฉันเฉยๆ ไม่ต้องกลัว หรือคิดว่าเขาจะมาล่อลวงไปทำอะไร..เขาแนะนำตัวเองว่ามาจากเมืองน้ำหอมด้วยภาษาอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่น..เรายืนคุยกันอยู่นานพอควร จนเขารู้ตัวว่าควรจะปล่อยให้ฉันทำงานต่อไปได้แ้ล้วจึงขอตัวกลับที่พัก

จากนั้นฉันก็ใช้ชีวิตเป็นสาวออฟฟิตในเมืองตามปกติ คือ ออกจากบ้านแต่เช้าไปทำงานกลับมาบ้านอีกทึต้องหลังร้านปิดแล้วเท่านั้น..แต่มาคราวนี้พี่สาวฉันบอกว่ามีลูกค้าถามหา ก็ตาฝรั่งเมืองน้ำหอมคนเดิมนั่นแหละ พี่สาวฉันบอกว่ามาทุกวัน วันละสองรอบ เล่นจนร้านปิดทุกวัน..แล้วก็ต้องถามถึงฉันทุกวัน.."สงสัยฝรั่งจะชอบของแปลก" เป็นวลีที่คนในบ้านแซวฉันตลอดในตอนนั้น
จนถึงวันเสาร์กลางเดือนมกราคม ฉันเจอเขาอีกครั้ง คราวนี้เราได้คุยกันมากขึ้น (ถึงแม้จะไม่ค่อยจะเข้าใจนัก เพราะเขาเองพูดอังกฤษได้นิดหน่อย แต่ฉันเองฝรั่งเศสไม่กระดิกหูเลยทีเดียว)

เราแลกเปลี่ยนอีเมล์กันจากนั้นฉันก็จะได้รับเมล์จากเขาทุกวัน เขาเขียนเล่าว่าเขาไปทำอะไรมาบ้าง เป็นแบบนี้อยู่จนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ เขาส่งเมล์มาว่า เขาชอบ อยากขอเป็นแฟน แล้วก็เขียนมาชื่นชมรูปพรรณสัณฐานว่า สวยอย่างนั้นอย่างนี้..เกือบเคลิ้มแต่สาวๆก็รู้ใช่มั้ยว่า หนุ่มฝรั่ง..ปากหวานจะตาย..แค่เนี้ย หนูไม่หลงกลหรอกยะ.. ตอนที่ฉันกำลังอ่านเมล์อยู่นั่นเอง เจ้าตัวก็มายืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ..เหมือนมารอคำตอบ(หล่อนมีองค์เหรอไงยะ..มาถูกเวลาเชียวนะ)

พ่อหนุ่มคนนี้สอบผ่านสำหรับฉันในหลายๆด้าน จนฉันเกือบจะตกลงว่าลองมาคบกันดูก็ได้ มาตกม้าตายที่ข้อสุดท้ายที่เขาเป็นรุ่นน้องฉันหลายปี..กระแสสาวแก่กินเด็กตอนนั้นกำลังแรง ยิ่งทำให้ฉันรีบปฏิเสธไปว่า ฉันแก่กว่าเขามาก เราคงเป็นแฟนกันไม่ได้หรอก..เขารีบตอบมาว่า เขาไม่แคร์ อายุก็แค่ตัวเลข..แต่ฉันยืนยันหนักแน่นอีกครั้งว่า เราเป็นเพื่อนกันดีกว่า เขาอึ้งไปนิดหน่อยแต่ก็บอกว่า สำหรับตอนนี้แค่ฉันยอมเป็นเพื่อนด้วยก็ถือว่ายังดีสำหรับเขา..

จนกลางเดือนมีนาคมเขาต้องเดินทางกลับบ้านหลังจากมาเที่ยวในเมืองไทยเกือบสามเดือน ออกไปขอวีซ่ากลับเข้ามาไทยใหม่ที่โรงเกลือและหนองคายมาสองรอบแล้ว..มื้อสุดท้ายก่อนเขากลับ เขาขอทานข้าวกับฉันสักครั้ง ฉันเลยพาไปหม่ำบะหมี่เกี๊ยวเจ้าประจำที่ตลาดโต้รุ่งใกล้บ้าน เขาบอกว่าตอนแรกนึกว่าฉันจะเลือกร้านหรูแต่มากินแบบนี้ก็ดีนะ เขาไม่เคยลองกินบะหมี่แบบนี้เลย..มื้อนั้นฉันชิงจ่ายเงินค่าอาหารถือเป็นการเลี้ยงส่งเพื่อนต่างแดน จากนั้นเราติดต่อกันทางอีเมล์ บางวันถ้าเวลาลงตัวก็ได้แชทกันบ้าง..เป็นแบบนี้อยู่นาน และฉันเองก็ยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองด้วยว่า อีกหน่อยฉันจะต้องติดตามพ่อหนุ่มคนนี้มาใช้ชีวิตในต่างแดน

Saturday, December 11, 2010

พรหมลิขิต หรือ คุณลิขิต

ฉันมักจะถูกถามอยู่เสมอว่า ไปหาฝรั่งมาป็นคู่จากที่ไหน เจอกันยังไง ช่วยหาให้บ้างสิ..หลายครั้งที่ฉันรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่ต้องตอบคำถามซ้ำๆเดิมๆ..แอบมีเคืองๆนิดหน่อย..ฉันก็สาวไทยติดดินธรรมดาๆเนี่ยแหละ ไม่ได้เป็นเอเจนท์หาคู่สักหน่อย จะได้ช่ำชองในการหาฝรั่งตาน้ำข้าว หรือฝรั่งขี้นกมาปลูกต้นรักกับใครต่อใครได้ง่ายๆ

ฉันอาจจะบอกได้ว่าการที่ฉันและคุณฝรั่งมาเจอกันได้มันเป็นเรื่องของพรหมลิขิต แต่ถ้าลองนึกย้อนไปนานๆ (นานมาก)
ฉันก็แอบมีคิดว่า ฉันแอบสะกดจิตตัวเองมาให้ได้เจอคู่ฝรั่ง...

ย้อนไปสมัยประถม..วันนั้นมีการแสดงจากนักศึกษาอาสาสมัครต่างชาติมาทำการแสดงที่โรงเรียนของฉัน..ทั้งคณะมีประมาณเกือบสามสิบชีวิต มันเป็นครั้งแรกที่ชั้นได้เห็นฝรั่งตัวเป็นๆ ใกล้ๆเป็นครั้งแรก ซึ่งปกติก็จะเห็นแต่ในทีวีเท่านั้น..ผมทอง ตาสีฟ้า กันเกือบท้งคณะ..ฉันได้แต่คิดในใจว่า คนพวกนี้สวยจังเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้ที่เราเคยอยากได้เลย..(รูปลักษณ์ทอมบอยทะโมนๆแบบฉัน ทำให้แมไม่เคยซื้อบาร์บี้ให้เลยสักครั้ง ตุ๊กตาที่ฉันได้มาตลอดคือ โดราเอมอนตัวกลมซึ่งมันเข้าหุ่นอวบๆของฉันได้เป็นอย่างดี)

นับแต่วันนั้น ด้วยความแก่แดดของเด็กบ้าๆ บอๆ แบบฉัน เวลาเพื่อนๆเอาสมุด friendship มาให้เขียน ฉันก็มักจะทะลึ่งเขียนไปว่า อนาคตจะมีแฟนเป็นฝรั่ง..ซึ่งมันก็จะแปลกๆ ขำๆ เพราะตอนเราเป็นเด็กเราจะเขียนอะไรที่จริงจัง ซื่อๆ ตามวัยของเรา แต่ความแก่แดดแก่ลมทำให้ฉันเขียนแบบนั้นให้กับเพื่อนสนิททุกคน..เรื่อยมาจนมัธยมต้นยันม.ปลายฉันก็ยังเขียนมันอยู่แบบนั้น
ชีวิตดำเนินเรื่อยมาตามแบบฉบับของกุลสตรีรักนวลสงวนตัว หมกตัวอยู่ท่ามกลางเพื่อนผู้หญิง..แม้จะแอบสนิทกับเพื่อนผู้ชายบางคนมาก แต่มันก็สนิทกันมากจนเหมือนพี่น้องกันจริงๆ ทำให้ฉันไม่มีแฟนเลยจนอายุปาเข้าไปยี่สิบเจ็ดปี (คานมารอแกแล้วหล่ะ)
ด้วยรูปพรรณสัณฐานของฉันที่ตรงข้ามกับความนิยมของหนุ่มไทยโดยสิ้นเชิง (อ้วน ดำ ล่ำบึ้ก) แต่มีพี่ๆหลายๆคน บอกว่าหน้าตาคมๆ แบบฉันฝรั่งน่าจะชอบ..จนหนักๆเข้า หมอดูสารพัดสำนักก็มักทายเสมอว่าชั้นจะได้คู่ต่างชาติ..นี่ละมังที่ทำให้ชั้นเริ่มที่จะสะกดจิตตัวเองอีกครั้งว่า อืม อย่างชั้นน่าจะเป็นฝรั่ง เพราะอกหักที่แอบชอบหนุ่มไทยมาหลายคน แต่ท้ายที่สุดดันมาบอกว่า ฉันเป็นคนตลก คุยสนุก อบอุ่นเหมือนได้คุยกับพี่สาว..แม่..(เอ่อ จะเป็นแฟนค่ะ ไม่ได้อยากเป็นแม่)

พอคุณฝรั่งดวงตกเสนอตัวมาให้รจนาอย่างฉันเสี่ยงพวงมาลัยดูสักครั้ง จิตใต้สำนึกที่ถูกตัวเองปลูกฝังมานานก็ทำให้ฉันตกลงปลงใจกับคุณฝรั่งในที่สุดแม้ในตอนแรกจะยืนยันหนักแน่นว่า ไม่เอา ไม่ชอบ..แต่สุดท้ายก็แพ้แววตาซื่อๆสีน้ำข้าวนั่นจนได้

พระพรหมอาจจะลิขิตให้ฉันมาเจอคู่เป็นฝรั่งตัวโตแต่ใจน้อยคนนี้ แต่จริงๆแล้วฉันเองก็ลิขิตชีวิตตัวเองไว้เหมือนกัน เพราะอย่างที่รู้ๆกัน กว่าจะได้ใช้ชีวิตคู่กับชาวต่างชาติ หญิงแดนสยามอย่างเราๆ ก็ต้องฝ่าฝันสมรภูมิวีซ่าต่างๆ นานา จนต้องมาเรียนรู้โลกใหม่ต่างบ้านต่างแดนแบบนี้..เพราะฉะนั้นถ้าฉันไม่เลือกที่จะลิขิตเส้นทางชีวิตตัวเองด้วย ป่านนี้ฉันอาจจะยังต้องร้องเพลงใคร..(บอย โกสิยพงษ์)รอคนๆนั้นที่พระพรหมท่านจะลิขิตมาให้ อยู่ก็เป็นได้