Wednesday, March 9, 2011

ก้าวเท้าออกไปเรียนวันแรก

เริ่มต้นเช้าวันจันทร์หลังจากพ่อตัวดีออกไปทำงานเรียบร้อยก่อน 7 โมงเช้า  ฉันก็ลุกขึ้นเก็บที่นอน เดินมาเก็บเศษซากอารยธรรมที่นังสามีแอบทิ้งไว้เกลื่อนตั้งแต่ห้องอาบน้ำ ห้องครัว จนถึงห้องนั่งเล่น  พอทุกอย่างเข้าที่ฉันก็เริ่มทำภารกิจของตัวเองบ้าง แต่วันนี้พิเศษหน่อยที่ต้องอาบน้ำแต่เช้า..หน้าหนาวแบบนี้จากคนรักสะอาดอาบน้ำวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น..กลายมาเป็นเหลือวันละครั้งพอ เลือกเอาว่าจะอาบตอนไหน..ฉันมีเรียนวันจันทร์ตอนเช้า 2 ชั่วโมง ทุกทีฉันจะแค่ล้างหน้าแปรงฟันแล้วออกไปเรียน พอกลับมาบ้านหลังหม่ำมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อย นั่งดูทีวีรอเวลาย่อยจนบ่ายคล้อยถึงจะได้ฤกษ์สะสางสังขารตัวเอง

แต่บ่ายนี้ฉันจะต้องไปเรียนภาษาอีกโรงเรียนหนึ่งเป็นครั้งแรก...คงไม่ดีแน่ถ้าจะเอาสังขารเน่าไปอวดโฉมให้คนอื่นดม จึงต้องกัดฟันอาบน้ำแต่เช้าแถมจะแช่น้ำอุ่นนานๆ ก็ไม่ได้ด้วย เวลาไม่อำนวย..เดินตัวหอมหน้านวลผ่อง ออกจากบ้านไปเรียน ทักทายกับ Marqaure อ่านว่า มาร์โก ผู้ดูแลคอร๋สสอนภาษาฝรั่งเศสพร้อมกับแจ้งเธอด้วยว่า พรุ่งนี้ตอนเช้า ฉันมาเรียนไม่ได้เพราะว่าโอฟี่ส่งฉันไปเรียนแล้ว เริ่มเรียนบ่ายวันจันทร์นี้ และอังคาร  พฤหัสบดีและศุกร์ตอนเช้า.. แต่บ่ายวันอังคารฉันก็จะมาเรียนที่นี่เหมือนเดิม..มาร์โกดีใจกับฉันด้วย แต่เธอบอกว่าที่โรงเรียนใหม่ฉันอาจจะเบื่อๆ เพราะว่าจะเริ่มสอนตั้งแต่ อา เบ เซ เด กันเลย ผิดกับที่นี่ที่เน้นสอนไวยากรณ์ แต่ก็ให้ไปเรียนเพื่อจะได้ไปฝึกพูด เจอคนอื่นจะได้พูดได้เร็วขึ้น แต่ยังไงก็ต้องมาเรียนกับเธอที่นี่ต่อนะ เพราะว่าฉันมีพัฒนาการเร็วมาก น่าเสียดายถ้าจะหยุดเรียนแล้วไปเริ่มใหม่ตั้งแต่พื้นฐานแบบนั้น..จากนั้นก็นั่งรอให้มาร์โกจัดสรรว่า วันนี้ครูแต่ละคนจะได้นักเรียนเป็นใครบ้าง เพราะว่าในแต่ละครั้งจะมีอาสาสมัครที่มาสอนมากน้อยไม่แน่นอน พอๆกับจำนวนนักเรียนที่ไม่แน่นอนเหมือนกัน

เรียนเสร็จตอน 11 โมง สองเท้าพาตัวเองกลับบ้านแต่วันนี้ได้เพื่อนเดินกลับบ้านเป็นหนุ่มจากไนจีเรียที่มาเรียนภาษาเหมือนกันเพียงแต่ว่าไม่เคยเรียนด้วยกันเท่านั้น พอรู้ว่าบ้านอยู่ละแวกเดียวกันก็เลยเดินคุยกันมาเรื่อยๆ แต่เอ๊ะ ทำไมเส้นทางแปลกๆ เขาหันมาบอกว่านี่คือ ทางลัด ..เขาสงสัยว่าฉันไม่รู้เหรอ..แล้วทุกทีมายังไง ฉันบอกว่าเดินขึ้นเนินมาเรื่อยๆกว่าจะถึงโรงเรียนก็ 20 นาที ..เขาส่งแววตาสมเพชมาให้ บอกว่าถ้าเดินทางนี้นะ 10 นาทีก็ถึงบ้านแล้ว...โอว แล้วทำไมฉันพึ่งจะมารู้ตอนนี้เนี่ย

ถึงบ้านจัดการหามื้อกลางวันให้ตัวเองเรียบร้อยด้วยข้าวไข่เจียวกินคู่กับน้ำพริกกะปิผักลวก  แปรงฟันดับกลิ่นไม่พึงประสงค์แล้วเตรียมของไปเรียนพร้อมเสบียงคู่กายคือน้ำเปล่าหนึ่งขวด  ดูตารางรถเมล์อีกครั้งก่อนออกจากบ้าน  ฉันต้องไปให้ถึงป้ายก่อน 13.05 ใช้เวลาเดินทาง 10 นาที ก็จะถึงโรงเรียนทันเข้าเรียนตอน 13.30 น.  มาแกร่วรอที่ป้ายรถเมล์ก่อนเวลา 10 นาทีเพราะกลัวพลาดเผื่อรถจะมาก่อน..ยืน รอ รอ รอ  ก็ยังไม่เห็นมาสักคัน หันออกไปมองป้ายอื่นๆ คนมายืนคอยแบบบางตา สงสัยออกไปเที่ยวกันหมด เพราะว่าช่วงนี้โรงเรียนปิด 15 วัน ให้ไปเล่นสกีบอกลาหิมะที่ใกล้จะละลายหมดแล้ว

ฉันยืนกระสับกระส่ายที่ป้ายอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง เลยเวลาเข้าเรียนมาเกือบสิบนาที ถึงจะเห็นรถเมล์สายที่ต้องขึ้นโผล่มา  ฉันโบกแขนส่งสัญญาณให้คนขับรู้ว่า จอดหน่อยจ้า..หนูจะขึ้น  สารถีวันนี้เป็นผู้หญิง ฉันก้าวขึ้นรถไป Bonjour Madame, Un aller-retour billet, sil vous plaît บงชูว์ มาดาม อา นาเล่ เครอทู บิลเย่ ซิลวูเปล  สวัสดีค่ะขอตั๋วไป-กลับใบหนึ่งคะ พร้อมส่งเงินให้ 1.90 ยูโร  เธอส่งตั๋วเล็กๆส่งกลับมาให้ ฉันรับมาแล้วเดินไปนั่ง..ระหว่างทางก็สำรวจทางและดูคนอื่นที่ทยอยมา พร้อมกังวลว่า ไปสายแบบนี้ต้องโดนครูด่าแน่เลย..

ถึงที่เรียนแล้ว ฉันเดินเข้าห้องเรียนที่ตอนนีัมีคนนั่งให้เต็มไปหมด..กล่าวสวัสดีกับคนที่น่าจะเป็นคุณครูแล้วส่งจดหมายเรียกตัวไปให้เธอดู เพราะไม่รู้ว่าจะบอกครูยังไงว่าฉันมาเรียนวันแรก..ครูรับไปอ่านจบก็บอกให้ไปนั่งที่กับนักเรียนคนอื่นๆอีก 12 คนที่นั่งอยู่ตามโต๊ะรูปตัวยู  ก่อนเริ่มเรียนมีเจ้าหน้าที่คนสวยมาบรรยายเรื่องการแยกขยะให้ฟัง ว่าถังขยะแต่ละสีใส่ขยะอะไรบ้าง ผ่านไปร่วมชั่วโมงครูก็จับแยกเป็นกลุ่มแล้วเดินเอาใบเซนต์ชื่อมาให้ฉันพร้อมทั้งส่งชีทมาให้หนึ่งแผ่นเป็นหัวข้อการแนะนำตัวเอง โดยให้เริ่มกรอกรายละเอียดของตัวเองลงไปก่อนแล้วจะให้แนะนำตัวเองตามชีท..อ่านตามนั่นแหละ แล้วจากนั้นจะให้จับคู่พลัดกันถาม-ตอบ ..กลุ่มที่ฉันอยู่มีอีก 4 สาว 2 คนมาจากตุรกี มาเซโดเนียและ โมรอคโค

ฉันใช้เวลาไม่นานก็กรอกเสร็จเพราะเคยทำแบบนี้มาหลายครั้ง แต่อีก 4 สาวที่เหลือดูเหมือนมันจะไม่ง่ายเลย เพราะว่าพวกเธอพูด อ่าน เขียน ไม่ได้เลย  ฉันเลยเอาชีทของฉันให้ดูพร้อมอธิบายให้ฟังว่าแต่ละข้อให้กรอกอะไร..สงสัยละสิว่าคุยภาษาอะไรกัน..แรกๆก็อังกฤษเพราะสาวมาเสโดเนียเธอพอฟังได้ แต่หลังๆครูดุว่าให้พูดฝรั่งเศส ห้ามพูดภาษาอื่น ฉันเลยต้องพูดฝรั่งเศสแบบงงๆ ปนกับภาษามือจนเข้าใจกัน เกือบสองชั่วโมงผ่านไปวันนี้ฉันได้แต่ถาม-ตอบ หัวข้อแนะนำตัวเองกับ 4 สาว  แอบมองกลุ่มอื่นมีเรียนเรื่องการไปซื้อของตั้งแต่เรื่องของคำศัพท์รวมถึงบทสนทนา  อีกกลุ่มเป็น สว. ที่กำลังหัดเขียนตัวอักษร ..ครูมีอยู่คนเดียวเพราะฉะนั้นก็จะไล่สอนไปทีละกลุ่ม

จนเกือบห้าโมงเย็นมีเพื่อนคนหนึ่งในห้องบอกครูว่า ต้องขอออกก่อนเพราะว่าตอนนี้อยู่ในช่วงวันหยุด รถเมล์วิ่งน้อยลง ถ้าขึ้นไม่ทันเที่ยวห้าโมงเย็น ต้องรอเป็นชั่วโมงกว่าเที่ยวถัดไปจะมา..ครูถามว่าใครต้องขึ้นรถเมล์บ้าง..เห็นยกมือกันทุกคน แม้แต่คนที่ขับรถมาเอง หรือประเภทมีสารถีมาคอยรับ-ส่งอยู่แล้ว..ฉันที่ยังงงๆกับตารางรถเมล์เลยหยิบสมุดตารางรถเดินไปถามเพื่อนๆ ถึงรู้ว่าทำไมฉันมาสาย เพราะว่าตารางรถเส้นทางหนึ่งจะแบ่งเป็นช่วงเวลาปกติ และวันเสาร์และช่วงเทศกาลอีกตารางหนึ่ง วันนี้ถึงไม่ใช่วันเสาร์แต่เป็นเทศกาลที่โรงเรียนหยุดเลยต้องไปดูอีกตารางหนึ่ง..แม่เจ้าพึ่งจะรู้

ดูตารางรถแล้วฉันพลาดเที่ยวก่อนหน้านี้ไปแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงคันใหม่ถึงจะมา..ฉันเลยไม่รีบร้อนออกจากห้องเรียนตามเพื่อนๆไป  เดินไปหาครูพร้อมเอาคำถามที่ฉันแอบสงสัยจากการเรียนภาษาเองกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไปถามครู..ครูอธิบายให้ฟังแล้วถามกลับมาว่า ถ้างั้นวันนี้ที่เรียนก็ง่ายเกินไปสำหรับฉันนะสิ..ฉันบอกว่าก็รู้หมดแล้ว แต่ได้ฝึกพูดก็ดี..เธอเลยให้ชีทที่เธอสอนอีกกลุ่มที่ยากขึ้นมาให้ฉันแล้วบอกว่า ลองเอาไปอ่านดู แล้วคราวหน้าเอาการบ้านมาส่งด้วย..

ได้เวลานั่งรถเมล์กลับบ้าน ขากลับไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรเหมือนตอนมา เลยมีเวลามองคนอื่นบ้าง  เห็นหลายคนที่ไม่มีตั๋วรายเดือนซื้อตั๋วเป็นเที่ยวเหมือนฉัน แต่พอเขาได้ตั๋วมาแล้ว ดันไปสอดเข้าเครื่องเล็กๆที่เสาด้านหลังเบาะคนขับด้วย..ดูอยู่หลายคนถึงได้รู้ว่าเขาเอาตั๋วไปประทับตราวันที่..กันพวกลับลอบเอาตั๋วเดิมๆมาวนใช้..เหรอ แต่หนูไม่ได้ทำอ่ะ อย่าว่าหนูเลยนะ ไม่รู้จริงๆ

กลับมาบ้านนั่งพักให้หายหนาว ก็ได้เวลาเตรียมมื้อเย็นกว่าจะเสร็จก็ก่อนสามีกลับมาบ้านไม่นาน..ไม่เหมือนตอนไม่ได้ไปเรียน ทอดไก่รอจากหนังกรอบเป็นหนังเหี่ยวเธอก็ยังไม่มา ..ระหว่างมื้อเย็นเราคุยกันเรื่องโรงเรียนใหม่ พอฉันบอกว่าวันนี้ไปสายเพราะว่าดูตารางรถผิดอัน ไม่ได้ดูในช่วงเทศกาล  พ่อตัวดีเลยเหวอแล้วรีบขอโทษว่า เออ ใช่ ลืมบอกฉันไปว่ามันเริ่มเทศกาลตั้งแต่วันเสาร์แล้ว..หึ สายไปแล้ว..ฉันตกรถไปเรียบร้อยแล้วยะ..ชิ

Tuesday, March 8, 2011

เตรียมตัวไปเรียนแบบเต็มขั้น

หลังจากไปทดสอบความรู้ภาษาฝรั่งเศสมาแล้ว ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์พ่อตัวดีก็ถือจดหมายฉบับหนึ่งมายื่นให้ตรงหน้า..เนื้อความเขียนไม่เยิ่นเย้อ เพราะคงรู้ว่าอารัมภบทเยอะจะอ่านแล้วปวดหัวกันมากกว่า..จับใจความได้ว่าวันจันทร์หน้าให้ไปเรียนได้แล้ว..

คอร์สเรียนภาษานี้ใช้เวลารวม 240 ชั่วโมง เรียนสัปดาห์ละ 16 ชั่วโมง โดยเรียนวันละ 4 ชั่วโมงยกเว้นวันพุธที่จะไม่มีเรียน..รวมกับคอร์สเรียนเดิมที่  Maison de quatier ฉันก็จะมีชั่วโมงเรียนอาทิตย์ละ 20 ชั่วโมง หายไป 2 ชั่วโมง เพราะว่าเวลาเรียนชนกัน เลยตัดเลือกเรียนที่ใดที่หนึ่ง..แน่ละ ฉันเลือกโรงเรียนจากโอฟี่ไว้ก่อนเพราะว่า ที่นี่ค่อนข้างจะมีกฎเข้มงวดเรื่องการเข้าเรียน คือ ห้ามมาสาย ห้ามขาดเรียนเกิน 3 ครั้ง หากป่วยต้องมีใบรับรองแพทย์มาแสดงด้วย ถ้าฝ่าฝืนคุณครูก็จะรายงานไปที่ โอฟี่ทันที เพราะว่า ถือว่าให้เรียนฟรีแล้วไม่ตั้งใจก็จะถูกหมายหัวไม่ให้การช่วยเหลือใดๆต่อไป

ทันทีที่อ่านจดหมายจบ ฉันรีบดัดเสียงอ่อนหวาน หน้าตาซื่อๆ หันไปถามพ่อตัวดีว่า พรุ่งนี้วันเสาร์ไม่ต้องไปทำงานใช่มั้ย..พ่อตัวดีพยักหน้ารับแต่แววตางงๆ เพราะร้อยวันพันปี นังเมียบ้าไม่เคยจะออดอ้อนแบบนี้ คราวนี้มันต้องขอให้ทำอะไรอีกแน่ๆ..ฉันเอียงคอแอ๊บแบ๊วว่า..พาไปซื้อตั๋วรถเมล์รายเดือนหน่อยนะ..เพราะสามีคงไม่มีเวลาไปส่งคุณเมียไปเรียนได้ทุกวันใช่มั้ย  ต้องรถเมล์ไปเอง ซื้อตั่วไปกลับเที่ยวละยูโร วันหนึ่งก็ 2 ยูโร อาทิตย์ละ 8 ยูโร..ซื้อตั๋วเดือนดีกว่า เดือนละ 24 ยูโร นั่งไปเลยไม่จำกัดจำนวนเที่ยว..พ่อตัวดีบอกว่า เสียดายที่ฉันแก่เกินไป ถ้าต่ำกว่า 25 ปีนะ..เดือนละ 6 ยูโรเอง..

หนอย..มานึกเสียดายเงินหรือเสียดายชะตากรรมตัวเองที่เลิอกเมียชรา..ต้องกราบกรานและเทิดทูนบูชาเมียนะคะ ..จะหาที่ไหนได้ เมียที่เสนอตัวนั่งรถเมล์ไปเรียนเองไม่ต้องเดือดร้อนสามี..ถือว่าวาสนาฉันน้อยแต่คุณชายวาสนาสูง เราถึงได้มาลงเอยกันได้..ไม่งั้นป่านนี้ฉันอาจได้ไปอยู่ในที่สูงกว่านี้ก็เป็นได้...คานนั่นเอง

จนเช้าช่วงสายของวันเสาร์ ฉันนั่งเล่นอินเตอร์เนทรอให้พ่อตัวดีตื่น  ในใจกะไว้ว่าสิบเอ็ดโมงจะเข้าไปเรียกเพราะว่าวันเสาร์เปิดขายตั๋วรายเดือนแค่ครึ่งวัน ปิดเที่ยง เพราฉะนั้นนอนเอาบ้านเอาเมืองจนถึงสิบเอ็ดโมงก็น่าจะเพียงพอ..นี่ขนาดว่าเห็นใจนะว่าตื่นแต่ไก่ยังไม่มีแรงโห่ออกไปทำงานทุกวัน กว่าจะกลับมาบ้านอีกทีไก่ก็หลับไปนานแล้ว เลยปล่อยให้พักผ่อนนอนใจไปเรื่อยๆ ก่อน  ส่วนฉันเตรียมเอกสารที่ต้องใช้ในการซื้อตั๋วเดือน คือ พาสปอร์ตและรูปถ่าย 1 ใบ

จนเกือบ 11 โมง สามีรู้งานก็ตื่นมาเองโดยไม่ต้องใช้กำลังข่มขู่..ส่งเสียงมาบอกว่า  ขอเวลา 10 นาทีแล้วออกไปซื้อตั๋วกัน..น่ารักมาก..จูงมือกันกระหนุงกระหนิงเดินไปไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงสำนักงานขายตั๋วรถเมล์..มีคนรอใช้บริการอยู่หนาตา ตอนแรกฉันคิดว่าช่วงสิ้นเดือนแบบนี้ คนอื่นก็คงมาซื้อตั๋วเดือนแบบฉันเหมือนกัน..แต่พอสนทนาระหว่างเข้าคิวก็ทราบว่า คนอื่นเขามาเปลี่ยนตั๋วรายเดือนแบบเดิมที่เป็นกระดาษธรรมดา มาเป็นการ์ดแข็งมีชิป หน้าตาคล้ายสมาร์ทการ์ดแบบบ้านเราที่ตอนนี้ยังต้องลุ้นกันใจหายใจคว่ำว่าจะได้ใช้กันก่อนสงกรานต์มั้ย เพราะได้ยินเสียงร่ำลือว่า บางคนถือบัตรเหลืองมาร่วมปีเพราะสมาร์ทการ์ดติดปัญหา

มาถึงคิวของเราแล้ว..พ่อตัวดีเอ่ยปากบอกพนักงานขายตั๋วไปว่า มาทำบัตรรายเดือนครับ เพราะภรรยาผมต้องไปเรียนเองทุกวัน..บอกซะละเอียด เพราะกะว่าพนักงานจะเมตตาถ้าเป็นนักเรียนแล้วจะลดค่าตั๋วให้..ฝันไปก่อนเถอะ..นักเรียนที่จะมีสิทธิ์ขอส่วนลดเหลือ 6 ยูโรต่อเดือน ต้องอายุไม่เกิน 25 ปียะ..แต่ถ้าไม่เรียนแล้ว 18 ขวบก็หมดสิทธิ์..เพราะฉะนั้นยัยนักเรียนแก่นี่ต้องจ่ายเต็มนะคะ..รับคำแบบจ๋อยๆ พร้อมส่งพาสปอร์ตและรูปส่งไปให้..ไม่เกิน 5 นาทีก็ได้บัตรมาครอบครองแลกกับ 24 ยูโรที่เสียไป..พนักงานบอกว่าเริ่มใช้บัตรได้วันที่ 1 ของแต่ละเดือน หมดอายุก็ตอนสิ้นเดือน อย่าลืมมาต่อบัตรด้วยหล่ะ..ฉันฟังแล้วแอบสะกิดพ่อตัวดีว่า วันจันทร์ที่หนูจะไปเรียนมันวันที่ 28 กพ. อยู่เลยอ่ะ ทำไงอ่ะ...สามีหันไปถามพนักงานก็ได้คำตอบว่า ไปซื้อตั๋วบนรถเมล์กับคนขับได้เลย..รถเมล์ที่นี่ไม่มีกระเป๋ารถเมล์คอยเก็บเงินแบบบ้านเรา

ก่อนกลับบ้าน ฉันขอให้คุณชายพาไปดูป้ายรถเมล์ที่ฉันต้องขึ้น  ...อย่าเพิ่งคิดว่าฉันเกิดอาการสมองตายหรือไง ไม่รู้จักป้ายรถเมล์ที่ออกจะคุ้นเคยสมัยอยู่เมืองไทย..ป้ายรถเมล์ที่นี่จะไม่รวมหลายๆสายแบบบ้านเรา จะแยกไปเลยเป็นป้ายของแต่ละสาย ขนาดสายเดียวกันแต่ขาไปกับขากลับยังแยกป้ายกันเลย ป้องกันคนขึ้นสับสน ที่ป้ายก็จะมีเขียนบอกไว้เลยว่าที่นี่สำหรับสายอะไร จากไหนไปไหนและมีตารางเวลาให้ดูด้วย..

เดินอุ่นใจกลับไปบ้าน หลังจากเตรียมบรรดาสมุด เครื่องเขียนและดิกชันนารีเรียบร้อยสำหรับการไปเรียนแล้ว (เก็บอาการเห่อไว้ไม่อยู่) ฉันก็สาละวนกับสมุดตารางรถที่ได้มาตอนไปซื้อตั๋ว เพื่อศึกษาเส้นทางว่าจะนั่งสายอะไรไปเรียนดี เพราะว่ามีให้เลือก 2 สาย..รู้สึกตื่นตัวหลังจากหมกตัวเป็นศพอืดๆ อยู่ในบ้านมานาน ..คราวนี้จะออกไปเผชิญหน้าชาวโลกบ้างแล้ว..หมายมั่นอยู่ลึกๆว่า ต่อไปนังสามีจะน้ำตาเช็ดหัวเข่า..เมียแก่อย่างฉันจะหนีเที่ยวบ้าง ..ทีหนูป้าไม่ว่า..ถึงคราวป้าหนูอย่ามาโวย หึๆ

Sunday, March 6, 2011

เริ่มมีหวังไปเรียนฟรีกับ OFII

3 วันผ่านไปหลังจากส่งจดหมายไปขอคอร์สเรียนภาษาฝรั่งเศสกับ OFII อีกครั้ง..ฉันก็ได้รับจดหมายตอบกลับมาว่า ..ได้รับทราบเรื่องแล้ว แต่ให้ส่งจดหมายอีกฉบับไปแจ้ง วันเดือนปีเกิดของฉัน และเลขที่แฟ้มเอกสารของโอฟี่ เพื่อที่จะได้สะดวกต่อการติดตามเรื่องให้อีกครั้ง...นั่งฟังสามีแปลให้ฟังด้วยอาการเซ็งจิตกับวิถึราชการแบบที่นี่..ท่านชอบจริงๆ เรื่องเอกสารเนี่ย จะหัวหกก้นขวิด หรือจะร้องแร่แห่กระเชิงอะไรก็ต้องส่งเป็นจดหมาย..แต่สามีอ่านแล้วโกรธไม่ยอมที่จะส่งจดหมายให้เสียเวลา โทรไปเลยดีกว่า...

ปลายสายรับแล้ว...ฟังภาษาบ้านเขาไป ชาวเราก็ได้แต่นั่งอึ้ง จนพ่อตัวดีวางสายลงอย่างหัวเสียแล้วหันมาเล่าให้ฟังว่า  โทรไปหาเจ้าหน้าที่ที่ส่งจดหมายกลับมา เพื่อที่จะแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติม..ปรากฎว่าเธอผู้นั้น ได้ลาพักร้อน อาทิตย์หน้าถึงจะกลับมาทำงานตามปกติ...เจ้าหน้าที่คนที่รับสายก็ดีใจหาย..บอกว่าจะช่วยดำเนินการให้ แต่ แต่ แต่ ให้ส่งจดหมายไปอีกครั้ง..เท่ากับเริ่มต้นใหม่นั่นเอง..เซ็งอย่างแรง

เราสองคนตัดสินใจที่จะรอดีกว่าจะดึงดันส่งจดหมายไปให้ซ้ำซ้อน เดี๋ยวพาลจะเกิดอาการหมั่นไส้จนไม่ได้เรียนอีก..แกล้งลืมๆเวลาออกไปเรื่อยๆ จนครบอาทิตย์ พ่อตัวดีก็โทรไปติดต่ออีกครั้ง..พักร้อนซินโดรมคงระบาดนิดหน่อย เธอคนนั้นเกิดอาการสมองตายชั่วขณะ พูดแต่ว่าไม่รู้เรื่องเลย ไม่เห็นมีเอกสาร..จนพ่อตัวดีอ่านข้อความในจดหมายที่เธอส่งมาให้ฟังเท่านั้นแหละ เธอถึงคืนสติกลับมาได้ทันใด..เธอบอกว่า  เธอจะทำการลงทะเบียนรอเรียนให้ฉัน แต่ยังให้คำตอบไม่ได้ว่าจะได้เรียนเมื่อไร เพราะมีคนรอเรียนอีกเยอะ..เอาเถอะ อย่างน้อยก็เห็นความก้าวหน้าอะไรมานิดนึง ได้สิทธิ์รอไปเรียนก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

ผ่านไปสองอาทิตย์ฉันก็ได้จดหมายเรียกให้ไปคุยรายละเอียดเรื่องเรืยนในอาทิตย์หน้า..แถมบอกวิธีนั่งรถเมล์ให้อีกด้วย..ท่าทางจะอยากให้เริ่มต้นทำอะไรเอง..แต่ช้าก่อน ป้าขอใช้บริการสามีดีกว่า..เพราะวันนั้นสามีเลิกงานเร็วพอดี..บ่ายว่างไปเป็นเพื่อนป้าแล้วกันนะจ๊ะ..สามี

ตอนไปถึงมีหลายคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ราวๆสิบกว่าคน ส่วนมากเป็นหญิงอาหรับสังเกตได้จากผ้าคลุมผม เจ้าหน้าที่มี 2 คน ที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์ไปทีละคนไล่ตามโต๊ะรูปตัว U  จนพักใหญ่ก็มาถึงคิวของฉัน เจ้าหน้าที่ขอดูจดหมายเรียกตัวแล้วเขียนชื่อ-สกุลของฉันลงไปในแบบฟอร๋มอีกใบในมือของเธอ แล้วยื่นมาให้ฉันเซนต์ชื่อต่อ เธอส่งข้อสอบมาให้สองแผ่น มีรูปภาพสิ่งของให้เติมคำลงในช่องว่าง ส่วนอึกใบให้เลือกประโยคที่ถูกต้องตรงกับภาพที่ให้มา..สำหรับฉันที่ผ่านการเรียนและฝึกด้วยตัวเองมาแล้ว มันไม่ยากเท่าไร..แต่อีกหลายคนในห้องนั่น อย่าว่าแต่ทำเลยเขียนไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เชื่อมั้ยว่าพูดกันคล่องมาก

เจ้าหน้าบอกให้หยุดทำข้อสอบแล้วชี้แจ้งรายละเอียดของคอร์สเรียน ที่นี่จะเปิดสอนทั้งหมด 240 ชั่วโมง เมื่อครบแล้วจะต้องมีการสอบเพื่อให้ได้ใบประกาศระดับ DILF ซึ่งเป็นระดับพื้นฐานถือว่าง่ายที่สุด ถัดไปจะเป็น DELF A1 , A2  เจ้าหน้าที่บอกว่าหากการทดสอบวันนี้ คนไหนพอมีพื้นฐานก็จะลดเหลือ 180 ชั่วโมง   ซึ่งคนที่มาที่นี่แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ พวกที่โอฟี่ส่งมาให้เรียนโดยตรงนับแต่วันที่ไปรายงานตัวขอสติกเกอร์มหัศจรรย์  พวกที่สองคือ pôle emploi หรือกรมหางานส่งให้มาเรียน  แต่ฉันเองไม่เข้าข่ายอะไรเลย คือ ดื้อขอมาเรียน  ดังนั้นการทดสอบจะไม่ส่งผลอะไรกับฉันทั้งสิ้นเพราะว่าเขาจะให้เรียนเต็มอัตราตามที่ฉันร้อนรนอยากเรียนมานาน การทดสอบของฉันเพียงเพื่อให้ครูรู้ว่าฉันมีทักษะแค่ไหนเท่านั้นเอง..จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ไล่สัมภาษณ์พร้อมบอกชั่วโมงเรียนของแต่ละคน..

การเรียนจะเรียนทุกวันยกเว้นวันพุธ และเสาร์-อาทิตย์ วันละ 4 ชั่วโมง ห้ามมาสายหรือขาดเกิน 3 ครั้ง  หากไม่สบายก็ต้องมีใบรับรองแพทย์มาส่งด้วย..ฉันได้รับมา 240 ชั่วโมง เมื่อเจ้าหน้าที่ถามว่าฉันสามารถมาเรียนได้ตลอดเวลาเลยมั้ย ติดภาระอะไรหรือเปล่า  ประเภทเลี้ยงลูก หรือติดงาน..คำตอบคือ ว่างตลอดค่ะ..จากนั้นก็ให้กรอกประวัติส่วนตัว เมื่อเสร็จแล้วเธอบอกให้กลับไปได้ รอการติดต่อกลับอีกครั้งสำหรับคอร์สเรียนว่าจะเริ่มเมื่อไร ซึ่งเธอไม่สามารถบอกได้ในตอนนี้

เพื่อนที่เรียนด้วยกันที่ Maison de quartier ถามฉันถึงเรื่องเรียนกับโอฟี่ เพราะเราเจอกันเมื่อวันที่ไปรายงานตัวเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้คุยกัน..คาเมล่าบอกว่า เธอก็ได้คอร๋สเรียนเหมือนกัน เพียงแต่ว่าได้แค่ 180 ชั่วโมงเพราะว่า คราวนี้เป็นการเรียนครั้งที่สองของเธอ..ครั้งแรกที่เรียนคือเมื่อสองปีก่อนตอนมาอยู่ใหม่ๆ ตอนนั้นได้ 300 ชั่วโมง มาถึงตอนนี้ เธอหย่าขาดกับสามีจึงต้องหางานทำ เลยถูกส่งมาเรียนก่อน..ฉันและคาเมล่าเฝ้ารอโทรศัพท์และอีเมล์เรียกตัวไปเรียน  จนในวันหนึ่งหลังจากผ่านไปเกือบอาทิตย์  สามีเดินถือจดหมายมาบอกว่า วันจันทร์ที่จะถึงนี้เริ่มไปเรียนได้แล้วนะ..ฉันอึ้งไปไม่รู้จะบอกว่าดีใจมั้ย มันเหมือนก็สมหวังแต่ก็มีความกังวลอยู่เล็กๆว่าจะไปเรียนยังไง..คราวนี้ต้องนั่งรถเมล์ไปเองจริงๆแล้ว..ก่อนสามีออกไปทำงานฉันรีบอ้อนว่า พรุ่งนี้วันเสาร์พาไปซื้อตั๋วเดือนไว้ขึ้นรถเมล์ด้วยนะ..

ฉันเริ่มดีใจที่จะมีกิจกรรมอะไรให้ทำนอกเหนือจากไปเรียนเพียง 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์แล้วกลับมานั่งจ๋อยอยู่คนเดียวรอสามีกลับบ้่านจดมืดค่ำ..ออกไปพบปะผู้คนอาจทำให้อาการฟุ้งซ่าน จิตตกหายไป..ฉันอาจจะมีเพื่อนใหม่ๆ ไม่ต้องมานั่งจดจ่ออยู่กับสามีเพียงคนเดียว  จนอาจจะรู้เมื่อสายว่าความรัก ความห่วงใยของฉันที่มุ่งไปที่เขาคนเดียวมันกลายเป็นความอีดอัดสำหรับเขาโดยไม่รู้ตัว

Thursday, February 24, 2011

ถึงคราวเสียเลือด

ฉันมีอาการไข้ตอนเย็นๆ ปวดหัว เจ็บคอ ลามปามถึงมีอาการคลื่นไส้มาหลายวัน..สันนิษฐานแรกคือ  จากการที่แอบซดเก็กฮวยเย็นเจี๊ยบแต่ดันใส่น้ำแข็งลงไปอีก..โรคจิตนิดหน่อย ติดน้ำแข็งมาก ได้กินเมื่อไร ชื่นใจเมื่อนั้น..ทุกครั้งทีมีอาการแบบนี้ ฉันหาทางทุเลาอาการตัวเองด้วย paracetamol และIbuprofen ตามที่หาได้ เพราะทั้งสองตัวมีฤทธิ์ลดไข้ทั้งคู่  ส่วนตัวหลังดีกว่าหน่อยที่ลดอาการอักเสบได้ด้วย...เป็นๆ หายๆ อยู่หลายวัน จนบอกตัวเองให้เลิกกินน้ำแข็ง..แต่คราวนี้อาการก็ไม่ได้ดีขึ้น เริ่มเจ็บคอและปวดหัวตลอดเวลา และมีไข้ตามมาในที่สุด บวกกับอากาศหนาวๆ ตอนเดินออกไปเรียน ทำให้ร่างกายฉันล้าอยู่เงียบ แต่แปลกว่าถึงเวลานอนจะนอนไม่หลับ  ตื่นมาดูนาฬิกาทุกชั่วโมง..

สองวันต่อมาระหว่างที่เรียนภาษาผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์  เมื่อยคอมากเลยจัดการนวดเส้นแก้เครียดไปพลางๆ ..แต่เอ๊ะ ลำคออวบของฉัน..ไหง มันมีก้อนนูนๆ ใต้กกหูทั้งสองข้างเลยอ่ะ โตประมาณลำไยกะโหลกเชียงใหม่เลยทีเดียว...เจ็บคอมากขึ้น ไข้เริ่มสูงจนขอบตาร้อน..ยาแก้ไข้ไม่ช่วยอะไรแล้ว ได้แต่นอนรอออเซาะพ่อตัวดีอย่างเดียว..จนสามทุ่มสามีเดินเข้ามาในบ้านเห็นเมียแก่นอนเป็นศพอยู่..เลยเดินมาดูอาการ แรกๆก็ดูเฉยๆ เพราะว่าฉันเป็นไข้มันเกือบทุกเย็น จนเขาเริ่มชิน แต่พอเห็นลำไยกะโหลกที่คอเท่านั้นแหละ..ตาทีโตมากอยู่แล้วเบิกโพล่งเป็นไข่ห่าน..ลนลานไปคว้าโทรศัพท์ไปหาหมอทันใด..เนื่องจากดึกแล้ว เลยได้แต่ซักถามอาการ..ระหว่างนั้นฉันเองที่เคยมีประสบการณ์เป็นแบบนี้มาตั้งแต่อยู่เมืองไทย คิดว่าตัวเองน่าจะต่อมน้ำเหลืองอักเสบ..เลยพยายามบอกสามี แต่ดูเหมือนเขายังไม่คลายใจ..แพทย์ปลายสายบอกว่าให้หาพาราฯ กรอกปากเมียคุณไปก่อนนะครับ  รุ่งเช้่าก็ไปพบแพทย์นะครับ..รับรองได้ว่า คืนนี้ ยายแก่นั่นยังอยู่ดี ไม่ถึงตายแน่ๆ

แต่พาราฯหมดบ้านไปหลายวันก่อน ฉันเลยกินไอบูโพรเฟนไปพลางแล้วรีบเข้านอน..เหมือนเดิมคือ เพลียจริงแต่นอนหลับไม่สนิท..ข่มตาหลับมันไปจนเช้า..แล้วรีบสะกิดคุณฝรั่งให้โทรไปนัดหมอให้หน่อย..แต่ก่อนไม่อยากไปหาหมอเท่าไร ติดนิสัยจัดยาให้ตัวเอง แต่ตอนนี้อยากให้ลำไยสองก้อนนั่นฝ่อไปเร็วๆ เลยไม่งอแงที่จะไปพบหมอเหมือนเคย..พ่อตัวดีวางสายลงแล้วบอกว่า หมอให้ไปตอนสี่โมงครึ่งรอไหวมั้ย..ฉันพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบ..พ่อตัวดีบอกว่าเนื่องจากวันนี้ฉันไม่สบาย งั้นไม่ต้องเข้าครัว เราออกไปกินข้าวกลางวันข้างนอกแล้วกัน..ไปร้านอาหารจีนกัน ..ดีเหมือนกันไม่ต้องทำกับข้าว แต่คนที่ดูจะมีความสุขมากกว่าเหมือนจะเป็นสามีที่ยิ้มระรื่นออกนอกหน้า..แกเบื่อรสมือฉันก็บอกกันตรงๆ ก็ได้นะ..ชิ

ฉันสวาปามได้น้อยกว่าปกติมาก และเริ่มอาการแย่ลงตั้งแต่ออกจากร้านอาหาร หนาวแบบไม่มีเหตุผลทั้ฃที่วันนี้อากาศดี แดดจ้าฟ้าใส แต่นังนี่หนาว..พร้อมมีอาการคลื่นไส้ พะอืดพะอมแบบบอกใครไม่ได้..ฉันได้แต่นอนรอเวลาพาร่างไปหาหมอแต่ไม่ยอมกินยา เพราะว่าอยากให้หมอเห็นอาการทั้งหมด..จนถึงเวลาไปหาหมอ..สามีไม่รู้กาละเทศะให้ฉันหัดบอกอาการตัวเอง เหอะ..ประมาทเมียอีกแล้วนะคะ..ฉันเตรียมมาหมด..J'ai mal a la tête et groche aussi. J'ai une grippe. ฉันปวดหัวเจ็บคอและมีไข้ค่ะ..หมอคนสวยแอบชมว่าพูดเก่งขึ้นเยอะ..นังตัวดีรีบแทรกเลยว่า เริ่มไปเรียนแล้วครับเลยพูดได้เยอะขึ้น..นังนี่  ที่อย่างนี้รีบแทรกมาเชียวนะ..คุณหมอเชิญให้เข่้าไปด้านในที่เตียงคนไข้ แล้วบอกให้แก้ผ้า..งานนี้เลยใช้เวลานานหน่อย..เสื้อกันหนาว เสื้อสเวตเตอร์ เสื้อยืด ลองจอน ถอดออกหมด เหลือแต่บราตัวจิ๋วๆแต่เสริมฟองน้ำอย่างหนาปิดน้องแฝดของฉันไว้เท่านั้น...อายจัง

หมอให้นอนลงแล้วเอาเครื่องมืออะไรมาสแกนตามหน้าผาก ขมับ หู..อ๋อ เทอร์โมมิเตอร์แบบใหม่นี่เอง..วัดความดัน..ผลออกมาคือ ความดันสูง หมอแอบถามว่ามีน้องรึเปล่า..ฉันรีบบอกว่าไม่มีค่ะ..ทานยาคุมอยู่ หมอขอดูคอ..คอแดงได้ใจ หมอบอกแบบนั้น คราวนี้เลยเอาเครื่องฟัง..สเตรปโตรสโคปมาแปะๆฟังๆหมดเลย ไหปลาร้า ช่องท้อง หลัง ไต..แล้วหมอก็เรียกไปชั่งน้ำหนักแล้วบอกว่า เสร็จแล้วใส่เสื้อผ้าได้..ใช้เวลาอยู่นานในการประกอบร่าง ได้ยินเสียงหมอเจื้อยแจ้วกับพ่อตัวดีแต่ฟังไม่ค่อบถนัดนัก..ฉันตามออกมานั่งข้างๆสามี หน้าโต๊ะคุณหมอเหมือนเดิม..หมอบอกว่า ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ แต่ไข้สูงมาก 40 แน่ะ แถมความดันสูง เพราะฉะนั้นหมอจะให้ไปเจาะเลือด ตรวจฉี่ เพราะความดันสูงมากจนน่ากลัว..แต่ฉันก็บอกไปอีกว่า ตอนอยู่เมืองไทยก็สูงเพราะว่าเลือดจางและช่วงนี้นอนไม่หลับ ตื่นทุกชั่วโมงเลย..แต่หมอไม่ใจอ่อน บอกให้ไปตรวจมาจะได้แน่ใจ อวบๆ ปลิ้นๆแบบนี้คลอเลสเตอรอลน่าจะสูง..วันนี้ให้แค่ยาลดไข้ แก้ไอแล้วก็สเปรย์พ่นจมูก ส่วนยาฆ่าเชื้อไม่ให้..ปล่อยให้ภูมิร่างกายรักษาตัวเอง..มีงี้ด้วย ไม่นะ..เขาจะเอายาฆ่าเชื้ออ่ะ..หมอส่งใบให้ไปตรวจเลือด ตรวจฉี่ แล้วบอกว่า หัดออกกำลังกายบ้างอะไรบ้างนะ..จะอืดไปวันๆแบบนี้ไม่ดีนะคะ.ฮือๆๆ หมอใจร้าย

ออกจากคลีนิกหมอก็ไปร้านขายยาเพื่อเอายาตามใบสั่งของหมอ..ฉันแอบถามพ่อตัวดีว่าแล้วจะไปตรวจเลือดที่ไหน..พ่อตัวดีเลยบอกว่าเดี๋ยวพาไป เพราะพรุ่งนี้ฉันต้องมาเองคนเดียว..เขามาด้วยไม่ได้แล้ว ต้องทำงาน...อ้าวเฮ้ย..ให้มาเองจริงๆเหรอ..นังใจร้าย..ฉันถูกลากให้เข้ามาในแลปตรงข้ามซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ฉันมาเป็นประจำ แต่สายตาหาได้ชำเลืองมองแลปแห่งนี้ไม่..ก็ไม่น่าสนใจนี่..ซุปเปอร์มีอะไรดึงดูดกิเลสมากกว่าอ่ะ..พ่อตัวดีไปติดต่อที่ประชาสัมพันธ์บอกว่า หมอสั่งให้ฉันมาตรวจเลือดแต่ฉันพูดฝรั่งเศสไม่ได้ พอจะมีใครพูดอังกฤษได้บ้างมั้ย..สรุปว่าไม่มี..ฉันได้กระบอกเก็บตัวอย่างปัสสาวะมาอันหนึ่ง ใบสั่งตรวจเลือดและปัสสาวะจากหมอถูกยื่นกลับมาให้พร้อมกัน แต่มี post-it สีแสบตาเขียนข้อความอะไรบ้างอย่าง
..แอบถามสามี..ฝรั่งตอบว่า อ๋อ เขาเขียนไว้ว่าเนื่องจาก vital card ของฉันยังอยู่ระหว่างดำเนินการ..อีกนัยหนึ่งก็คือ เคสของฉันต้องจ่ายเงินสดเท่านั้น..เหอะ นึกว่าจะเขียนอะไรพิเศษแบบว่าช่วยเหลือเคสของฉันเป็นพิเศษ ดันเขียนเตือนกันเองว่า อย่าลืมเก็บเงินนังกะเหรียงนี่ซะงั้น

เจ้าหน้าที่สาวสวยบอกให้ฉันมาเจาะเลือดพรุ่งนี้ 08.35 น.  พร้อมเอาตัวอย่างปัสสาวะมาส่งด้วย..หลังเที่ยงคืนห้ามทานอะไรอีก..แม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไม่ได้...ฉันไม่ค่อยกลัวการมาเจาะเลือดที่นี่เพียงคนเดียวในวันพรุ่งนี้นัก เพราะว่าทำเรื่องไว้แล้ว แค่ยื่นเอกสารคงเข้าใจกันได้ไม่ยาก ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ..

เช้าวันต่อมา หลังจากจัดการเก็บฉี่เรียบร้อย ฉันก็ไปที่แลปไปเจาะเลือด..ไปติดต่อเคาน์เตอร์ สาวน้อยคนสวยก็รับกระบอกเก็บปัสสาวะของฉันไปแล้วบอกว่า เรียบร้อยแล้ว มารับผลได้ตอนเย็น ฉันถามออกไปว่ากี่โมง..เธอเลยบอกมาว่า หกโมงเย็น..ฉันหงึกๆ หงักๆ พยักหน้ารับคำ แล้วเตรียมเดินออกมา..แม่สาวสวยตะโกนเรียกต่อว่า..ฉันต้องเจาะเลือดด้วยนี่..งั้นนั่งรอก่อน..รอ รอ รอ พักเดียวได้ยินเสียงเรียกชื่อ มาดาม..มีรีเย่ร์..เกือบจะลุกแต่ว่าไม่ใช่นามสกุลพ่อตัวดีนี่ เลยทำหน้ามึนนั่งรอต่อไป..ระหว่างนั้นมีคุณลุงคนหนึ่งมารอเจาะเลือดเหมือนกัน..ก้นที่ยังไม่ทันหย่อนลงนั่งของคุณลุงก็หมดโอกาสนั่งรอ เพราะว่ามีเสียงเรียกให้ไปเจาะเลือดได้เลย..อ้าว..งั้น อีมาดาม มิริเย่ร์เมื่อกี้ ก็เรียกอิชั้นนะสิ ..

มาดาม...เอาละ คราวนี้ชื่อจริงเสียงจริง ฉันรีบเดินตามไปหาต้นเสียงที่เป็นหญิงสูงวัยร่างท้วมๆ สวมแว่นใส่เสื้อกรานด์สีขาว..ที่สำคัญหน้าหงิกมาก..เธอบอกให้ฉันเดินตามมาในห้อง  กำลังจะหย่อนสะโพกทอร์นาโดลงนั่งบนเก้าอี้นวมสีแดงข้างโต๊ะทำงานของเธอ..ป้าหน้าหงิก ก็บอกให้ฉันไปปิดประตู และถอดเสื้อกันหนาวออกแขวนไว้ที่ตะขอข้างกำแพงก่อน..ค่อยมานั่ง..จ๊ะ ป้า กลัวแล้วจ๊ะ..ฉันถลกแขนเสื้อข้างขวาขึ้นแล้วนั่งลง  แขนขวาพาดตรงเบาะรองแขนพอดี..ป้าไม่ทักทายอะไรทั้งสิ้น  จัดการเอาสายยางมารัดแถวต้นแขน..แล้วจ้องจะจิ้มอย่างเดียว..ความที่เป็นคนกลัวเข็ม ฉันรีบหันหน้าออกไปอีกทาง ไม่กล้าดู เจ็บจื็ดเลย ตอนป้ากดปลายเข็มลงที่เนื้ออ่อนๆของฉัน...ป้าส่งเสียงอะไรมาไม่รู้บอกเกี๋ยวกับมือ ฉันเลยยิ่งกำมือแน่นขึ้น เลือดจะได้สูบฉีดดี ป้าจะได้ทำเสร็จเร็วๆ

ที่ไหนได้ ป้าเอาปากกามาเขี่ยๆที่มือ บอกว่าไม่ต้องกำมือ..อ้าวเหรอ..ได้ยินแต่กำมือ กำมือ..เสียเลือดให้ป้าไป 3 หลอด ..ป้าถึงพอใจดึงเข็มออกแล้วเอาสำลีมาวางปากแผลให้ แล้วสั่งให้ฉันกดไว้..อารามกลัวอีป้า..ฉันรีบกดแล้วรีบลุกขึ้นยืนทันทีที่เสียงป้าดังมาว่า เสร็จแล้ว..คราวนี้อีป้าเลยส่งเสียงรัวเร็วมาอีกว่า...อย่าเพิ่งไปมาติดเทปที่สำลีก่อนจะได้ไม่ต้องคอยกดไว้เอง..ฉันเอ่ยของคุณอีป้าไปอย่างโล่งใจว่าหมดเรื่องแล้ว..หยิบเสื้อกันหนาวมาใส่ อีป้าก็เดินไปเปิดประตูห้องแล้วเดินจากไปพร้อมเสียง au revoir โอวัวร์ลอยตามมา...เอ่อ ป้ารีบไปไหนเหรอค่ะ หนูจะพยายามไม่มารบกวนป้าอีกนะคะ

กลับมาสวาปามอาหารเช้าแล้วเอ้อระเหยอยู่กับบ้านอย่างสบายใจ..รอจนเย็นฟ้ามืด เดินไปเอาผลตรวจที่แลป..นึกว่าจะเจอเจ้าหน้าที่คนเดิม..อ้าว พี่คนนี้จะเข้าใจที่ตรูพูดมั้ยเนี่ย..เอาหว่ะกัดฟันพูดออกไป Bonsoir Madame. Je voudrais prendre  mon sang et urine examine. บงซัวร์ มาดาม. เฺฌอ วูเดร์ พร้องด์ มง แซง เอ อูรีน เอกซามัง..สวัสดีค่ะ คุณพี่  หนูมารับผลตรวจเลือดกับปัสสาวะของหนูค่ะ..พ่นออกไปตามไวยากรณ์นรกแตกของฉัน..คุณพี่คนสวยถามว่ามีเอกสารจากมาหมอมาด้วยมั้ย..ฉันบอกว่าไม่มี..ตอนเช้าให้ไว้กับที่นี่ไปแล้ว..เธอคงฟังฉันเข้าใจแค่ครึ่งเดียว เพราะเธอตอบมาแต่ว่า ทีหลังต้องเอาเอกสารมานะ แล้วถามว่าวันจันทร์จะมาตอนเช้ากี่โมงดี..ฉันเริ่มเห็นท่าไม่ดี พยายามบอกเธอว่า ฉันมาแล้วตอนเช้า à matin เธอก็บอกว่า ก็ใช่ไงมาวันจันทร์ตอนเช้าไง..ท่าจะคุยกันเมื่อยมืออีกแล้ว

นง นง.แฌ เดจา เฟ non non..J'ai déja fait ไม่จ๊ะ หนูทำไปแล้ว.. เตรียมจะถลกแขนให้เธอดู..สวรรค์โปรดเธอเข้าใจแล้ว..ถามชื่อฉันแล้วหันไปค้นผลเลือดมาให้ฉัน พร้อมแจ้งยอดเงินที่ต้องจ่าย..สี่สิบนยูโรหลุดลอยไป เดินเอาผลเลือดกลับไปเปิดอ่านที่บ้าน..ทุกอย่างปกติ ไขมันไม่สูง HDLเกินเกณฑ์  LDL ต่ำกว่า Triglyceride พอดีๆ..สงสัยไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย น้องคนนี้เลยมีน้อยไปหน่อย  เม็ดเลือดแดงขนาดเล็กไปหน่อย นี่แหละสาเหตุที่ฉันมีภาวะเลือดจาง..ความดันมันเลยสูง..ส่วนน้องไตยังทำงานปกติ..เฮ้อ โล่งอก..จนสามีกลับมาบ้านถามว่าไปตรวจเลือดมาเป็นไงบ้าง..ฉันบอกว่า ปกติดี แค่เลือดจางเฉยๆ..ฉันแอบวางใจ แต่ไหงนังคนข้างๆ เห็นเป็นเรื่องราวใหญ่โต..จะลากฉันไปหาหมออีกจะได้เอายามากินบำรุงเลือด..โอ๊ยยย ไม่แล้วค่ะ..แข็งแรง สมบูรณ์ มิเป็นโรคแล้วค่ะ สามี..หายแล้ว..เดี๊ยนเบื่อหมอแล้วค้าาา

Wednesday, February 23, 2011

วัลลี..ส่งเงินกลับบ้าน

ฉันเพิ่งวางโทรศัพท์ที่คุยกับแม่อยู่นานร่วมสองชั่วโมง นอกจากสารทุกข์สุขดิบที่ไถ่ถามกันตามปกติ ก็มีเรื่องหนักอึ้งให้เครียดตามมา..แม่ถามว่าพอจะมีเงินเก็บสักก้อนให้แม่มั้ย..แม่จำเป็นต้องใช้เงินภายในอีกอาทิตย์ข้างหน้า..วินาทีที่แม่ถามฉันสัมผัสได้ว่า แม่คาดหวังไว้แล้วว่าฉันน่าจะช่วยเหลือแม่ได้เหมือนเคย..หากเป็นตอนที่ฉันยังมีงานทำ มีเงินเดือนผ่านเข้าบัญชี..ฉันคงไม่รีรอที่จะช่วยแม่อย่างแน่นอน..

แต่ ณ เวลานี้ ฉันแปรสภาพมาเป็นแม่บ้านไร้เงินเดือนมาหลายเดือนแล้ว..นั่งรวบรวมยอดเงินจากบัญชีต่างๆ นานา ก็ยังไม่พอกับจำนวนเงินที่แม่จำเป็นต้องใช้  ด้วยความที่ฉันเคยให้เงินแม่ทุกเดือนตั้งแต่เงินเดือนก้อนแรกจนมาถึงเงินเดือนก้อนสุดท้ายก่อนที่จะลาออกเพื่อย้ายถิ่นฐานมาที่เมืองน้ำหอม ร่วมสิบปีที่ให้แม่มิได้ขาดจนเป็นนิสัย..  เมื่อถึงเวลานี้การปฏิเสธที่จะไม่ให้เงินแม่จึงเป็นเรื่องลำบากใจมากที่จะทำแม้ว่าเงินตัวเองก็มีไม่พอ..ฉันไม่อยากให้แม่รู้สึกว่าชีวิตฉันล้มเหลวหรือตกต่ำเหมือนกับโยนอนาคตดีๆทิ้งไว้ที่ไทย แล้วมาตกอับไกลถึงต่างแดน..

ตลอดสายจนถึงมืดระหว่างที่รอพ่อตัวดีกลับมาบ้าน  ฉันครุ่นคิดว่าจะไปหาเงินที่ไหนมาเพิ่มให้ครบตามจำนวนที่แม่ขอมา..จนสามีมาถึงบ้านฉันก็ยังไม่กล้าบอกเขาเรื่องนี้..ดูจากสีหน้าท่าทางที่เหนื่อยอ่อน มันไม่ใช่เวลาที่ดีนักที่จะเอาปัญหาไปโยนใส่..บ้านควรจะอบอุ่นและผ่อนคลาย..แบบสบายๆ..ฉันพยายามเก็บอาการแต่หารู้ไม่ว่า แอบเหม่อจนคุณฝรั่งสงสัยและถามออกมาเองในที่สุด..

ฉันตัดสินใจบอกไปหลังจากที่พ่อตัวดีตื้อถามอยู่นาน..เขาบอกว่า แววตาฉันมันดูออกว่ามีอะไรแน่ๆ  เรื่องจากทางบ้าน..ชัวร์..นึกว่ามีแฟนเป็นอับดุล ถามได้ตอบได้มีอะไรรู้หมด...หลังจากเล่าให้ฟังสามีดึงฉันได้กอด..แถมมีเขกหัวเน้นๆมาสองทีว่า..มีอะไรก็ให้บอก อย่าเก็บไว้คิดเอง เออเอง เครียดเองคนเดียว..ฉันบอกว่าพ่อตัวดีไปว่า ฉันมีเงินไม่พอให้แม่แต่เป็นตายร้ายดี ฉันก็ต้องช่วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหาเงินที่ไหนมาเพิ่ม ฉันรู้ว่าพ่อตัวดีก็มีไม่พอหรอก ลำพังค่าใช้จ่ายจากงานแต่ง เอกสาร ตั๋วเครื่องบิน ต่างๆนานา ที่จ่ายไปเพื่อให้เราสองคนเริ่มชีวิตคู่..มาถึงตอนนี้แค่ไม่ติดลบก็เก่งมากแล้ว..ฉันจึงไม่อยากบอกให้สามีมาเครียดกับฉันไปใหญ่..

พ่อตัวดีเปิดบัญชีตัวเองดูแล้ว ก็เหมือนอย่างที่ฉันรู้ว่า เขาเองก็มีไม่พอ..มันเหมือนตอกย้ำให้ยิ่งเศร้าไหนจะหาทางช่วยแม่ยังไม่ได้  ไหนจะมาทำให้สามีหน้าเหี่ยวตามไปอีก..เราพากันมุดหัวเข้านอนเพราะไม่อยากทนเห็นหน้าเครียดๆของอีกฝ่าย..นอนไม่หลับจนเกือบสว่าง..แอบหลับไปก่อนสามีออกไปทำงานไม่นาน..จนตื่นมาช่วงสายๆ ทำภารกิจแม่บ้านเหมือนเดิม..จะเอ่ยปากหยิบยืมเพื่อนฝูงก็เกรงใจ  เรามันอยู่ไกล ใครที่ไหนเขาจะเชื่อใจให้ยืม..คิดวนไปมาเหมือนน้ำวนอยู่ในอ่าง..ไม่มีทางระบายออก รอวันเน่าอย่างเดียว..จนพ่อตัวดีกลับมาจากที่ทำงาน เห็นอาการเมียไม่ดีขึ้น..เลยลากให้เดินตามมาในห้องนอน..คนไม่มีกะจิตกะใจจะทำการบ้านหรอกนะ..กลุ้ม เครียดอยู่..

ดิ้นๆ ขัดขืน บ่นกระปอดกระแปดจนสามีแทนทนสะกดอารมณ์ไม่ไหว แทบจะยันติดกำแพง..(อุตส่าห์นึกว่าจะมีแบบตบจูบ ตบจูบ...อารมณ์ยังค้างจากคราวก่อน) หลังจากที่สามีต้องฟังเมียบ่นพรำเรื่องเดิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่พักใหญ่..นายตัวดีก็เดินไปหยิบซองจดหมายที่อยู่ตู้เสื้อผ้ามายื่นให้ตรงหน้า  ฉันเอื้อมมือไปรับมาแบบงงๆ เปิดออกดูข้างในมีเงินสดและเช็คเงินสดอีกหลายใบ..ฉันหันไปถามพ่อตัวดีแบบงงๆ ว่า นี่เงินอะไร..เขาตอบกลับมาว่า เป็นเงินที่ได้เป็นของขวัญแต่งงาน..เขาไม่ได้บอกฉันเรื่องนี้เพราะคิดไว้ว่าจะเก็บเงินนี้ไว้ใช้ยามจำเป็น..ซึ่งตอนนี้เขาก็คิดแล้วว่ามันน่าจะถึงคราวจำเป็นแล้ว..เพราะทนดูสภาพเมียจิตตกแบบนี้ไม่ไหว ครั้นจะห้ามไม่ให้ฉันทำอะไรเกินตัว ตัดใจบอกแม่ไปว่าไม่มีเงิน  พ่อตัวดีก็รู้ดีอยู่แล้วว่า คนแบบฉันทำไม่ได้แน่นอน  เพราะฉะนั้นเอาเงินนี้ไปให้แม่ก่อน..เราสองคนยังหนุ่มยังสาว เรี่ยวแรงกับสองมือยังมี หาเอาใหม่ได้

วินาทีที่ฉันนั่งฟังสามีพูด  มันมีหลายความรู้สึกในใจ..ดีใจที่มีทางออกให้แม่ เกรงใจสามีที่เหมือนเราเอาแต่ปัญหามาให้ ปลื้มใจที่อย่่างน้อยพ่อตัวดีเข้าใจในทุกอย่างที่ฉันเป็น  ..ฉันกอดสามีร้องไห้ออกมาแบบไม่อาย ที่แก่แล้วแต่ทำตัวลืมอายุ  มันเหมือนปัญหาที่ฉันคิดวนๆ อยู่คนเดียว มีเขานี่แหละที่หาทางออกให้ แถมให้กำลังใจเสริมมาอีกต่างหาก..ขอบคุณจริงๆนะที่เข้าใจกัน

รุ่งขึ้นฉันรีบโทรไปบอกแม่ว่ารอก่อนตอนนี้กำลังรวบรวมเงินส่วนที่ยังขาดอยู่จะส่งให้อีกทั้งหมดตามที่แม่ขอภายในพรุ่งนี้เพราะว่า ต้องไปที่ตัวแทนทีรับโอนเงิน.. ระหว่างนั้นฉันหาช่องทางเรื่องการส่งเงินกลับไทยว่า ช่องทางไหน เร็ว และเสียค่าธรรมเนียมน้อยที่สุด..
โอนผ่านธนาคารและไปรษณีย์นั้นตัดออกเป็นอันดับแรก เพราะว่าใช้เวลาอย่างน้อย 3-5 วัน และค่าธรรมเนียมแพง เพราะเสียค่าธรรมเนียมทั้งธนาคารที่นี่ ธนาคารกลางและธนาคารที่ไทย  อีกสองทางเลือกคือ western union และ  moneygram  เป็นตัวแทนให้บริการโอนเงินทันใจทั้งคู่..แต่เท่าที่เปรียบเทียบดู
western union สามารถทำรายการในอินเตอร์เนทได้เลย ใช้บัตรเครดิตจ่ายได้ แต่ค่าธรรมเนียมแพง และโอนได้ครั้งละไม่เกิน 999.99 ยูโร ถ้ามากกว่านั้นต้องไปทำการโอนที่สำนักงานของตัวแทน  ลองเทียบค่าธรรมเนียมระหว่าง 2 ที่  ฉันตัดสินใจเลือก moneygram เพราะค่าธรรมเนียมถูกกว่าครึ่ง..เช่น โอนเท่ากัน 500 ยูโร western union คิดค่าธรรมเนียม 30 ยูโร ส่วน  moneygram 12 ยูโรเท่านั้น..ฉันหาที่่อยู่ของ moneygram สาขาที่อยู่ใกล้บ้านมากที่สุด..จดแล้วรีบยื่นส่งให้สามีดู พยายามออดอ้อนด้วยสีหน้าที่คิดว่าน่ารักที่สุด..เพราะแอบเกรงใจว่าอะไรๆ ก็ต้องพึ่งพาเขาตลอด

เราพากันมาถึงสาขาที่ใกล้บ้านที่สุด..แต่สภาพที่เห็นมันคือร้านขายบุหรี่ร้านหนึ่งที่รับเป็นตัวแทนของ moneygram ด้วยนั่นเอง..พ่อตัวดีบอกสาวน้อยเจ้าของร้านว่าจะโอนเงิน..เธอขอเอกสาร ฉันยื่นพาสปอร์ตส่งให้ พร้อมเขียนชื่อผู้รับเงินปลายทางส่งให้เธอไป..ฉันถามว่าถ้าส่งเงินที่นี่จ่ายด้วยบัตรเครดิตได้มั้ย..สามีเป็นล่ามแปลให้แล้ว บอกต่อมาอีกทีว่าได้..แต่คราวนี้เงินสดมีในมือแล้วจ่ายเลยดีกว่า..ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เรียนร้อย..เธอบอกว่าอีกสิบนาทีแจ้งรหัสรับเงินให้ผู้รับก็สามารถไปขึ้นเงินได้เลย..ฉันรีบโทรไปบอกเพื่อนรุ่นพี่ที่ฉันวานให้เป็นผู้รับเงินปลายทางที่เมืองไทย ให้ไปขึ้นเงินได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขา..ดีว่าตึกที่ออฟฟิตของรุ่นพี่มีไทยพาณิชย์อยู่พอดี เลยไม่เป็นปัญหา..ฉันวานให้เธอเอาเงินทีได้เข้าบัญชีของฉัน เพื่อที่ว่าฉันจะได้โอนให้แม่ในวันนี้เลย

ไม่นานนักฉันก็ได้รับ sms จากรุ่นพี่คนเดิมว่า ภารกิจเสร็จสิ้นทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว..ฉันรีบโอนเงินต่อไปให้แม่ทางอินเตอร์เนท..แล้วโทรไปบอกแม่อีกครั้ง..แม่ดูจะดีใจที่ได้ตามที่หวังไว้..ฉันไม่ได้บอกที่มาของเงินว่าหามาจากไหน ด้วยไม่อยากให้แม่รู้สึกว่าลูกสาวตกอับ หรือคิดผิดที่มาอยู่ต่างแดน..ยังไงฉันก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อแม่อยู่แล้ว..เพราะฉะนั้นให้แม่ดีใจ โล่งใจเรื่องเงินก็พอแล้วสำหรับวัลลีต่างแดนแบบฉัน..

Monday, February 14, 2011

ผจญภัยใกล้ๆบ้าน

หลังจากสามีตัดใจที่จะปล่อยให้ฉันเรียนรู้การใช้ชีวิตที่นี่ด้วยตัวเอง..จากที่เคยห่วงทุกฝึก้าว..มาถึงตอนนี้เหมือนรักหมดโปรโมชั่นยังไงไม่รู้..ฉันต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง..ครั้นป้าจะงัดมุกงอนมาใช้ ข้อหาสามีไม่ไยดี..ก็จะเจอสวนมานิ่มๆ ว่า..เพื่อตัวฉันเอง ลำบากวันนี้ต่อไปจะได้เก่งๆ ดูแลตัวเองได้

ภารกิจวันนี้ที่ฉันต้องไปทำคือ ไปเอาบัตรเดบิตที่เปิดบัญชีไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนที่ธนาคาร หลังจากที่ได้รับจดหมายแจ้งรหัสบัตรมาเรียบร้อยแล้ว..พ่อตัวดีบอกว่าให้ฉันไปคนเดียว เพราะว่าอาทิตย์นี้เขาต้องทำงานทุกวันและจะไม่กลับมาทานข้าวกลางวันด้วยเหมือนเคยเพราะงานเยอะขึ้นและประหยัดน้ำมันที่ขยันขึ้นราคาไม่มีหยุด

ไหนๆ ก็ มาถึงขั้นนี้แล้วจะกลัวอะไรหนักหนา..อย่างน้อยถ้าพูดกะใครไม่รู้เรื่อง..น้องเอมิลีผู้ดูแลบัญชีของฉัน เธอต้องเข้าใจว่าฉันมาทำอะไร..

เดินฝ่าลมหนาวๆที่มีหิมะโปรยลงมาบางๆ ไปที่ธนาคารซึ่งมีคนไปรอใช้บริการหนาตากว่าปกติ..ฉันมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอยู่พักใหญ่ ...รอพ่อหนุ่มผมทองคนนี้ติดต่อที่เคาน์เตอร์เสร็จต่อไปก็ถึงคิวของฉันแล้ว...แต่เหมือนพระคุณเจ้ายังเมตตาฉันอยู่..เอมิลี่คนสวยที่วันนี้ไม่ได้มีเวรมานั่งเคาน์เตอร์  เดินมาออกหาเอกสารที่ตู้เอกสารใบใหญ่หลังเคาน์เตอร์พอดี..ฉันพยายามส่งยิ้มทักทาย..นางฟ้าคนงามหันมาเห็นพอดี..เราทักทายกันนิดเดียว..(นิดเดียวจริงๆ..คือ บงชู่ว์..นอกเหนือจากนี้ป้าพูดไม่ได้แล้ว)  เอมิลี่ก็ชิงถามฉั
นก่อนว่ามารับบัตรเดบิตเหรอ..ได้รับจดหมายแจ้งรหัสจากธนาคารแล้วใช่มั้ย..

ทักษะการฟังล้ำหน้าการพูดอยู่มาก  ฉันจีงทำได้แต่พยักหน้าตอบ หวี หวี ออกไปในทันที..เอมิลี่เชิญฉันเข้าไปในห้องทำงานของเธอ..เธอยื่นซองเอกสารที่จ่าหน้าเป็นชื่อชั้นมาตรงหน้า..แกะออกมาคือบัตรเดบิตของฉันเอง..ชื่อบนบัตรเป็น มาดาม..นามสกุลสามี ต่อด้วยนามสกุลของฉันแล้วตามด้วยชือของฉัน..แต่ด้วยความที่นามสกุลกินดิจิตไปซะเยอะ..ชื่อของฉันเลยโผล่มาได้แค่4 ตัวอักษร..ไม่คุ้นชื่อตัวเองจริงๆ..ฉันเซนต์ชื่อลงที่ด้านหลังบัตร..เอมิลี่ส่งซองหนังใส่บัตรมาให้ พร้อมบอกว่า ก่อนที่จะเอาบัตรไปใช้ต้องทำการactivated บัตรก่อน ตามคำแนะนำที่ให้มาในซองเอกสารนั่น..เอาละสิ..ทำไงดี เรื่องใหญ่ด้วยเกิดป้าทำอะไรไปเองจนต้องสูญเงินไปหมดคงไม่ดีแน่.. ฉันที่ยังไม่เข้าใจนักว่าจะทำการ activated บัตรยังไง เพราะว่าอยู่เมืองไทยบ้านเรา รับมาจากมือพนักงานธนาคารก็ใช้ได้เลย..ส่วนบัตรเครดิตก็โทรเข้าลูกค้าสัมพันธ์ ไม่ได้ยุ่งยากหรือซับซ้อนมากนัก..แต่ที่นี่ไม่เคย แถมดูท่าจะไม่เหมือนบ้านเราด้วย..ฉันบอกเอมิลี่ไปว่าถ้าฉันทำไม่ได้ หรือไม่เข้าใจ จะให้พ่อตัวดีโทรมาถามเอมิลี่อีกทีแล้วกัน..เอมิลี่ยิ้มรับอย่างเข้าใจ..ฝรั่งเศสแบบไทยแลนด์จ๋าของฉัน

ออกจากธนาคาร..ฉันเดินไปที่ไปรษณีย์เป็นภารกิจถัดไป..ฉันต้องไปส่งจดหมายลงทะเบียนไปให้ OFII เพื่อขอให้พิจารณาเรื่องคอร์สเรียนภาษาของฉันอีกครั้ง หลังจากที่ตัดสิทธิ์ไม่ให้คอร์สเรียนภาษาเพียงเพราะว่าฉันมีใบประกาศรับรองความรู้ทางภาษา(ใบสีฟ้า) ทีได้จากสถานฑูตในไทยตอนไปขอวีซ่าระยะยาว..จดหมายน้อยที่ถืออยูในมือได้รับการช่วยเหลือจากหลายคนมาก พ่อตัวดีเขียนให้ แต่แอบใส่กฎหมายว่าด้วนสิทธิ์การเรียนภาษาของชาวต่างด้าวตามที่เพื่อนที่เป็นตำรวจหาข้อมูลมาให้..และได้ที่ปรึกษาคนสำคัญ คือ คุณตาของพ่อตัวดีที่โทรปรึกษาเพื่อช่วยเรียบเรียงประโยคให้สละสลวยและเนื้อความไม่ดุดัน จนกลายเป็นข่มขู่โอฟี่ตามอารมณ์ของพ่อตัวดีจนเกินไป..ฉันรู้สึกว่าตัวเองสร้างปัญหาให้คนอื่นมาเยอะแล้ว..ตอนนี้อะไรทำได้ฉันต้องลองทำดูด้วยตนเอง

ฉันออกมาจากไปรษณีย์พร้อมสำเนาใบส่งหมายแบบลงทะเบียน..ยังนึกขำว่า คนแถวนี้คงเคยเห็นหน้าฉันมาบ้างแล้ว เลยพยายามที่จะช่วยเหลือฉันเต็มที่..พูดไม่ได้ ฉันก็อาศัยเขียนให้ดูจนเข้าใจกัน..เพราะว่าทำการบ้านก่อนออกมาจากบ้านแล้วว่า คำนี้พูดว่าอะไร จดใส่กระดาษมาอย่างดีเลย google tranduction ช่วยคุณได้..กลับมาถึงบ้านแบบภูมิใจตัวเองอยู่ลึกๆ ..ที่อย่างน้อยตอนนี้ก็สามารถขจัดความกลัวออกไปจากใจได้แล้ว..จนสามทุ่มสามีเดินทางกลับถึงบ้าน หลังจากจัดแจงอาหารวางบนโต๊ะเรียบร้อย..คุณเธอก็ถามทันทีว่าวันนี้ภารกิจสำเร็จมั้ย..ฉันยืดอกส่งบัตรเดบิตและใบลงทะเบียนให้ดูแทนคำตอบ..พ่อตัวดียิ้มแป้นที่เมียแก่ๆอย่างฉันไม่ได้แก่แล้วแก่เลยจนเกินเยียวยา..แต่พอฉันบอกเรื่อง activated บัตร..รอยยิ้มบานๆนั่นก็หุบฉับทันที..บอกว่าปกติ activated บัตร ก็คือไปทำรายการผ่านตู้เอทีเอ็มโดยใส่รหัสที่ได้มาแค่นั่นแหละ..งั้นพรุ่งนี้ไปทำมาเลยนะ..แล้วไปซื้อยาพาราเซตตามอลที่ร้านขายยามาให้ดูด้วย เพื่อยืนยันว่าฉันใช้บัตรเดบิตได้แล้วจริงๆ...หนอยแนะ..พอบอกไม่ให้ห่วงมาก..นี่หล่อนปล่อยเกาะฉันเลยเหรอไง..ชิชะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฝรั่งตาน้ำข้าวแบบหล่อน จะต้องตะลึงในความสามารถของป้าแก่ๆแบบฉัน..ประมาทฉันเกินไปแล้ว..ถ้าไม่เก่งจริง..ฉันคงไม่หลอกแกมาเป็นของฉันได้แบบทุกวันนี้หรอก..ป้าแอบยิ้มย่องอยู่เพียงลำพังแบบเข้าข้างตัวเองต่อไปเงียบๆ หึๆ

Thursday, February 3, 2011

มหัศจรรย์สัมพันธภาพบนอินเตอร์เนท

ฉันนั่งอ่านเรื่องราวของผู้คนหลากหลายผ่านตัวหนังสือในหน้าเวบไซต์ สื่ออินเตอร์เนทที่มีเครือข่ายครอบคลุมไปทั่ว..เชื่อมโยงให้คนทั่วโลกติดต่อกันได้  ร่วมทุกข์ ร่วมสุข มีการแสดงความคิดเห็น หรือแม้แต่สืบค้นหาหลักฐานความจริงมาตีแผ่ เปิดวิสัยทัศน์อีกด้านให้รับรู้โดยทั่วถึงกัน

เรื่องของรักออนไลน์หรือสายสัมพันธ์สาวไทยกับชายต่างชาติ ฉันไม่ขอพูดถึงเพราะว่า ฉันบอกไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องถูกหรือผิดหากจะจริงจังกับความสัมพันธ์แบบนี้ ..ไม่ได้สนับสนุนหรือคัดค้าน นานาจิตตัง..
ถามว่าจะไปเชื่อถืออะไรได้กับความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ไม่เคยได้เจอกัน อาศัยเพียงพูดคุยผ่านสื่ออิเลกทรอนิกส์ จะไปรักกันดูดดื่มถึงขั้นปลงใจใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์สามี-ภรรยาได้หรือ..ในมุมของฉัน ฉันคิดว่าหากซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองทุกครั้ง และเจอกับคนประเภทเดียวกันที่ไม่หลอกลวงต่อความรู้สึกตนเองเช่นกัน คนสองคนมาเจอกันในโลกอินเตอร์เนท ก็สามารถสานต่อจนเกิดความสัมพันธ์ในโลกแห่งความจริงได้เช่นกัน..แต่หากเริ่มต้นด้วยการเสกสรรปั้นแต่งคำพูดสวยหรูมาหลอกลวงตบตาคู่ต่อสู้ เราก็จะเจอคู่สนทนาไหลลื่นสมน้ำสมเนื้อเช่นกัน..วิจารณญาณเท่านั้นช่วยคุณได้

จากเดิมหากอยู่เมืองไทย นอกจากพ่อตัวดีแล้ว ฉันยังมีกองทัพกำลังใจอื่นๆอีกเพียบ พ่อแม่เอย พี่ๆเอย เพื่อนๆ ไม่ว่าจะสมัยมัธยมเปรี้ยวอมหวาน หรือเพื่อนๆที่ฝ่าฟันมรสุมเอฟมาด้วยกันสมัยมหาวิทยาลัย จนได้เพื่อนซี้ถูกใจในที่่ทำงาน..สารพัดเรื่องราวจะหยิบมาเล่าสู่กันฟัง..เพื่อผ่อนคลายความทุกข์ แชร์ความสุข หรือแม้แต่ระบายความโมโหกับสิ่งขัดใจที่เจอในแต่ละวัน..

เมื่อมาอยู่ไกลบ้าน แน่นอนว่า ตอนนี้ฉัมมีแค่สามีเป็นเพื่อนคู่คิดคนเดียวเท่านั้น..แม้ครอบครัวและบรรดาเพื่อนๆที่เมืองไทยยังคอยอ้าแขนรับฉันอยู่เสมอ แต่ในบางครั้งฉันเองก็มีปัญหาที่ไม่อยากให้เขาเหล่านั้นต้องมารับรู้..ฉันไม่อยากให้พวกเขาต้องมารับฟังปัญหาที่อาจจะดูงี่เง่าแต่ ณ เวลานั้นที่ฉันจิตตก มันคือปัญหาใหญ่ระดับประเทศ บางครั้งฉันเองยังต้องเลี่ยงที่จะไม่พูดเรืองบางเรื่องออกไป เพราะไม่อยากให้ที่บ้านเป็นห่วง..

จากเดิมที่หวังไว้มากว่าจะได้เรียนภาษาอย่างจริงจัง หลังจากไปรายงานตัวขึ้นทะเบียนขอบัตรพำนักแล้ว..เมื่อไม่ได้เป็นตามที่หวัง แน่ละฉันเกิดอาการจิตตก  เครียด  และไม่รู้จะไปพึ่งใครที่ไหน..ฉันย้อนมาพึ่งหน้าเวบไซด์ที่ฉันอาศัยหาข้อมูลเรื่องเอกสารวีซ่าอีกครั้ง..ฉันหวังว่าพี่ๆ เพื่อนๆ ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน อาจจะให้คำแนะนำฉันได้ ว่าเมื่อเจอระบบราชการเมืองน้ำหอมที่ไม่อาจจะหาหลักใดมากำหนดได้ว่า ควรทำเช่นไร เพราะแต่ละท้องที่ยังทำงานไม่เหมือนกัน..ระบบตามใจฉันซะมาก

ฉันเริ่มตั้งกระทู้ถามข้อมูลว่าควรจะทำอย่างไรดีกับปัญหาของฉัน..เพียงไม่นานมีผู้คนมากมายเข้ามากระทู้ทื่ว่าและให้คำแนะนำ แชร์ประสบการณ์หรือให้กำลังใจ..วินาทีที่ฉันนั่งอ่าน ฉันรู้สึกว่าลำคอมันตีบๆ ขอบตาร้อนๆ..คนพวกนี้เป็นใครกัน..ไม่ได้รู้จักกันเลยแม้แต่น้อยแต่ยังเข้ามาร่วมแบ่งปันความทุกข์ของฉันที่ระบายลงไปในหน้าต่างอิเลกทรอนิกส์..จากกระทู้ปรึกษาว่าทำอย่างไรถึงจะได้เรียนภาษา..มาถึงตอนนี้มีเพื่อนๆ พากันมาแนะนำเวบไซต์ สำหรับการเรียนภาษาด้วยตนเอง หรือแนะนำให้ลองไปติดต่อหน่วยงานอื่นๆดู..ฉันได้รับอีเมล์จากพี่ๆหลายท่านที่เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย..เพียงแต่ตัวหนังสือในกระทู้นั่น มันทำให้พวกเขาส่งอีเมล์มาพูดคุยและให่กำลังใจฉันที่ตอนนั้นอาการหนักอย่ในขั้นโคม่า..วนเวียนคิดแต่เรื่องที่ไม่ได้เรียนพาลคิดว่า อนาคตจะทำยังไง จะต้องตกงานอีกนานเท่าไร

พวกเธอทิ้งเบอร์โทรไว้ให้ พร้อมบอกว่ามีอะไรไม่สบายใจโทรมาคุยกันได้เสมอ..ฉันตื้นตันมาก..คนที่ไม่รู้จักกันเลยไม่เคยเห็นหน้า พวกเธอเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องยี่หระต่อตัวหนังสื่อไม่กี่บรรทัดของฉันในหน้ากระทู้นั่นก็ได้..แต่ความห่วงใยและใส่ใจก็ทำให้ฉันได้อีเมล์มาหลายฉบับ..ฉันกดเบอร์โทรทื่ได้มา..ปลายสายเป็นเสียงหญิงไทยใจดี..เธอบอกว่า เธอมาอยู่ที่นีนานแล้วเป็นสิบปี..เธอเห็นอาการฉันไม่สู้ดีนัก เลยอยากให้คำแนะนำและกำลังใจ..เป็นสิ่งที่ไทยด้วยกันจะช่วยกันได้ เพราะเธอเข้าใจดีว่า การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ อาจทำให้ฉันอึดอัดใจและซึมเศร้าได้ง่ายกับการปรับตัวให้ชินกับชีวิตที่นี่

เกือบสองชั่วโมงที่เราคุยกัน..บางท่านอาจจะคิดว่า ง่ายไปหน่อยมั้ย ไม่รู้จักกันจะไปเชื่อใจเขาได้ยังไง..จากน้ำเสียงของสาวช่างเจรจา มันฟังดูอบอุ่นเหมือนเรารู้จักกันมานาน เป็นคนบ้านเดียวกัน ไทยเหมือนกัน มีอะไรก็ต้องช่วยกัน..เธอแนะนำและปลอบใจ ให้กำลังใจ สำเนียงเมืองเหนือและสไตล์การพูดของเธอมันทำให้ฉันรู้สึกอุ่นๆในหัวใจ..ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำตามคำแนะนำของเธอได้ดีเพียงไร หรือสิ่งที่เธอพูดมานั้น มันจะเกินจริงหรือเชื่อถือได้หรือไม่ ฉันรู้เพียงว่าฉันสัมผัสได้ถึงความเอ็นดูที่เธอเพียรพยายามไถ่ถามฉันด้วยความเป็นห่วง..กำลังใจและคำปลอบโยนที่้เธอมีให้คนแปลกหน้าอย่างฉัน..และฉันก็รู้สึกมีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อไป

จากเดิมที่ไม่เคยใส่ใจกับบรรดาฟอร์เวิร์ดเมล์ขอบริจาคเลือด หรือคลิกเพื่อบริจาคให้แก่ผู้ประสบปัญหาต่างๆ..เพราะคิดว่ามันไม่มีจริง..แต่ตอนนี้ฉันพยายามจะช่วยเท่าที่ทำได้ เด็กน้อยที่รอบริจาคเกล็ดเลือด หรือ คุณยายชราที่ต้องเดินเร่ขายแกงหาเงินมาประทังชีวิต แม้แต่หมาน้อยที่ถูกทิ้งรอการถูกจับไปฆ่า หลากหลายชีวิตได้รับความช่วยเหลือจากการบอกกล่าวผ่านหน้าอินเตอร์เนท..วันนี้ฉันใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้มากขึ้น..การคิดถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายผ่านเรื่องราวและคำพูดผ่านตัวอักษร มันช่วยฉันอ่อนโยนและใส่ใจคนอื่นมากขึ้น  เพราะความมหัศจรรย์ของสัมพันธภาพที่ฉันได้ประจักษ์แก่ตัวเองจริงๆในวันนี้เอง