Sunday, December 12, 2010

บุพเพอาละวาด

ฉันกำลังยื่นถุงยาแก้ไข้พร้อมกำลังเจื้อยแจ้วอธิบายการกินยาให้พ่อฟังหลังจากที่เดิมดุ่มๆออกไปร้านขายยาใกล้ๆบ้านเพื่อซื้อยาแก้ไข้ตามบัญชาของพ่อ แต่แล้วก็เหมือนมีรังสีอำมหิตแอบมองอยู่ไม่ไกล บ้านฉันทำร้านอินเตอร์เนทอยู่ชานเมืองกรุงเทพ ลูกค้าส่วนมากก็จะเป็นลูกเล็กเด็กแดงแถวนั้น นักศึกษา คนวัยทำงาน แน่นอนอยู่ชานเมืองแบบนี้ลูกค้าส่วนมากคือคนไทย แต่ก็ไม่น้อยที่บ่อยครั้งฉันจะได้ต้อนรับ พม่า ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน ที่หันเหมาตั้งรกรากที่เมืองไทย

แต่คราวนี้เจ้าของรังสีอำมหิตเป็นหนุ่มคอเคเชียนตาคมที่มาพร้อมสาวไทยสเปกฝรั่ง ร่างผอมบาง หน้าคม แต่อกโต..ในตอนนั้นฉันไม่ได้ใส่ใจอะไรกับลูกค้าคู่นี้มากนัก เพราะบ่อยครั้งที่ฉันมีลูกค้าฝรั่ง อเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย มาใช้บริการที่ร้าน บางครั้งก็เป็นคนวัยทำงาน แบคแพคเกอร์ นักธุรกิจ ซึ่งส่วนมากมีสาวๆไทยมาด้วยทุกครั้ง..ฉันนึกเอาว่าฉันคงเสียงดังไปทำให้ตาฝรั่งคนนี้หันมามอง..ฉันเลยเดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่นด้านในเพื่อที่จะคุยกับพ่อต่อ..

ผ่านจากวันนั้นมาอีกอาทิตย์ วันเสาร์นี้พี่สาวที่ทำหน้าที่ดูแลร้านขอออกไปเที่ยวกับแฟนหนุ่ม ทำให้ฉันมาดูร้านอินเตอร์เนทแทนในวันนี้
ปกติฉันเป็นสาวออฟฟิตใจกลางเมือง ฝ่ารถติดออกไปทำงานทุกวัน มันเลยทำให้ฉันหมกตัวอยู่แต่ในบ้านในวันหยุดเพราะฉันผจญรถติดมาทั้งอาทิตย์แล้ว..สองวันนี้ของพักแบบเพิ้งๆบ้างแล้วกัน..วันนี้ฉันอยู่ที่ร้านคนเดียว พ่อแม่ พี่ๆออกไปข้างนอกกันหมด..ประมาณบ่ายโมง ฝรั่งตาคมคนเดิมเดินเข้ามา ฉันเดินออกไปต้อนรับตามปกติ เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนเกือบหกโมงเย็น ลูกค้าทยอยเข้า ออก หลายคน แต่ที่คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นก็ยังเป็นคุณฝรั่งคนเดิม..นั่งนานนั่งทนสุดยอดลูกค้า..แต่ที่แอบเขม่นๆตาคนนี้อยู่ คือ ฉันสังเกตว่า เขาแอบมองฉันอยู่นาน และหลายครั้งมากๆ ..ฉันรู้ตัวแต่แน่นอนฉันทำเป็นไม่สนใจ ไม่รู้ ตามจริตของกุลสตรีไทยที่จะไม่กระโตกกระตากให้เกินงาม

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่ม ฝรั่งคนเดิมเรียกให้ฉันไปดูอะไรที่หน้าจอของเขา ฉันคิดว่าสงสัยเครื่องเสีย เดินไปดู สิ่งที่ฉันเห็นคือ
ตัวหนังสือภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ และไทย อย่างละบรรทัด..มีใจความว่า..ผมอยากรู้จักคุณ เย็นนี้ไปทานข้าวกับผมได้มั้ย..

ฉันเหวอไปแปบนึง..แล้วก็หัวเราะแก้เก้อนิดนึง (แหม ตั้งแต่เกิดมาไม่มีใครจีบเลย..มันก็ต้องมีเขินไปธรรมดา) ฉันตอบเขาไปเป็นภาษาอังกฤษว่า ไม่ได้หรอก ฉันต้องดูร้าน เขาตอบกลับมาว่า ไม่เป็นไร เขารอได้จนร้านปิด ..ฉันปฏิเสธไปอีกครั้งว่าร้านฉันปิดสี่ทุ่มซึ่งมันคงดึกเกินไปที่จะออกไปทานข้าว..ฉันขอบคุณสำหรับคำเชิญแต่คงไปด้วยไม่ได้จริงๆ ขอโทษด้วย

เขาทำหน้าผิดหวังแต่ก็บอกว่าไม่เป็นไร แต่ก็ยังบอกว่า ถ้าคราวหน้าฉันสะดวกก็ขอให้บอก เขาอยากไปทานข้าวทำความรู้จักฉันเฉยๆ ไม่ต้องกลัว หรือคิดว่าเขาจะมาล่อลวงไปทำอะไร..เขาแนะนำตัวเองว่ามาจากเมืองน้ำหอมด้วยภาษาอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่น..เรายืนคุยกันอยู่นานพอควร จนเขารู้ตัวว่าควรจะปล่อยให้ฉันทำงานต่อไปได้แ้ล้วจึงขอตัวกลับที่พัก

จากนั้นฉันก็ใช้ชีวิตเป็นสาวออฟฟิตในเมืองตามปกติ คือ ออกจากบ้านแต่เช้าไปทำงานกลับมาบ้านอีกทึต้องหลังร้านปิดแล้วเท่านั้น..แต่มาคราวนี้พี่สาวฉันบอกว่ามีลูกค้าถามหา ก็ตาฝรั่งเมืองน้ำหอมคนเดิมนั่นแหละ พี่สาวฉันบอกว่ามาทุกวัน วันละสองรอบ เล่นจนร้านปิดทุกวัน..แล้วก็ต้องถามถึงฉันทุกวัน.."สงสัยฝรั่งจะชอบของแปลก" เป็นวลีที่คนในบ้านแซวฉันตลอดในตอนนั้น
จนถึงวันเสาร์กลางเดือนมกราคม ฉันเจอเขาอีกครั้ง คราวนี้เราได้คุยกันมากขึ้น (ถึงแม้จะไม่ค่อยจะเข้าใจนัก เพราะเขาเองพูดอังกฤษได้นิดหน่อย แต่ฉันเองฝรั่งเศสไม่กระดิกหูเลยทีเดียว)

เราแลกเปลี่ยนอีเมล์กันจากนั้นฉันก็จะได้รับเมล์จากเขาทุกวัน เขาเขียนเล่าว่าเขาไปทำอะไรมาบ้าง เป็นแบบนี้อยู่จนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ เขาส่งเมล์มาว่า เขาชอบ อยากขอเป็นแฟน แล้วก็เขียนมาชื่นชมรูปพรรณสัณฐานว่า สวยอย่างนั้นอย่างนี้..เกือบเคลิ้มแต่สาวๆก็รู้ใช่มั้ยว่า หนุ่มฝรั่ง..ปากหวานจะตาย..แค่เนี้ย หนูไม่หลงกลหรอกยะ.. ตอนที่ฉันกำลังอ่านเมล์อยู่นั่นเอง เจ้าตัวก็มายืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ..เหมือนมารอคำตอบ(หล่อนมีองค์เหรอไงยะ..มาถูกเวลาเชียวนะ)

พ่อหนุ่มคนนี้สอบผ่านสำหรับฉันในหลายๆด้าน จนฉันเกือบจะตกลงว่าลองมาคบกันดูก็ได้ มาตกม้าตายที่ข้อสุดท้ายที่เขาเป็นรุ่นน้องฉันหลายปี..กระแสสาวแก่กินเด็กตอนนั้นกำลังแรง ยิ่งทำให้ฉันรีบปฏิเสธไปว่า ฉันแก่กว่าเขามาก เราคงเป็นแฟนกันไม่ได้หรอก..เขารีบตอบมาว่า เขาไม่แคร์ อายุก็แค่ตัวเลข..แต่ฉันยืนยันหนักแน่นอีกครั้งว่า เราเป็นเพื่อนกันดีกว่า เขาอึ้งไปนิดหน่อยแต่ก็บอกว่า สำหรับตอนนี้แค่ฉันยอมเป็นเพื่อนด้วยก็ถือว่ายังดีสำหรับเขา..

จนกลางเดือนมีนาคมเขาต้องเดินทางกลับบ้านหลังจากมาเที่ยวในเมืองไทยเกือบสามเดือน ออกไปขอวีซ่ากลับเข้ามาไทยใหม่ที่โรงเกลือและหนองคายมาสองรอบแล้ว..มื้อสุดท้ายก่อนเขากลับ เขาขอทานข้าวกับฉันสักครั้ง ฉันเลยพาไปหม่ำบะหมี่เกี๊ยวเจ้าประจำที่ตลาดโต้รุ่งใกล้บ้าน เขาบอกว่าตอนแรกนึกว่าฉันจะเลือกร้านหรูแต่มากินแบบนี้ก็ดีนะ เขาไม่เคยลองกินบะหมี่แบบนี้เลย..มื้อนั้นฉันชิงจ่ายเงินค่าอาหารถือเป็นการเลี้ยงส่งเพื่อนต่างแดน จากนั้นเราติดต่อกันทางอีเมล์ บางวันถ้าเวลาลงตัวก็ได้แชทกันบ้าง..เป็นแบบนี้อยู่นาน และฉันเองก็ยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองด้วยว่า อีกหน่อยฉันจะต้องติดตามพ่อหนุ่มคนนี้มาใช้ชีวิตในต่างแดน

No comments:

Post a Comment