Saturday, December 18, 2010

คำตอบ

24 ชั่วโมงในหนึ่งวันของฉัน หมดไปกับการเดินทางจากชานเมืองมุ่งสู่ใจกลางเมืองขาละหนึ่งชั่วโมง อีกไม่ต่ำกว่าสิบสองชั่วโมงในแต่ละวันกับวิถีของสาวออฟฟิตที่ฉันต้องทั้งผลัก ดัน จิก กัด ให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ กลับมาถึงบ้านฉันก็มาเคลียร์บัญชีที่ร้าน ดูร้านต่ออีกหน่อยรอเวลาปิดร้าน ซึ่งก็ประมาณ สามชั่วโมงในวันธรรมดา แต่ถ้าวันหยุดแล้วหล่ะก็ สิบห้าชั่วโมงเต็มๆ ฉันก็จะทำงานในร้านเนี่ยแหละ ..ที่เหลืออีกหกชั่วโมงคือเวลาที่ฉันในสำหรับฟื้นฟูสังขารเอาแรงไว้เริ่มวันใหม่อีกครั้ง..

ฉันแอบคิดว่า โชคดีที่ต้นรักของฉันไปผลิดอกออกผลกับคนแดนไกล..เพราะหากชีวิตของฉันยังมีวิถีแบบนี้ ฉันจะมีเวลาที่ไหนไปให้เขา..และอาศัยว่าอาชีพของฉันมันเกี่ยวพันกับคอมพิวเตอร์ ทำให้ฉันทำงานไปด้วยได้และยังคงรักษาความสัมพันธ์และเก็บมุมเล็กๆ ลึกๆในหัวใจกับเขาแบบรักออนไลน์ต้องอดทนเอาไว้ได้

หลังจากเขากลับไปแล้ว ฉันทิ้งระยะไปนานกว่าครึ่งปีกว่าจะพยายามพูดคุยกับแม่อีกครั้งถึงการแต่งงาน ฉันเองก็ปุถุชนคนธรรมดา มีด้านดีด้านมืดในตัว ฉันรู้ดีว่าหลังจากพี่ๆแยกย้ายออกเรือนกันไป แม่ฉันก็เหงามากขึ้น ฉันพยายามที่จะเติมเต็มในสิ่งที่มันหายไปจากพี่ๆ ..ทุกครั้งที่แม่เอ่ยปากขออะไร หรือถามถึงอะไร ฉันเป็นต้องขวนขวายหามาให้ได้ตามที่แม่ต้องการเสมอ ..ฉันมักทำแบบนั้น แม่คือแม่แบบในการดำเนินชีวิตเลยก็ว่าได้..แต่ฉันเองก็อยากใช้ชีวิตในแบบของฉันเองอยู่เงียบๆในใจ

ฉันพยายามหาทางออกสำหรับเรื่องชีวิตคู่ของฉัน ให้มันลงตัวกับชีวิตอีกส่วนหนึ่งที่เหลือ คือ พ่อและแม่ ฉันเคยลองเสนอว่า ถ้าให้แฟนย้ายมาอยู่เมืองไทย จะดีมั้ย..แน่นอนมันยากสำหรับฝรั่งที่ภาษาไทยไม่กระดิกที่จะหางานทำในเมืองไทย..แต่ความที่เขาก็สนใจและมีความรู้ในเรื่องคอมพิวเตอร์พอตัว ฉันเลยเสนอว่าให้มาช่วยดูแลร้านอินเตอร์เนทก็ไ้ด้ พ่อแม่จะได้ไม่เหนื่อยมากตอนที่ฉันออกไปทำงาน..แต่คำตอบก็คือ ไม่..ทำแบบนั้นได้ยังไง ร้านนี้ไม่ใช่ของเธอคนเดียวนะ..ของพี่ๆเธอด้วย

ฉับแอบน้อยใจอยู่เงียบๆ ฉันไม่ได้หวังว่าเงินเดือนแทบทั้งหมดที่ฉันยกให้แม่ในทุกเดือนมาตั้งแต่เงินเดือนก้อนแรก จนถึงวันนี้ร่วมสิบปีแล้ว จะทำให้ฉันได้ครอบครองสิทธิ์ในร้าน แค่ฉันพยายามหาทางออกให้ฉันสามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ฉันรักได้ทุกคน..ฉันตัดใจแต่ไม่ยอมแพ้ อีกเกือบเดือนฉันลองถามอีกว่า ถ้าพ่อตัวดีไม่มายุ่งกับกิจการของที่บ้าน แต่แต่งแล้วก็มาอยู่ด้วยกันที่บ้านได้มั้ย เขาจะหางานอื่นทำ สอนภาษาอะไรไปก่อนมีหนทางก็ขยับขยาย..ไม่..คำตอบเดิม..ฉันกลับมาคุยกับพ่อตัวดีใหม่..หลังจากคิดสารตะกันพักหนึ่ง พ่อตัวดีก็เสนอมาว่า เขาจะไม่มายุ่งวุ่นวายที่้บ้านก็ได้ เขาจะขายทุกอย่างที่เขามีที่นี่ มันคงได้เงินมาจำนวนหนึ่งที่อาจจะเอาไปดาวน์คอนโด หรือทาวน์เฮ้าส์ก็ได้ เขาอาจจะทำร้านอินเตอร์เนทและสอนภาษา หากแม่ไม่ยอมให้เขาอยู่ด้วย ทางสุดท้ายคือ ฉันและเขาไปหาที่อยู่ใหม่ แล้วทุกเย็นและในวันหยุด ฉันก็มาช่วยงานที่ร้านเหมือนเดิม จากนั้นก็ค่อยกลับบ้านมาใช้ชีวิตแบบสามีภรรยา..แต่คำตอบจากแม่ก็คือไม่อีก..คำขาดของแม่คือ ไม่ต้องแต่งงานกับใครเลยเป็นดีที่สุด ประเสริฐสุดแล้วสำหรับชีวิตลูกผู้หญิง

ฉันเข้าใจดีว่าแม่รักฉันจนไม่ยากให้ฉันเจอปัญหาที่จะตามมาอีกหลายอย่างจากการใช้ชีวิตคู่ร่วมกับใครสักคน แบบที่แม่เจอมาแล้ว..ชีวิตแต่งงานมันหอมหวานในช่วงแรกๆแต่พอมีลูกมีห่วง ภาระต่างๆที่เข้ามา มันทำให้แม่คิดว่าผุ้หญิงที่คิดแต่งงานนั้น เสียสละมาก..ยิ่งกรณีของฉันแล้ว ต้องทิ้งทุกอย่างที่เมืองไทยเริ่มต้นใหม่ที่โน่น ยิ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ไร้สติในความคิดของแม่.. คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า มันก็คงเป็นแบบนั้น..

เมื่อฉันรู้จุดยืนของแม่ดีแล้ว..มีอีกคนหนึ่งที่ฉันต้องรับมือด้วยคือ พ่อตัวดีที่คอยไถ่ถามว่า สรุปแล้วความสัมพันธ์ของเราจะเป็นยังไง มันคงเป็นการรอคอยที่ยาวนานและไม่เห็นอนาคตมากไป ที่ผู้ชายคนหนึ่งออกย้ายมาทำงานต่างเมือง มาสร้างหลักปักฐานหวังว่าวันหนึ่งเขาจะได้สร้างครอบครัวกับคนรักที่อยู่แดนไกลในสักวันหนึ่ง แต่ก็เกือบสามปีแล้วที่เขากลับมาบ้านแล้วก็ยังใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว ทำได้แค่รอ รอ เท่านั้น แล้วเขาจะลงทุนย้ายมาทำงานต่างเมืองเพื่อรออะไร เขามักถามเช่นนี้ ส่วนฉันเองก็จนด้วยคำตอบ..เราเริ่มทะเลาะกันเรื่องนี้ถี่ขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุมันก็เกิดจากฉันเองที่รู้สึกผิดอยู่ในใจว่า ฉันจะยื้อความสัมพันธ์ไว้ทำไม เพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า เมื่อไรที่เราจะมีอนาคตร่วมกัน..จนฉันออกปากบอกให้เขาไปหาคนใหม่ อย่ามาเสียเวลากับฉันเลย..แม้จะเสียใจแต่ฉันก็คิดว่ามันดีกว่าที่จะทำให้เขาเสียเวลาและโอกาส..ฉันปากพล่อยพูดแบบนี้ไปหลายครั้งประหนึ่งว่าฉันสวยเลือกได้..หน้าตาถ้าตัดเกรดออกมาคงได้แค่เกือบคาบเส้น..แต่กรรมของเขาหรือบุญของฉันก็ไม่ทราบ ที่ทำให้พ่อหนุ่มตัวดี ยังยืนยันหนักแน่นว่าเขาไม่เปลี่ยนใจ และจะยังเดินหน้าลุยเกลี้ยกล่อม หว่านล้อมให้ฉันตัดสินใจเริ่มชีวิตของตัวเองได้แล้ว

วันเวลาผ่านไปรวดเร็วมาก เกือบสองปีที่เขากลับไปและเราไม่ไดเจอกันตัวเป็นๆอีก ในแต่ละวันระหว่างทางที่ฉันเดินไปออฟฟิต หรือบนรถโดยสารสารพัดรูปแบบในเมืองหลวง คือช่วงเวลาที่ฉันจะได้ใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง..ฉันถามตัวเองว่า ตอนนี้ฉันมีความสุขกับชีวิตหรือยัง ..คำตอบคือฉันมี ฉันได้อยู่กับพ่อแม่ เพื่อนฝูงที่เมืองไทย บรรยากาศที่ฉันคุ้นเคยมาทั้งชีวิต..แต่ฉันก็ต้องซื่อสัตย์กับอีกเสียงในใจว่า แต่มันยังไม่ทั้งหมด ฉันยังมีอีกมุมหนึ่งว่า ชีวิตแบบทุกวันนี้มันก็ทำให้ฉันแอบคิดว่า..ชีวิตมันมีแค่นี้เองหรือไง..ฉันยังแสวงหาสิ่งแปลกใหม่ ท้าทายอีกหลายอย่างในชีวิตนี่..คนรักอาจจะคืออีกส่วนหนึ่งของคำตอบ แต่จริงๆแล้วฉันเองก็อยากลองเรียนรู้สิ่งใหม่ในต่างแดน ไม่่ว่าจะภาษา วัฒนธรรม และผู้คน..ฉันรู้ว่าลำบากและไม่ได้สวยงามแบบที่หลายคนโอ้อวดว่าประเทศนอกมันสวยงาม ศิวิลัย แต่มันก็ท้าทายดีนะถ้าฉันจะต้องฝ่าฟันและทำมันให้สำเร็จด้วยตัวฉันเอง

ฉันเฝ้าถามตัวเองอยู่เงียบๆในแต่ละวัน..สุดท้ายฉันก็ได้คำตอบแล้ว คำตอบของฉันอาจจะไม่ถูกใจใครต่อใครหลายคน ฉันอาจจะเลือกทางเดินชีวิตผิด หรือทิ้งอนาคตเพียงเพื่อแสวงหาความท้าทายใหม่ๆในชีวิต หลายคนพูดแรงๆใส่ฉันว่า บ้ารึเปล่า ทิ้งอนาคตเพื่อผู้ชายคนเดียว..แต่ฉันก็เลือกแล้วที่จะทำตามคำตอบในใจฉัน

No comments:

Post a Comment