Wednesday, December 15, 2010

อลหม่านประสบการณ์ขอเชงเก้นวีซ่าครั้งแรก

หลังจากพระนางของเรื่อง ศึกษาดูใจกันผ่านสื่ออิเลกทรอนิกส์อยู่แรมปี พ่อหนุ่มของเราก็อยากให้สาวเจ้ามาเยี่ยมชมบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองบ้าง.. ตอนที่เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ในครั้งแรกๆนั้น ฉันยังไม่ได้คิดอะไรมาก..ไม่คิดว่ามันจะเป็นจริงมากกว่า อย่างที่รู้ๆ ฉันมันก็สาวออฟฟิตติดดินธรรมดา รายได้ปานกลางจนเกือบน้อย..อย่าพูดถึงเงินออมในบัญชี..หึ ไม่มีซะหรอกที่จะเหลือเกินหมื่น.. แล้วฉันจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อตั๋วเครื่องบินลัดฟ้าไปหาเธอได้

แต่คุณชายเธอก็พยายามไถ่ถามและทำให้เรื่องราวมันจริงขึ้นมาให้ได้..วันหนึ่งในเดือนสิงหาคม ฉันได้รับซองจดหมายนำส่งมาจากแดนไกล..เอาอีกแล้ว ส่งอะไรมาอีก..แกะออกดูมันเป็นใบเหลืองๆ ภาษาบ้านเขา..แต่มีชื่อฉันอยู่ในนั้น ฉันยังงงๆ ว่าจะส่งไอ้ใบนี้มาให้ฉันทำไม..จนเย็นวันนั้นฉันได้แชทกับพ่อตัวดีที่รีบแถลงไขมาให้ทราบว่า ใบเหลืองๆที่ส่งมา คือ ATTESTATION D'ACCUEIL มันเป็นเอกสารที่ออกมาจากอำเภอของว่า เจ้าบ้านบ้านนี้ได้มาขออนุญาตให้มีผู้อื่นมาพำนักด้วย..ซึ่งเจ้าบ้านตอนนั้น คือแม่ของเขา ผู้อื่นก็คือฉันเอง..ระบุเวลาที่ขออนุญาตให้ไปเยือนคือ วันคริสต์มาสในปีนั่นเองเป็นเวลาสองอาทิตย์

ฉันเองตอนนั้นยังขำๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก ฉันตอบไปว่า ส่งไอ้นี้มา แต่ฉันไม่มีเงินพอค่าตั๋วเครื่องบินหรอก ให้แม่ลำบากไปขอเอกสารมาทำไมเสียเวลา เสียดายเงินค่าธรรมเนียมด้วย ตั้งสี่สิบห้ายูโร..แต่อีกฝ่ายก็ยังยืนยันและจริงจังว่า เขาเตรียมไว้แล้ว เขาจะส่งเงินค่าตั๋วเครื่องบินมาให้ หน้าที่ของฉันคือไปลาพักร้อนและเตรียมเอกสารยื่นวีซ่า แล้วก็จองตั๋วเครื่องบินไว้..เท่านั้นแหละ

แต่เรื่องมันก็ไม่ง่ายแบบที่คิด..มันเริ่มตั้งแต่คิดว่าจะไปฉันคุยเรื่องนี้กับที่บ้าน..ทุกคนเป็นห่วงว่าฉันจะไปยังไง ผู้หญิงคนเดียวริจะไปต่างบ้านต่างเมืองคนเดียว เกิดพ่อหนุ่มตาน้ำข้าวแปลงร่างกลายเป็นแก๊งค้าเนื้อสดขึ้นมา ฉันจะเอาตัวรอดได้มั้ย..ฉันคุยกับที่บ้านและพ่อคนต้นเรื่องอยู่หลายตลบมาก จนสุดท้ายฉันขอให้ที่บ้านเชื่อใจว่า ฉันจะไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทางให้พ่อแม่เสียใจและจะดูแลตัวเองให้ดี..สุดท้ายที่บ้านก็ปล่อยให้เด็กดื้อแบบฉันทำตามใจตัวเอง..เพราะทุกคนก็รู้ว่า ฉันชอบท่องเที่ยว..แล้วแดนตะวันตกแบบนี้ฉันก็ไม่เคยไปเยือนสักครั้ง

เอาหล่ะ ที่บ้านยอมกดไฟเขียว เคลียร์วันลากับเจ้านายได้ คราวนี้ฉันก็ต้องเริ่มหารายละเอียดการขอวีซ่าแล้วว่า เขาทำกันยังไง..ฉันก็อาศัยกูเกิ้ลอีกนั่นแหละ ฉันรวบรวมเอกสารในส่วนของฉัน แบบฟอร์ม พาสปอร์ต รูปถ่าย จดหมายรับรองการทำงาน ใบจองตั๋วไปและกลับ ประกันการเดินทาง บัญชีธนาคาร(ซึ่งส่วนมากเงินเข้าเดือนละครั้งแต่ถอนออกถี่มาก จนยอดเหลือกระจุ๋มกระจิ๋มน่าเอ็นดู) แต่มันยังไม่พอ ฉันยังต้องให้พ่อตัวดีส่งเอกสารมาเพิ่ม คือ สำเนาบัตรประชาชนของแม่เขา จดหมายเชิญที่แม่ของเขาในฐานะเจ้าบ้านเขียนเพื่อเชิญฉันไปเยือนและจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายระหว่างนั้น..แต่ด้วยความที่แม่ของเขาไม่เคยมาเมืองไทยและยังไม่รู้จักฉันเลย ฉันเลยต้องเอาเอกสารที่ว่าจากแฟนตัวดีของฉันด้วย พร้อมสำเนาพาสปอร์ตและเอกสารการงานและหลักฐานการเงินของเขาด้วย..

เมื่อได้มาครบแล้ว..ฉันก็เริ่มหาข้อมูลก่อนไปยื่นวีซ่า..ชีวิตนี้เป็นครั้งแรกที่จะไปสถานฑูต..ฉันก็อยากให้มั่นใจสักหน่อยว่าฉันจะไม่ไปปล่อยไก่หรือทำพลาดให้เสียเรื่อง..ฉันแอบเครียดกับเรื่องนี้อยู่นาน จนพี่สาวบอกว่ามีคนรู้จักทำเรื่องยื่นวีซ่าอยู่ ให้ฉันเอาเอกสารทั้งหมดมา พี่สาวฉันจะช่วย..ฉันนึกดีใจว่าโล่งอก ให้คนอื่นไปยื่นแทนแล้วกัน..เสียค่าน้ำร้อนน้ำชานิดหน่อยดีกว่าเสียเวลาและประสาทจะเสียเอา..

แต่เมื่อเขาเอกเอกสารฉันไปดูก็บอกว่า ขอฉันทำยื่นแบบนักท่องเที่ยวไม่ได้ ต้องเป็นแบบเยี่ยมเพื่อนแทนซึ่งมันต้องมีการแสดงตัวที่สถานฑูต..พี่ที่เอาเอกสารไปยื่นให้บอกให้ฉันมาที่สถานฑูตวันนี้เลยได้มั้ย เขาจะแวะไปรับฉันตอนเก้าโมงเช้าที่ออฟฟิตเพราะว่าเขานัดสถานฑูตไว้วันนี้พอดีจะได้ไม่เสียเที่ยว..โชคดีของฉันที่วันนั้นเจ้านายออกไปสัมมนากันหมด ฉันเลยบอกพี่ที่ทำงานว่า ขอตัวไปทำธุระสักครู่..(ไม่มีใครรู้ว่าฉันมีแฟนเป็นฝรั่งตาน้ำข้าว..ฉับเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบมากเพราะไม่อยากเป็นขี้ปากใคร)

ไปถึงสถานฑูตพี่ที่พามาก็เอาเอกสารของฉันส่งให้ แล้วบอกให้ฉันไปเข้าคิวติดต่อเคาน์เตอร์ด้านซ้าย ส่วนตัวเขารอพาสปอร์ตที่เรียบร้อยแล้วคืน..เหวอสิค่ะ..อ้าว.. แบบนี้ก็เท่ากับหนูมายื่นเอง ทำเอาสิค่ะเนี่ย

เอาเถอะมาถึงขั้นนี้ ฉันยื่นเอกสารไปกับแหม่มสาวสวยที่ไม่ใส่ใจคำสวัสดีของฉันเลย..หลังจากดูเอกสารครู่ใหญ่เธอก็ถามฉันเป็นภาษาฝรั่งเศส..อะไรก็ยากจะแปลได้..สุดท้ายเธอก็ถามฉันว่า ฉันพูดอังกฤษได้มั้ย ฉันบอกว่าได้..ในใจคิดว่า ง่ายกว่าภาษาหล่อนเยอะเลยหละ..แหม่มผมทองถามฉันว่า ฉันรู้จักใครในครอบครัวนี้ ฉันบอกชื่อเขาไปและบอกคร่าวๆว่าเรารู้จักกันแบบไหน..แต่ความสัมพันธ์ฉันก็บอกว่า คือเพื่อน ไม่ได้บอกว่าเป็นแฟนแต่อย่างใด..สุดท้ายแหม่มคนสวยบอกว่า จะยื่นเอกสารให้แต่ฉันต้องเอกเอกสารมาให้เพิ่มเติมคือ สำเนาพาสปอร์ตของพ่อตัวดีที่มีการประทับตราเข้าออกเมืองไทย..โอว..ไม่นะ ฉันต้องมาอีกเหรอเนี่ย

พี่ที่พอฉันไปรอฉันอยู่ด้านหน้าสถานฑูต ถามว่าเรียบร้อยดีมั้ย ฉันบอกไปว่า ยัง สถานฑูตต้องการได้เอกสารเพิ่ม..พี่คนนั้นเลยได้ทีทับถมว่า ..ก็แบบนี้หล่ะ สาวโสดเดินทางไปแบบเยี่ยมญาติแบบนี้โอกาสผ่านมีน้อย..สู้ขอแบบท่องเที่ยว..ง่ายกว่าเป็นไหนๆ..อ้าวแล้วแกทำไมไม่บอกฉันก่อนโทรเรียกให้ฉันมาหล่ะ..เซ็งอารมณ์

หายไปสามวัน ฉันได้รับเอกสารเพิ่มเติมที่ว่านั้นจากเมล์ที่พ่อตัวดีส่งมาให้ ฉันเลยรีบปลีกตัวไปส่งเอกสารในช่วงบ่าย..(ออฟฟิตกับสถานฑูตอยู่ไม่ไกลกันเท่าไร)แต่คราวนี้ฉันไม่เจอแหม่มคนสวยแล้ว เจอเจ้าหน้าที่คนไทยแทน..ฉันเข้าไปติดต่อและแจ้งว่ามาส่งเอกสารเพิ่ม..เขาทำเป็นเหมือนว่าฉันไม่มีตัวตน ฉันยืนรอจนเกือบยี่สิบนาที เขาถึงหันหยิบเอกสารที่ฉันยื่นไปมาดู แล้วเริ่มสัมภาษณ์อีกครั้ง ถามถึงว่าไปทำอะไร แล้วคุณตัวดีเนี่ยเป็นอะไรกัน ฉันก็ตอบไปว่า เพื่อน(ฉันอาจจะจริตเยอะไปหน่อย..แฟนของฉันคือ คนที่จริงจังถึงขั้นจะแต่งงานกันแล้วเท่านั้น)จนท.ทำหน้าดูแคลน แล้วเพิ่มระดับเสียงมากขึ้นว่า เพื่อนหรือแฟน เอาจริงๆ ไม่ต้องมาโกหก..นาทีนั้นฉันเริ่มโมโห ฉันตอบกลับไปเสียงเรียบๆแต่แสดงออกทางสีหน้าแล้ว..ตอนนี้เป็นเพื่อนที่กำลังคบหาเพื่ออาจจะพัฒนาไปเป็นแฟน.. จนท.ทำหน้ากวนอารมณ์ใส่..แล้วบอกว่า จะยื่นให้แล้วกัน แต่ไม่รู้ว่าจะผ่านหรือเปล่า คงยากหน่อยนะ..ฉันสะกดอารมณ์ทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ ถามไปว่า ฉันจะต้องโทรมาติดต่อเรื่องผลวีซ่ายังไง..เขาตอบมาว่า ไม่ต้องทำอะไรแล้ว..รออย่างเดียว ฉันเลยถามว่านานมั้ยเพราะว่าฉันมีแผนจะเดินทางปลาบปี กลัวไม่ทัน..เขาตอบมาว่าไม่รู้นะ แต่ไม่ต้องโทรมาถามหรอก โทรติดยาก..รอให้สถานฑูตโทรไปจะง่ายกว่า..ฉันจ่ายค่าธรรมเนียมและได้รับใบเสร็จและใบแสดงเลขที่แฟ้มเอกสารที่ต้องเก็บไว้ตอนมารับเล่มคืน (สามพันกว่าบาทหลุดลอยไป..ถ้าไม่ได้วีซ่า เสียดายเงินแย่เลย)

เสร็จจากวันนั้น ฉันรอเรื่องวีซ่าอยู่นาน จนผ่านไปสามอาทิตย์ฉันก็ยังไม่ได้รับเรื่องหรือการติดต่อจากสถานฑูตเลย..จนคุณตัวดีที่ไถ่ถามว่าได้วีซ่าหรือยังรอไม่ไหว โทรมาถามสถานฑูตเองว่า เรื่องของฉันไปถึงไหนแล้ว..บ่ายวันนั้นพ่อหนุ่มตาน้ำข้าวก็เมล์มารายงานว่า โทรไปถามสถานฑูตแล้ว ฉันได้รับวีซ่าแล้ว..ฉันแอบงงที่เขาอยู่ต่างแดนโทรไปสถามฑูนดันติด แต่ฉันเนี่ยกดมือหงิกไม่เคยได้คุย) รุ่งขี้นสถานฑูตโทรมาให้ฉันมารับเล่มคืนได้แต่ต้องเอาตั๋วเครื่องบินและประกันการเดินทางตัวจริงไปยื่นวันรับเล่มด้วย..

หายไปจัดการเรื่องตั๋วต่างๆ อีกเกือบอาทิตย์ ในที่สุดฉันก็ได้เล่มมาเรียบร้อย ..แต่กว่าจะได้เล่นเอาเหนื่อย แถมเคสของฉันเจ้าหน้าที่ยังให้กลับไปรายงานตัวที่สถานฑูตตอนกลับมาเมืองไทยแล้วอีกด้วย..สงสัยหน้าตาดูว่าจะหนีไปอยู่ต่างแดนถาวรเลยต้องเข้มกับฉันเป็นพิเศษ

นี่คือครั้งแรกที่ฉันต้องผจญกับการขอวีซ่า..ทั้งเครียด ทั้งเหนื่อย..เพราะว่าฉันยังไม่มีประสบการณ์บวกกับความไม่รู้ทำให้วิตกจริตกังวลไปกันใหญ่..แต่หลังจากนั้นต้องขอวีซ่าไปเยี่ยมคุณชายอีกสองครั้งในสองปีถัดมา ฉันก็คุ้นเคยและไม่คิดว่ามันยากแบบที่เคยคิด..

ใครๆที่ต้องการขอวีซ่าแบบฉัน ไม่ต้องกังวลแล้วก็ไม่ต้องเสียค่าจ้างเอเจนท์ไปทำเรื่องให้หรอกนะคะ หาข้อมูลในอินเตอร์เนทเนี่ยแหละค่ะ มีแหล่งข้อมูลที่มีผู้รู้มาโพสต์ มาช่วยตอบคำถามเต็มไปหมด ค่อยๆอ่าน ค่อยๆศึกษาไปไม่ยากค่ะ..ยิ่งเดี๋ยวนี้สถานฑูตจัดให้ยื่นเอกสารผ่านตัวแทนมันยิ่งรวดเร็วและง่ายต่อการติดตามวีซ่ามาก แค่เสียค่าธรรมเนียมให้ตัวแทนเพิ่มขึ้นเนี่ยแหละที่ไม่ปลื้ม..หึ
รายละเอียดดูได้ที่นี่ https://www.tlscontact.com/th2fr/login.php?l=th
แต่ถ้าอยากได้ข้อมูลหรือคำปรึกษาจากผู้มีประสบการณ์ ที่นี่เลย http://www.ladyinter.com/forum_topics.asp?FID=45
(ตัวฉันเองก็แอบศึกษาจากที่นี่เหมือนกัน)

ตอนนี้วีซ่าพร้อม ตั๋วพร้อม แต่คนและกระเป๋ายังไม่พร้อม ไหนจะเคลียร์งานปิดงบปีให้เสร็จก่อนไป ไหนจะของฝากที่ต้องหอบหิ้วไปเสนอหน้ากับครอบครัวของเขา เสื้อผ้ากันหนาวอีก..โอว..ชีวิต..กว่าสองเท้าจะได้ย่ำชองอาลิเซ่เนี่ย..ลำบากจัง เอ้อ

No comments:

Post a Comment