Wednesday, December 22, 2010

งานเลี้ยงส่งบ่าวสาวเข้าหอ

ฉันได้ยินเสียงแว่วๆภาษาต่างด้าวมาพักใหญ่ แต่ด้วยความขี้เกียจและหนาวทำให้ฉันยังขดตัวนอนอยู่ใต้ผ้าห่มเบียดสามีตัวใหญ่ต่อไป..แต่ด้วยสามัญสำนึกของกุลสตรีไทย ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ..จะปล่อยให้ครอบครัวเขารู้ได้ยังไงว่า สะใภ้หมาดๆอย่างฉันนอนขี้เซาเอาบ้านเอาเมืองขนาดนี้..

กว่าฉันจะทยอยส่งแขกและเพื่อนๆที่มาปาร์ตี้ฉลองแต่งงานเมื่อคืน..สองเท้าก็มาหยุดที่หน้าประตูบ้านตอนตีสี่ คิดถึงปาร์ตี้เมื่อคืนแล้วก็แอบขำตัวเอง..หลังจากเสร็จพิธีฉันก็ถูกพาไปบ้านบนเนินเขาที่คืนนี้มันจะมีปาร์ตี้ฉลองแต่งงานของฉัน..บรรดาเพื่อนฝูงของพ่อตัวดีพยายามช่วยกันคิดเรื่องงานเลี้ยงนี้ขึ้นมาเพราะว่าไม่อยากให้ฉันรู้สึกว้าเหว่ หรือ โดดเดี่ยวมากเกินไปนัก..ผู้หญิงตัวคิดเดียวที่เดินทางลัดฟ้ามาเพื่อเริ่มต้นชีวิตครอบครัวที่นี้ พวกเขารู้ดีว่าสำหรับฉันแล้วฉันก็ยอมทิ้งทุกอย่างในชีวิตมาเริ่มต้นใหม่ที่นี่..

ตอนฉันไปถึงแขกและเพื่อนๆทยอยกันมาเยอะแล้ว..แต่ละคนช่วยกันจัดสถานที่ ขนอาหารเครื่องดื่ม ..แม้แต่เจ้าบ่าวหมาดๆก็ยังเดินแบกถาดอาหารตัวปลิวไปแล้ว..ไม่มีใครยอมให้ฉันช่วยทำอะไรสักอย่าง สุดท้ายฉันเลยทำหน้าที่ถ่ายรูปรักแขกหน้างานไป เพราะว่าใครๆก็อยากจะถ่ายคู่กับชุดไทย..แต่เจ้ากรรมที่อากาศยามเย็นที่บ้านบนเนินเขานั้น..มันหนาวยะเยือกลงทุกที ไหล่เปลือยๆที่โผล่พ้นสไบฉลุดิ้นทองนั่นสั่นเข้าจังหวะเพลงพอดิบพอดี..ไม่มีใครคิดมาก่อนว่ากลางคืนในเดือนสิงหาคมมันจะหนาว..ดีที่แต่ละคนมองการณ์ไกล ..แม่สามีเตือนให้ฉันเตรียมเครื่องกันหนาวมาเผื่อ..เพราะว่าสาวแดนสยามอย่างฉันที่เด๊่ยวนี้จำไม่ได้แล้วว่า เมืองไทยมีหน้าหนาวด้วยเหรอ..มาเจออากาศปลายฤดูร้อนของที่นี่ ฉันก็ยังรู้สึกหนาวๆ วูบๆ ให้คนที่นี่ประหลาดใจ

ดีเจอาสาของงานคือ หนึ่งในเพื่อนผู้ใจดีของเจ้าบ่าว..ซึ่งงานนี้หอบหิ้วเครื่องเสียงและอุปกรณ์ต่างๆ นานา มาทำให้แบบไม่ยอมรับสินน้ำใจที่ฉันแอบยัดใส่มือให้อีกด้วย..ดีเจเริ่มกล่าวเปิดงานทักทายแขกเหรื่อ..บรรยากาศมันไม่เหมือนงานฉลองแต่งงานที่ฉันพบเจอที่เมืองไทย..งานนี้อารมณ์ประมาณชุมนุมรอบกองไฟ..ฉันถูกเจ้าบ่าวลากไปนั่งที่เก้าอี้สองตัวกลางวงล้อมของแขกที่มางานวันนี้ประมาณห้าสิบคน..พ่อ แม่ ญาติและเพื่อนๆทยอยมากล่าวอวยพร..คาโอลินสาวน้อยวัยสิบขวบ ลูกสาวของเพื่อนเจ้าบ่าว เด็กน้อยที่ฉันมักยึดไว้เป็นเพื่อนคุยและครูสอนภาษาประจำตัว เธอมากล่าวอวยพร น้ำตาคลอ ทำเอาแขกเหรื่อน้ำตาคลอกันทั้งงาน..แต่เจ้าสาวอย่างฉัน มีเหรอจะร้องไห้..ช่างภาพอาสาทั้งหลาย พยายามมากที่จะจับช๊อตที่เจ้าสาวร้องไห้น้ำตาแตกด้วยอารมณ์ซาบซึ้ง..แต่ไม่มีซะหรอกฉันเอาแต่นั่งหัวเราะขำเพื่อนๆของเจ้าบ่าวต่างหาก..

หลังจากถูกบังคับให้เปิดฟลอร์เต้นรำไป(อย่าเรียกว่าเต้นเลย เรียกว่าย่างเท้าจนจบเพลงดีกว่า เจ้าสาวในสภาพผ้าซิ่นจีบหน้านางรองเท้าส้นสูงย่างเท้าช้าถึงช้ามากบนสนามหญ้า..ไม่ล้มหน้าคว่ำก็เก่งมากแล้ว)ฉันก็ถูกปล่อยให้มาคุยกับแขกบ้าง จิบน้ำกินบ้าง พักผ่อน..แม้วันนี้จะไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันตั้งแต่เช้า..แต่ความรู้สึกอยากอาหารตอนนี้มันไม่มีเลย..ตอนนี้ฉันมานั่งกลางวงอีกครั้งแต่แอบเห็นในมือของแขกทุกคนถือกระดาษเอสี่สีขาว..จังหวะเพลงดังขึ้นจากเครื่องเสียงแต่เสียงร้องมันมาจากแขกทุกคนที่มาร่วมงาน..พวกเขาร้องเพลงให้ฉัน..เนื้อร้องบางส่วนถูกดัดแปลงเป็นชื่อฉัน..กระดาษแผ่นหนึ่งยื่นมาให้ตรงหน้า มันคือคำแปลของเพลงนี้ ที่เพื่อนๆอุตส่าห์แปลมาจากกูเกิ้ลเอามาให้ฉัน ให้ฉันจะได้เข้าใจว่าเพลงนั้นหมายถึงอะไร..

จบเพลงเซอร์ไพรส์ของขวัญสุดประทับใจสามเพลงรวดไปแล้ว ต่อไปคือ แขกทุกคนทยอยมาจุ๊บแก้มบ่าวสาวและสวมกอด..ฉันยังจำนาทีที่แม่สามีมาจูบแก้มแล้วกอดฉันแน่นๆ แล้วบอกว่าตอนนี้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ..แล้วแม่ก็น้ำตาไหลพรากจนฉันต้องลูบหลังปลอบใจอยู่นาน..ฉันไม่ได้ร้องไห้ซึ้งใจออกมาให้ใครเห็น..ฉันแอบประทับใจกับสิ่งที่ทุกคนทำให้อยู่เงียบๆและตื้นตันมาก

แขกคนสุดท้ายที่ฉันเดินส่งขึ้นรถออกจากบ้านบนเนินเขาไปตอนตีสามครึ่ง..ฉันในสภาพสังขารเน่าในชุดไทยจักรีหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวแนวสปอร์ต..หน้าตาที่โบกด้วยเครื่องสำอางฝีมือตัวเองตั้งแต่ก่อนเที่ยง ตอนนี้มันเหลือแต่คราบดำๆ แห้งๆของมาสคาร่าและอายไลนเนอร์เท่านั้น ทรงผมรังนกนั่นอีกหลุดลุ่ยกระเซิงมาตั้งแต่เที่ยงคืน..ฉันดีใจที่พ่อตัวดีพากลับมาถึงบ้านก่อนฟ้าสว่าง ฉันคิดถึงห้องหอรอรักเต็มทีแล้ว..แทบทนรอไม่ไหว

เปิดประตูห้องหอได้..ฉันไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นกระชากมือเจ้าบ่าวแบบอารมณ์สาวหน้ามืดอารมณ์เปลี่ยว..แต่ช้าก่อนงานนี้ยังไม่มีเลิฟซีนนะ..กว่าฉันจะให้พ่อตัวดีช่วยแกะบรรดาเข็มกลัดและตะขอต่างๆให้หลุดพ้นจากพันธนาการชุดไทยสุดสวยนั่นก็นานพักใหญ่..ต่อด้วยกิ๊ฟและปิ่นต่างๆ นานา ที่ช่างบรรจงเสียบมาให้อีกร่วมร้อยตัว ฉันนั่งสางผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง..ข้าวสารร่วงลงมาอีกเป็นกำๆ..

พอสะสางสังขารแต่ไร้ซึ่งการชำระล้างใดๆพอให้นอนได้เท่านั้น เราสองคนก็อดทนห้ามใจกันและไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว..เรากระโจนซุกตัวใต้ผ้าห่มนวมหนาๆนั่นแล้วหลับตาลงแบบไม่อายฟ้าอายดินหรือผีสางนางไม้ที่ไหนอีกแล้ว..ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรอีกต่อไปแล้ว..ถ้าคืนนี้นังตัวดีจะกรน จะผายลมอะไรก็ตามใจเถอะ ฉันปิดประสาทสัมผัสทั้งหมดหลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่รับรู้อะไรแล้วทั้งนั้น..

เหมือนฟ้าแกล้ง..แสงแดดแยงตา พร้อมกับเสียงแม่และน้องสาวและบรรดาเจ้าตูบแว่วๆมาจากห้องนั่งเล่น..เหลือบดูนาฬิกา..แปดโมงแล้ว..ฉันควรจะลุกมาจัดการสังขารเน่าของตัวเองให้พร้อมที่จะเผชิญหน้าชาวโลกได้แล้ว.. ทำไมนะ พระอาทิตย์จะตื่นมาทำงานสายๆบ้างไม่ได้หรือไง..หนูเหนื่อยค่ะ..หนูจะนอน..ฮือๆๆ

No comments:

Post a Comment