Thursday, February 24, 2011

ถึงคราวเสียเลือด

ฉันมีอาการไข้ตอนเย็นๆ ปวดหัว เจ็บคอ ลามปามถึงมีอาการคลื่นไส้มาหลายวัน..สันนิษฐานแรกคือ  จากการที่แอบซดเก็กฮวยเย็นเจี๊ยบแต่ดันใส่น้ำแข็งลงไปอีก..โรคจิตนิดหน่อย ติดน้ำแข็งมาก ได้กินเมื่อไร ชื่นใจเมื่อนั้น..ทุกครั้งทีมีอาการแบบนี้ ฉันหาทางทุเลาอาการตัวเองด้วย paracetamol และIbuprofen ตามที่หาได้ เพราะทั้งสองตัวมีฤทธิ์ลดไข้ทั้งคู่  ส่วนตัวหลังดีกว่าหน่อยที่ลดอาการอักเสบได้ด้วย...เป็นๆ หายๆ อยู่หลายวัน จนบอกตัวเองให้เลิกกินน้ำแข็ง..แต่คราวนี้อาการก็ไม่ได้ดีขึ้น เริ่มเจ็บคอและปวดหัวตลอดเวลา และมีไข้ตามมาในที่สุด บวกกับอากาศหนาวๆ ตอนเดินออกไปเรียน ทำให้ร่างกายฉันล้าอยู่เงียบ แต่แปลกว่าถึงเวลานอนจะนอนไม่หลับ  ตื่นมาดูนาฬิกาทุกชั่วโมง..

สองวันต่อมาระหว่างที่เรียนภาษาผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์  เมื่อยคอมากเลยจัดการนวดเส้นแก้เครียดไปพลางๆ ..แต่เอ๊ะ ลำคออวบของฉัน..ไหง มันมีก้อนนูนๆ ใต้กกหูทั้งสองข้างเลยอ่ะ โตประมาณลำไยกะโหลกเชียงใหม่เลยทีเดียว...เจ็บคอมากขึ้น ไข้เริ่มสูงจนขอบตาร้อน..ยาแก้ไข้ไม่ช่วยอะไรแล้ว ได้แต่นอนรอออเซาะพ่อตัวดีอย่างเดียว..จนสามทุ่มสามีเดินเข้ามาในบ้านเห็นเมียแก่นอนเป็นศพอยู่..เลยเดินมาดูอาการ แรกๆก็ดูเฉยๆ เพราะว่าฉันเป็นไข้มันเกือบทุกเย็น จนเขาเริ่มชิน แต่พอเห็นลำไยกะโหลกที่คอเท่านั้นแหละ..ตาทีโตมากอยู่แล้วเบิกโพล่งเป็นไข่ห่าน..ลนลานไปคว้าโทรศัพท์ไปหาหมอทันใด..เนื่องจากดึกแล้ว เลยได้แต่ซักถามอาการ..ระหว่างนั้นฉันเองที่เคยมีประสบการณ์เป็นแบบนี้มาตั้งแต่อยู่เมืองไทย คิดว่าตัวเองน่าจะต่อมน้ำเหลืองอักเสบ..เลยพยายามบอกสามี แต่ดูเหมือนเขายังไม่คลายใจ..แพทย์ปลายสายบอกว่าให้หาพาราฯ กรอกปากเมียคุณไปก่อนนะครับ  รุ่งเช้่าก็ไปพบแพทย์นะครับ..รับรองได้ว่า คืนนี้ ยายแก่นั่นยังอยู่ดี ไม่ถึงตายแน่ๆ

แต่พาราฯหมดบ้านไปหลายวันก่อน ฉันเลยกินไอบูโพรเฟนไปพลางแล้วรีบเข้านอน..เหมือนเดิมคือ เพลียจริงแต่นอนหลับไม่สนิท..ข่มตาหลับมันไปจนเช้า..แล้วรีบสะกิดคุณฝรั่งให้โทรไปนัดหมอให้หน่อย..แต่ก่อนไม่อยากไปหาหมอเท่าไร ติดนิสัยจัดยาให้ตัวเอง แต่ตอนนี้อยากให้ลำไยสองก้อนนั่นฝ่อไปเร็วๆ เลยไม่งอแงที่จะไปพบหมอเหมือนเคย..พ่อตัวดีวางสายลงแล้วบอกว่า หมอให้ไปตอนสี่โมงครึ่งรอไหวมั้ย..ฉันพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบ..พ่อตัวดีบอกว่าเนื่องจากวันนี้ฉันไม่สบาย งั้นไม่ต้องเข้าครัว เราออกไปกินข้าวกลางวันข้างนอกแล้วกัน..ไปร้านอาหารจีนกัน ..ดีเหมือนกันไม่ต้องทำกับข้าว แต่คนที่ดูจะมีความสุขมากกว่าเหมือนจะเป็นสามีที่ยิ้มระรื่นออกนอกหน้า..แกเบื่อรสมือฉันก็บอกกันตรงๆ ก็ได้นะ..ชิ

ฉันสวาปามได้น้อยกว่าปกติมาก และเริ่มอาการแย่ลงตั้งแต่ออกจากร้านอาหาร หนาวแบบไม่มีเหตุผลทั้ฃที่วันนี้อากาศดี แดดจ้าฟ้าใส แต่นังนี่หนาว..พร้อมมีอาการคลื่นไส้ พะอืดพะอมแบบบอกใครไม่ได้..ฉันได้แต่นอนรอเวลาพาร่างไปหาหมอแต่ไม่ยอมกินยา เพราะว่าอยากให้หมอเห็นอาการทั้งหมด..จนถึงเวลาไปหาหมอ..สามีไม่รู้กาละเทศะให้ฉันหัดบอกอาการตัวเอง เหอะ..ประมาทเมียอีกแล้วนะคะ..ฉันเตรียมมาหมด..J'ai mal a la tête et groche aussi. J'ai une grippe. ฉันปวดหัวเจ็บคอและมีไข้ค่ะ..หมอคนสวยแอบชมว่าพูดเก่งขึ้นเยอะ..นังตัวดีรีบแทรกเลยว่า เริ่มไปเรียนแล้วครับเลยพูดได้เยอะขึ้น..นังนี่  ที่อย่างนี้รีบแทรกมาเชียวนะ..คุณหมอเชิญให้เข่้าไปด้านในที่เตียงคนไข้ แล้วบอกให้แก้ผ้า..งานนี้เลยใช้เวลานานหน่อย..เสื้อกันหนาว เสื้อสเวตเตอร์ เสื้อยืด ลองจอน ถอดออกหมด เหลือแต่บราตัวจิ๋วๆแต่เสริมฟองน้ำอย่างหนาปิดน้องแฝดของฉันไว้เท่านั้น...อายจัง

หมอให้นอนลงแล้วเอาเครื่องมืออะไรมาสแกนตามหน้าผาก ขมับ หู..อ๋อ เทอร์โมมิเตอร์แบบใหม่นี่เอง..วัดความดัน..ผลออกมาคือ ความดันสูง หมอแอบถามว่ามีน้องรึเปล่า..ฉันรีบบอกว่าไม่มีค่ะ..ทานยาคุมอยู่ หมอขอดูคอ..คอแดงได้ใจ หมอบอกแบบนั้น คราวนี้เลยเอาเครื่องฟัง..สเตรปโตรสโคปมาแปะๆฟังๆหมดเลย ไหปลาร้า ช่องท้อง หลัง ไต..แล้วหมอก็เรียกไปชั่งน้ำหนักแล้วบอกว่า เสร็จแล้วใส่เสื้อผ้าได้..ใช้เวลาอยู่นานในการประกอบร่าง ได้ยินเสียงหมอเจื้อยแจ้วกับพ่อตัวดีแต่ฟังไม่ค่อบถนัดนัก..ฉันตามออกมานั่งข้างๆสามี หน้าโต๊ะคุณหมอเหมือนเดิม..หมอบอกว่า ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ แต่ไข้สูงมาก 40 แน่ะ แถมความดันสูง เพราะฉะนั้นหมอจะให้ไปเจาะเลือด ตรวจฉี่ เพราะความดันสูงมากจนน่ากลัว..แต่ฉันก็บอกไปอีกว่า ตอนอยู่เมืองไทยก็สูงเพราะว่าเลือดจางและช่วงนี้นอนไม่หลับ ตื่นทุกชั่วโมงเลย..แต่หมอไม่ใจอ่อน บอกให้ไปตรวจมาจะได้แน่ใจ อวบๆ ปลิ้นๆแบบนี้คลอเลสเตอรอลน่าจะสูง..วันนี้ให้แค่ยาลดไข้ แก้ไอแล้วก็สเปรย์พ่นจมูก ส่วนยาฆ่าเชื้อไม่ให้..ปล่อยให้ภูมิร่างกายรักษาตัวเอง..มีงี้ด้วย ไม่นะ..เขาจะเอายาฆ่าเชื้ออ่ะ..หมอส่งใบให้ไปตรวจเลือด ตรวจฉี่ แล้วบอกว่า หัดออกกำลังกายบ้างอะไรบ้างนะ..จะอืดไปวันๆแบบนี้ไม่ดีนะคะ.ฮือๆๆ หมอใจร้าย

ออกจากคลีนิกหมอก็ไปร้านขายยาเพื่อเอายาตามใบสั่งของหมอ..ฉันแอบถามพ่อตัวดีว่าแล้วจะไปตรวจเลือดที่ไหน..พ่อตัวดีเลยบอกว่าเดี๋ยวพาไป เพราะพรุ่งนี้ฉันต้องมาเองคนเดียว..เขามาด้วยไม่ได้แล้ว ต้องทำงาน...อ้าวเฮ้ย..ให้มาเองจริงๆเหรอ..นังใจร้าย..ฉันถูกลากให้เข้ามาในแลปตรงข้ามซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ฉันมาเป็นประจำ แต่สายตาหาได้ชำเลืองมองแลปแห่งนี้ไม่..ก็ไม่น่าสนใจนี่..ซุปเปอร์มีอะไรดึงดูดกิเลสมากกว่าอ่ะ..พ่อตัวดีไปติดต่อที่ประชาสัมพันธ์บอกว่า หมอสั่งให้ฉันมาตรวจเลือดแต่ฉันพูดฝรั่งเศสไม่ได้ พอจะมีใครพูดอังกฤษได้บ้างมั้ย..สรุปว่าไม่มี..ฉันได้กระบอกเก็บตัวอย่างปัสสาวะมาอันหนึ่ง ใบสั่งตรวจเลือดและปัสสาวะจากหมอถูกยื่นกลับมาให้พร้อมกัน แต่มี post-it สีแสบตาเขียนข้อความอะไรบ้างอย่าง
..แอบถามสามี..ฝรั่งตอบว่า อ๋อ เขาเขียนไว้ว่าเนื่องจาก vital card ของฉันยังอยู่ระหว่างดำเนินการ..อีกนัยหนึ่งก็คือ เคสของฉันต้องจ่ายเงินสดเท่านั้น..เหอะ นึกว่าจะเขียนอะไรพิเศษแบบว่าช่วยเหลือเคสของฉันเป็นพิเศษ ดันเขียนเตือนกันเองว่า อย่าลืมเก็บเงินนังกะเหรียงนี่ซะงั้น

เจ้าหน้าที่สาวสวยบอกให้ฉันมาเจาะเลือดพรุ่งนี้ 08.35 น.  พร้อมเอาตัวอย่างปัสสาวะมาส่งด้วย..หลังเที่ยงคืนห้ามทานอะไรอีก..แม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไม่ได้...ฉันไม่ค่อยกลัวการมาเจาะเลือดที่นี่เพียงคนเดียวในวันพรุ่งนี้นัก เพราะว่าทำเรื่องไว้แล้ว แค่ยื่นเอกสารคงเข้าใจกันได้ไม่ยาก ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ..

เช้าวันต่อมา หลังจากจัดการเก็บฉี่เรียบร้อย ฉันก็ไปที่แลปไปเจาะเลือด..ไปติดต่อเคาน์เตอร์ สาวน้อยคนสวยก็รับกระบอกเก็บปัสสาวะของฉันไปแล้วบอกว่า เรียบร้อยแล้ว มารับผลได้ตอนเย็น ฉันถามออกไปว่ากี่โมง..เธอเลยบอกมาว่า หกโมงเย็น..ฉันหงึกๆ หงักๆ พยักหน้ารับคำ แล้วเตรียมเดินออกมา..แม่สาวสวยตะโกนเรียกต่อว่า..ฉันต้องเจาะเลือดด้วยนี่..งั้นนั่งรอก่อน..รอ รอ รอ พักเดียวได้ยินเสียงเรียกชื่อ มาดาม..มีรีเย่ร์..เกือบจะลุกแต่ว่าไม่ใช่นามสกุลพ่อตัวดีนี่ เลยทำหน้ามึนนั่งรอต่อไป..ระหว่างนั้นมีคุณลุงคนหนึ่งมารอเจาะเลือดเหมือนกัน..ก้นที่ยังไม่ทันหย่อนลงนั่งของคุณลุงก็หมดโอกาสนั่งรอ เพราะว่ามีเสียงเรียกให้ไปเจาะเลือดได้เลย..อ้าว..งั้น อีมาดาม มิริเย่ร์เมื่อกี้ ก็เรียกอิชั้นนะสิ ..

มาดาม...เอาละ คราวนี้ชื่อจริงเสียงจริง ฉันรีบเดินตามไปหาต้นเสียงที่เป็นหญิงสูงวัยร่างท้วมๆ สวมแว่นใส่เสื้อกรานด์สีขาว..ที่สำคัญหน้าหงิกมาก..เธอบอกให้ฉันเดินตามมาในห้อง  กำลังจะหย่อนสะโพกทอร์นาโดลงนั่งบนเก้าอี้นวมสีแดงข้างโต๊ะทำงานของเธอ..ป้าหน้าหงิก ก็บอกให้ฉันไปปิดประตู และถอดเสื้อกันหนาวออกแขวนไว้ที่ตะขอข้างกำแพงก่อน..ค่อยมานั่ง..จ๊ะ ป้า กลัวแล้วจ๊ะ..ฉันถลกแขนเสื้อข้างขวาขึ้นแล้วนั่งลง  แขนขวาพาดตรงเบาะรองแขนพอดี..ป้าไม่ทักทายอะไรทั้งสิ้น  จัดการเอาสายยางมารัดแถวต้นแขน..แล้วจ้องจะจิ้มอย่างเดียว..ความที่เป็นคนกลัวเข็ม ฉันรีบหันหน้าออกไปอีกทาง ไม่กล้าดู เจ็บจื็ดเลย ตอนป้ากดปลายเข็มลงที่เนื้ออ่อนๆของฉัน...ป้าส่งเสียงอะไรมาไม่รู้บอกเกี๋ยวกับมือ ฉันเลยยิ่งกำมือแน่นขึ้น เลือดจะได้สูบฉีดดี ป้าจะได้ทำเสร็จเร็วๆ

ที่ไหนได้ ป้าเอาปากกามาเขี่ยๆที่มือ บอกว่าไม่ต้องกำมือ..อ้าวเหรอ..ได้ยินแต่กำมือ กำมือ..เสียเลือดให้ป้าไป 3 หลอด ..ป้าถึงพอใจดึงเข็มออกแล้วเอาสำลีมาวางปากแผลให้ แล้วสั่งให้ฉันกดไว้..อารามกลัวอีป้า..ฉันรีบกดแล้วรีบลุกขึ้นยืนทันทีที่เสียงป้าดังมาว่า เสร็จแล้ว..คราวนี้อีป้าเลยส่งเสียงรัวเร็วมาอีกว่า...อย่าเพิ่งไปมาติดเทปที่สำลีก่อนจะได้ไม่ต้องคอยกดไว้เอง..ฉันเอ่ยของคุณอีป้าไปอย่างโล่งใจว่าหมดเรื่องแล้ว..หยิบเสื้อกันหนาวมาใส่ อีป้าก็เดินไปเปิดประตูห้องแล้วเดินจากไปพร้อมเสียง au revoir โอวัวร์ลอยตามมา...เอ่อ ป้ารีบไปไหนเหรอค่ะ หนูจะพยายามไม่มารบกวนป้าอีกนะคะ

กลับมาสวาปามอาหารเช้าแล้วเอ้อระเหยอยู่กับบ้านอย่างสบายใจ..รอจนเย็นฟ้ามืด เดินไปเอาผลตรวจที่แลป..นึกว่าจะเจอเจ้าหน้าที่คนเดิม..อ้าว พี่คนนี้จะเข้าใจที่ตรูพูดมั้ยเนี่ย..เอาหว่ะกัดฟันพูดออกไป Bonsoir Madame. Je voudrais prendre  mon sang et urine examine. บงซัวร์ มาดาม. เฺฌอ วูเดร์ พร้องด์ มง แซง เอ อูรีน เอกซามัง..สวัสดีค่ะ คุณพี่  หนูมารับผลตรวจเลือดกับปัสสาวะของหนูค่ะ..พ่นออกไปตามไวยากรณ์นรกแตกของฉัน..คุณพี่คนสวยถามว่ามีเอกสารจากมาหมอมาด้วยมั้ย..ฉันบอกว่าไม่มี..ตอนเช้าให้ไว้กับที่นี่ไปแล้ว..เธอคงฟังฉันเข้าใจแค่ครึ่งเดียว เพราะเธอตอบมาแต่ว่า ทีหลังต้องเอาเอกสารมานะ แล้วถามว่าวันจันทร์จะมาตอนเช้ากี่โมงดี..ฉันเริ่มเห็นท่าไม่ดี พยายามบอกเธอว่า ฉันมาแล้วตอนเช้า à matin เธอก็บอกว่า ก็ใช่ไงมาวันจันทร์ตอนเช้าไง..ท่าจะคุยกันเมื่อยมืออีกแล้ว

นง นง.แฌ เดจา เฟ non non..J'ai déja fait ไม่จ๊ะ หนูทำไปแล้ว.. เตรียมจะถลกแขนให้เธอดู..สวรรค์โปรดเธอเข้าใจแล้ว..ถามชื่อฉันแล้วหันไปค้นผลเลือดมาให้ฉัน พร้อมแจ้งยอดเงินที่ต้องจ่าย..สี่สิบนยูโรหลุดลอยไป เดินเอาผลเลือดกลับไปเปิดอ่านที่บ้าน..ทุกอย่างปกติ ไขมันไม่สูง HDLเกินเกณฑ์  LDL ต่ำกว่า Triglyceride พอดีๆ..สงสัยไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย น้องคนนี้เลยมีน้อยไปหน่อย  เม็ดเลือดแดงขนาดเล็กไปหน่อย นี่แหละสาเหตุที่ฉันมีภาวะเลือดจาง..ความดันมันเลยสูง..ส่วนน้องไตยังทำงานปกติ..เฮ้อ โล่งอก..จนสามีกลับมาบ้านถามว่าไปตรวจเลือดมาเป็นไงบ้าง..ฉันบอกว่า ปกติดี แค่เลือดจางเฉยๆ..ฉันแอบวางใจ แต่ไหงนังคนข้างๆ เห็นเป็นเรื่องราวใหญ่โต..จะลากฉันไปหาหมออีกจะได้เอายามากินบำรุงเลือด..โอ๊ยยย ไม่แล้วค่ะ..แข็งแรง สมบูรณ์ มิเป็นโรคแล้วค่ะ สามี..หายแล้ว..เดี๊ยนเบื่อหมอแล้วค้าาา

Wednesday, February 23, 2011

วัลลี..ส่งเงินกลับบ้าน

ฉันเพิ่งวางโทรศัพท์ที่คุยกับแม่อยู่นานร่วมสองชั่วโมง นอกจากสารทุกข์สุขดิบที่ไถ่ถามกันตามปกติ ก็มีเรื่องหนักอึ้งให้เครียดตามมา..แม่ถามว่าพอจะมีเงินเก็บสักก้อนให้แม่มั้ย..แม่จำเป็นต้องใช้เงินภายในอีกอาทิตย์ข้างหน้า..วินาทีที่แม่ถามฉันสัมผัสได้ว่า แม่คาดหวังไว้แล้วว่าฉันน่าจะช่วยเหลือแม่ได้เหมือนเคย..หากเป็นตอนที่ฉันยังมีงานทำ มีเงินเดือนผ่านเข้าบัญชี..ฉันคงไม่รีรอที่จะช่วยแม่อย่างแน่นอน..

แต่ ณ เวลานี้ ฉันแปรสภาพมาเป็นแม่บ้านไร้เงินเดือนมาหลายเดือนแล้ว..นั่งรวบรวมยอดเงินจากบัญชีต่างๆ นานา ก็ยังไม่พอกับจำนวนเงินที่แม่จำเป็นต้องใช้  ด้วยความที่ฉันเคยให้เงินแม่ทุกเดือนตั้งแต่เงินเดือนก้อนแรกจนมาถึงเงินเดือนก้อนสุดท้ายก่อนที่จะลาออกเพื่อย้ายถิ่นฐานมาที่เมืองน้ำหอม ร่วมสิบปีที่ให้แม่มิได้ขาดจนเป็นนิสัย..  เมื่อถึงเวลานี้การปฏิเสธที่จะไม่ให้เงินแม่จึงเป็นเรื่องลำบากใจมากที่จะทำแม้ว่าเงินตัวเองก็มีไม่พอ..ฉันไม่อยากให้แม่รู้สึกว่าชีวิตฉันล้มเหลวหรือตกต่ำเหมือนกับโยนอนาคตดีๆทิ้งไว้ที่ไทย แล้วมาตกอับไกลถึงต่างแดน..

ตลอดสายจนถึงมืดระหว่างที่รอพ่อตัวดีกลับมาบ้าน  ฉันครุ่นคิดว่าจะไปหาเงินที่ไหนมาเพิ่มให้ครบตามจำนวนที่แม่ขอมา..จนสามีมาถึงบ้านฉันก็ยังไม่กล้าบอกเขาเรื่องนี้..ดูจากสีหน้าท่าทางที่เหนื่อยอ่อน มันไม่ใช่เวลาที่ดีนักที่จะเอาปัญหาไปโยนใส่..บ้านควรจะอบอุ่นและผ่อนคลาย..แบบสบายๆ..ฉันพยายามเก็บอาการแต่หารู้ไม่ว่า แอบเหม่อจนคุณฝรั่งสงสัยและถามออกมาเองในที่สุด..

ฉันตัดสินใจบอกไปหลังจากที่พ่อตัวดีตื้อถามอยู่นาน..เขาบอกว่า แววตาฉันมันดูออกว่ามีอะไรแน่ๆ  เรื่องจากทางบ้าน..ชัวร์..นึกว่ามีแฟนเป็นอับดุล ถามได้ตอบได้มีอะไรรู้หมด...หลังจากเล่าให้ฟังสามีดึงฉันได้กอด..แถมมีเขกหัวเน้นๆมาสองทีว่า..มีอะไรก็ให้บอก อย่าเก็บไว้คิดเอง เออเอง เครียดเองคนเดียว..ฉันบอกว่าพ่อตัวดีไปว่า ฉันมีเงินไม่พอให้แม่แต่เป็นตายร้ายดี ฉันก็ต้องช่วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหาเงินที่ไหนมาเพิ่ม ฉันรู้ว่าพ่อตัวดีก็มีไม่พอหรอก ลำพังค่าใช้จ่ายจากงานแต่ง เอกสาร ตั๋วเครื่องบิน ต่างๆนานา ที่จ่ายไปเพื่อให้เราสองคนเริ่มชีวิตคู่..มาถึงตอนนี้แค่ไม่ติดลบก็เก่งมากแล้ว..ฉันจึงไม่อยากบอกให้สามีมาเครียดกับฉันไปใหญ่..

พ่อตัวดีเปิดบัญชีตัวเองดูแล้ว ก็เหมือนอย่างที่ฉันรู้ว่า เขาเองก็มีไม่พอ..มันเหมือนตอกย้ำให้ยิ่งเศร้าไหนจะหาทางช่วยแม่ยังไม่ได้  ไหนจะมาทำให้สามีหน้าเหี่ยวตามไปอีก..เราพากันมุดหัวเข้านอนเพราะไม่อยากทนเห็นหน้าเครียดๆของอีกฝ่าย..นอนไม่หลับจนเกือบสว่าง..แอบหลับไปก่อนสามีออกไปทำงานไม่นาน..จนตื่นมาช่วงสายๆ ทำภารกิจแม่บ้านเหมือนเดิม..จะเอ่ยปากหยิบยืมเพื่อนฝูงก็เกรงใจ  เรามันอยู่ไกล ใครที่ไหนเขาจะเชื่อใจให้ยืม..คิดวนไปมาเหมือนน้ำวนอยู่ในอ่าง..ไม่มีทางระบายออก รอวันเน่าอย่างเดียว..จนพ่อตัวดีกลับมาจากที่ทำงาน เห็นอาการเมียไม่ดีขึ้น..เลยลากให้เดินตามมาในห้องนอน..คนไม่มีกะจิตกะใจจะทำการบ้านหรอกนะ..กลุ้ม เครียดอยู่..

ดิ้นๆ ขัดขืน บ่นกระปอดกระแปดจนสามีแทนทนสะกดอารมณ์ไม่ไหว แทบจะยันติดกำแพง..(อุตส่าห์นึกว่าจะมีแบบตบจูบ ตบจูบ...อารมณ์ยังค้างจากคราวก่อน) หลังจากที่สามีต้องฟังเมียบ่นพรำเรื่องเดิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่พักใหญ่..นายตัวดีก็เดินไปหยิบซองจดหมายที่อยู่ตู้เสื้อผ้ามายื่นให้ตรงหน้า  ฉันเอื้อมมือไปรับมาแบบงงๆ เปิดออกดูข้างในมีเงินสดและเช็คเงินสดอีกหลายใบ..ฉันหันไปถามพ่อตัวดีแบบงงๆ ว่า นี่เงินอะไร..เขาตอบกลับมาว่า เป็นเงินที่ได้เป็นของขวัญแต่งงาน..เขาไม่ได้บอกฉันเรื่องนี้เพราะคิดไว้ว่าจะเก็บเงินนี้ไว้ใช้ยามจำเป็น..ซึ่งตอนนี้เขาก็คิดแล้วว่ามันน่าจะถึงคราวจำเป็นแล้ว..เพราะทนดูสภาพเมียจิตตกแบบนี้ไม่ไหว ครั้นจะห้ามไม่ให้ฉันทำอะไรเกินตัว ตัดใจบอกแม่ไปว่าไม่มีเงิน  พ่อตัวดีก็รู้ดีอยู่แล้วว่า คนแบบฉันทำไม่ได้แน่นอน  เพราะฉะนั้นเอาเงินนี้ไปให้แม่ก่อน..เราสองคนยังหนุ่มยังสาว เรี่ยวแรงกับสองมือยังมี หาเอาใหม่ได้

วินาทีที่ฉันนั่งฟังสามีพูด  มันมีหลายความรู้สึกในใจ..ดีใจที่มีทางออกให้แม่ เกรงใจสามีที่เหมือนเราเอาแต่ปัญหามาให้ ปลื้มใจที่อย่่างน้อยพ่อตัวดีเข้าใจในทุกอย่างที่ฉันเป็น  ..ฉันกอดสามีร้องไห้ออกมาแบบไม่อาย ที่แก่แล้วแต่ทำตัวลืมอายุ  มันเหมือนปัญหาที่ฉันคิดวนๆ อยู่คนเดียว มีเขานี่แหละที่หาทางออกให้ แถมให้กำลังใจเสริมมาอีกต่างหาก..ขอบคุณจริงๆนะที่เข้าใจกัน

รุ่งขึ้นฉันรีบโทรไปบอกแม่ว่ารอก่อนตอนนี้กำลังรวบรวมเงินส่วนที่ยังขาดอยู่จะส่งให้อีกทั้งหมดตามที่แม่ขอภายในพรุ่งนี้เพราะว่า ต้องไปที่ตัวแทนทีรับโอนเงิน.. ระหว่างนั้นฉันหาช่องทางเรื่องการส่งเงินกลับไทยว่า ช่องทางไหน เร็ว และเสียค่าธรรมเนียมน้อยที่สุด..
โอนผ่านธนาคารและไปรษณีย์นั้นตัดออกเป็นอันดับแรก เพราะว่าใช้เวลาอย่างน้อย 3-5 วัน และค่าธรรมเนียมแพง เพราะเสียค่าธรรมเนียมทั้งธนาคารที่นี่ ธนาคารกลางและธนาคารที่ไทย  อีกสองทางเลือกคือ western union และ  moneygram  เป็นตัวแทนให้บริการโอนเงินทันใจทั้งคู่..แต่เท่าที่เปรียบเทียบดู
western union สามารถทำรายการในอินเตอร์เนทได้เลย ใช้บัตรเครดิตจ่ายได้ แต่ค่าธรรมเนียมแพง และโอนได้ครั้งละไม่เกิน 999.99 ยูโร ถ้ามากกว่านั้นต้องไปทำการโอนที่สำนักงานของตัวแทน  ลองเทียบค่าธรรมเนียมระหว่าง 2 ที่  ฉันตัดสินใจเลือก moneygram เพราะค่าธรรมเนียมถูกกว่าครึ่ง..เช่น โอนเท่ากัน 500 ยูโร western union คิดค่าธรรมเนียม 30 ยูโร ส่วน  moneygram 12 ยูโรเท่านั้น..ฉันหาที่่อยู่ของ moneygram สาขาที่อยู่ใกล้บ้านมากที่สุด..จดแล้วรีบยื่นส่งให้สามีดู พยายามออดอ้อนด้วยสีหน้าที่คิดว่าน่ารักที่สุด..เพราะแอบเกรงใจว่าอะไรๆ ก็ต้องพึ่งพาเขาตลอด

เราพากันมาถึงสาขาที่ใกล้บ้านที่สุด..แต่สภาพที่เห็นมันคือร้านขายบุหรี่ร้านหนึ่งที่รับเป็นตัวแทนของ moneygram ด้วยนั่นเอง..พ่อตัวดีบอกสาวน้อยเจ้าของร้านว่าจะโอนเงิน..เธอขอเอกสาร ฉันยื่นพาสปอร์ตส่งให้ พร้อมเขียนชื่อผู้รับเงินปลายทางส่งให้เธอไป..ฉันถามว่าถ้าส่งเงินที่นี่จ่ายด้วยบัตรเครดิตได้มั้ย..สามีเป็นล่ามแปลให้แล้ว บอกต่อมาอีกทีว่าได้..แต่คราวนี้เงินสดมีในมือแล้วจ่ายเลยดีกว่า..ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็เรียนร้อย..เธอบอกว่าอีกสิบนาทีแจ้งรหัสรับเงินให้ผู้รับก็สามารถไปขึ้นเงินได้เลย..ฉันรีบโทรไปบอกเพื่อนรุ่นพี่ที่ฉันวานให้เป็นผู้รับเงินปลายทางที่เมืองไทย ให้ไปขึ้นเงินได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขา..ดีว่าตึกที่ออฟฟิตของรุ่นพี่มีไทยพาณิชย์อยู่พอดี เลยไม่เป็นปัญหา..ฉันวานให้เธอเอาเงินทีได้เข้าบัญชีของฉัน เพื่อที่ว่าฉันจะได้โอนให้แม่ในวันนี้เลย

ไม่นานนักฉันก็ได้รับ sms จากรุ่นพี่คนเดิมว่า ภารกิจเสร็จสิ้นทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว..ฉันรีบโอนเงินต่อไปให้แม่ทางอินเตอร์เนท..แล้วโทรไปบอกแม่อีกครั้ง..แม่ดูจะดีใจที่ได้ตามที่หวังไว้..ฉันไม่ได้บอกที่มาของเงินว่าหามาจากไหน ด้วยไม่อยากให้แม่รู้สึกว่าลูกสาวตกอับ หรือคิดผิดที่มาอยู่ต่างแดน..ยังไงฉันก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อแม่อยู่แล้ว..เพราะฉะนั้นให้แม่ดีใจ โล่งใจเรื่องเงินก็พอแล้วสำหรับวัลลีต่างแดนแบบฉัน..

Monday, February 14, 2011

ผจญภัยใกล้ๆบ้าน

หลังจากสามีตัดใจที่จะปล่อยให้ฉันเรียนรู้การใช้ชีวิตที่นี่ด้วยตัวเอง..จากที่เคยห่วงทุกฝึก้าว..มาถึงตอนนี้เหมือนรักหมดโปรโมชั่นยังไงไม่รู้..ฉันต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง..ครั้นป้าจะงัดมุกงอนมาใช้ ข้อหาสามีไม่ไยดี..ก็จะเจอสวนมานิ่มๆ ว่า..เพื่อตัวฉันเอง ลำบากวันนี้ต่อไปจะได้เก่งๆ ดูแลตัวเองได้

ภารกิจวันนี้ที่ฉันต้องไปทำคือ ไปเอาบัตรเดบิตที่เปิดบัญชีไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนที่ธนาคาร หลังจากที่ได้รับจดหมายแจ้งรหัสบัตรมาเรียบร้อยแล้ว..พ่อตัวดีบอกว่าให้ฉันไปคนเดียว เพราะว่าอาทิตย์นี้เขาต้องทำงานทุกวันและจะไม่กลับมาทานข้าวกลางวันด้วยเหมือนเคยเพราะงานเยอะขึ้นและประหยัดน้ำมันที่ขยันขึ้นราคาไม่มีหยุด

ไหนๆ ก็ มาถึงขั้นนี้แล้วจะกลัวอะไรหนักหนา..อย่างน้อยถ้าพูดกะใครไม่รู้เรื่อง..น้องเอมิลีผู้ดูแลบัญชีของฉัน เธอต้องเข้าใจว่าฉันมาทำอะไร..

เดินฝ่าลมหนาวๆที่มีหิมะโปรยลงมาบางๆ ไปที่ธนาคารซึ่งมีคนไปรอใช้บริการหนาตากว่าปกติ..ฉันมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอยู่พักใหญ่ ...รอพ่อหนุ่มผมทองคนนี้ติดต่อที่เคาน์เตอร์เสร็จต่อไปก็ถึงคิวของฉันแล้ว...แต่เหมือนพระคุณเจ้ายังเมตตาฉันอยู่..เอมิลี่คนสวยที่วันนี้ไม่ได้มีเวรมานั่งเคาน์เตอร์  เดินมาออกหาเอกสารที่ตู้เอกสารใบใหญ่หลังเคาน์เตอร์พอดี..ฉันพยายามส่งยิ้มทักทาย..นางฟ้าคนงามหันมาเห็นพอดี..เราทักทายกันนิดเดียว..(นิดเดียวจริงๆ..คือ บงชู่ว์..นอกเหนือจากนี้ป้าพูดไม่ได้แล้ว)  เอมิลี่ก็ชิงถามฉั
นก่อนว่ามารับบัตรเดบิตเหรอ..ได้รับจดหมายแจ้งรหัสจากธนาคารแล้วใช่มั้ย..

ทักษะการฟังล้ำหน้าการพูดอยู่มาก  ฉันจีงทำได้แต่พยักหน้าตอบ หวี หวี ออกไปในทันที..เอมิลี่เชิญฉันเข้าไปในห้องทำงานของเธอ..เธอยื่นซองเอกสารที่จ่าหน้าเป็นชื่อชั้นมาตรงหน้า..แกะออกมาคือบัตรเดบิตของฉันเอง..ชื่อบนบัตรเป็น มาดาม..นามสกุลสามี ต่อด้วยนามสกุลของฉันแล้วตามด้วยชือของฉัน..แต่ด้วยความที่นามสกุลกินดิจิตไปซะเยอะ..ชื่อของฉันเลยโผล่มาได้แค่4 ตัวอักษร..ไม่คุ้นชื่อตัวเองจริงๆ..ฉันเซนต์ชื่อลงที่ด้านหลังบัตร..เอมิลี่ส่งซองหนังใส่บัตรมาให้ พร้อมบอกว่า ก่อนที่จะเอาบัตรไปใช้ต้องทำการactivated บัตรก่อน ตามคำแนะนำที่ให้มาในซองเอกสารนั่น..เอาละสิ..ทำไงดี เรื่องใหญ่ด้วยเกิดป้าทำอะไรไปเองจนต้องสูญเงินไปหมดคงไม่ดีแน่.. ฉันที่ยังไม่เข้าใจนักว่าจะทำการ activated บัตรยังไง เพราะว่าอยู่เมืองไทยบ้านเรา รับมาจากมือพนักงานธนาคารก็ใช้ได้เลย..ส่วนบัตรเครดิตก็โทรเข้าลูกค้าสัมพันธ์ ไม่ได้ยุ่งยากหรือซับซ้อนมากนัก..แต่ที่นี่ไม่เคย แถมดูท่าจะไม่เหมือนบ้านเราด้วย..ฉันบอกเอมิลี่ไปว่าถ้าฉันทำไม่ได้ หรือไม่เข้าใจ จะให้พ่อตัวดีโทรมาถามเอมิลี่อีกทีแล้วกัน..เอมิลี่ยิ้มรับอย่างเข้าใจ..ฝรั่งเศสแบบไทยแลนด์จ๋าของฉัน

ออกจากธนาคาร..ฉันเดินไปที่ไปรษณีย์เป็นภารกิจถัดไป..ฉันต้องไปส่งจดหมายลงทะเบียนไปให้ OFII เพื่อขอให้พิจารณาเรื่องคอร์สเรียนภาษาของฉันอีกครั้ง หลังจากที่ตัดสิทธิ์ไม่ให้คอร์สเรียนภาษาเพียงเพราะว่าฉันมีใบประกาศรับรองความรู้ทางภาษา(ใบสีฟ้า) ทีได้จากสถานฑูตในไทยตอนไปขอวีซ่าระยะยาว..จดหมายน้อยที่ถืออยูในมือได้รับการช่วยเหลือจากหลายคนมาก พ่อตัวดีเขียนให้ แต่แอบใส่กฎหมายว่าด้วนสิทธิ์การเรียนภาษาของชาวต่างด้าวตามที่เพื่อนที่เป็นตำรวจหาข้อมูลมาให้..และได้ที่ปรึกษาคนสำคัญ คือ คุณตาของพ่อตัวดีที่โทรปรึกษาเพื่อช่วยเรียบเรียงประโยคให้สละสลวยและเนื้อความไม่ดุดัน จนกลายเป็นข่มขู่โอฟี่ตามอารมณ์ของพ่อตัวดีจนเกินไป..ฉันรู้สึกว่าตัวเองสร้างปัญหาให้คนอื่นมาเยอะแล้ว..ตอนนี้อะไรทำได้ฉันต้องลองทำดูด้วยตนเอง

ฉันออกมาจากไปรษณีย์พร้อมสำเนาใบส่งหมายแบบลงทะเบียน..ยังนึกขำว่า คนแถวนี้คงเคยเห็นหน้าฉันมาบ้างแล้ว เลยพยายามที่จะช่วยเหลือฉันเต็มที่..พูดไม่ได้ ฉันก็อาศัยเขียนให้ดูจนเข้าใจกัน..เพราะว่าทำการบ้านก่อนออกมาจากบ้านแล้วว่า คำนี้พูดว่าอะไร จดใส่กระดาษมาอย่างดีเลย google tranduction ช่วยคุณได้..กลับมาถึงบ้านแบบภูมิใจตัวเองอยู่ลึกๆ ..ที่อย่างน้อยตอนนี้ก็สามารถขจัดความกลัวออกไปจากใจได้แล้ว..จนสามทุ่มสามีเดินทางกลับถึงบ้าน หลังจากจัดแจงอาหารวางบนโต๊ะเรียบร้อย..คุณเธอก็ถามทันทีว่าวันนี้ภารกิจสำเร็จมั้ย..ฉันยืดอกส่งบัตรเดบิตและใบลงทะเบียนให้ดูแทนคำตอบ..พ่อตัวดียิ้มแป้นที่เมียแก่ๆอย่างฉันไม่ได้แก่แล้วแก่เลยจนเกินเยียวยา..แต่พอฉันบอกเรื่อง activated บัตร..รอยยิ้มบานๆนั่นก็หุบฉับทันที..บอกว่าปกติ activated บัตร ก็คือไปทำรายการผ่านตู้เอทีเอ็มโดยใส่รหัสที่ได้มาแค่นั่นแหละ..งั้นพรุ่งนี้ไปทำมาเลยนะ..แล้วไปซื้อยาพาราเซตตามอลที่ร้านขายยามาให้ดูด้วย เพื่อยืนยันว่าฉันใช้บัตรเดบิตได้แล้วจริงๆ...หนอยแนะ..พอบอกไม่ให้ห่วงมาก..นี่หล่อนปล่อยเกาะฉันเลยเหรอไง..ชิชะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฝรั่งตาน้ำข้าวแบบหล่อน จะต้องตะลึงในความสามารถของป้าแก่ๆแบบฉัน..ประมาทฉันเกินไปแล้ว..ถ้าไม่เก่งจริง..ฉันคงไม่หลอกแกมาเป็นของฉันได้แบบทุกวันนี้หรอก..ป้าแอบยิ้มย่องอยู่เพียงลำพังแบบเข้าข้างตัวเองต่อไปเงียบๆ หึๆ

Thursday, February 3, 2011

มหัศจรรย์สัมพันธภาพบนอินเตอร์เนท

ฉันนั่งอ่านเรื่องราวของผู้คนหลากหลายผ่านตัวหนังสือในหน้าเวบไซต์ สื่ออินเตอร์เนทที่มีเครือข่ายครอบคลุมไปทั่ว..เชื่อมโยงให้คนทั่วโลกติดต่อกันได้  ร่วมทุกข์ ร่วมสุข มีการแสดงความคิดเห็น หรือแม้แต่สืบค้นหาหลักฐานความจริงมาตีแผ่ เปิดวิสัยทัศน์อีกด้านให้รับรู้โดยทั่วถึงกัน

เรื่องของรักออนไลน์หรือสายสัมพันธ์สาวไทยกับชายต่างชาติ ฉันไม่ขอพูดถึงเพราะว่า ฉันบอกไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องถูกหรือผิดหากจะจริงจังกับความสัมพันธ์แบบนี้ ..ไม่ได้สนับสนุนหรือคัดค้าน นานาจิตตัง..
ถามว่าจะไปเชื่อถืออะไรได้กับความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ไม่เคยได้เจอกัน อาศัยเพียงพูดคุยผ่านสื่ออิเลกทรอนิกส์ จะไปรักกันดูดดื่มถึงขั้นปลงใจใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์สามี-ภรรยาได้หรือ..ในมุมของฉัน ฉันคิดว่าหากซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองทุกครั้ง และเจอกับคนประเภทเดียวกันที่ไม่หลอกลวงต่อความรู้สึกตนเองเช่นกัน คนสองคนมาเจอกันในโลกอินเตอร์เนท ก็สามารถสานต่อจนเกิดความสัมพันธ์ในโลกแห่งความจริงได้เช่นกัน..แต่หากเริ่มต้นด้วยการเสกสรรปั้นแต่งคำพูดสวยหรูมาหลอกลวงตบตาคู่ต่อสู้ เราก็จะเจอคู่สนทนาไหลลื่นสมน้ำสมเนื้อเช่นกัน..วิจารณญาณเท่านั้นช่วยคุณได้

จากเดิมหากอยู่เมืองไทย นอกจากพ่อตัวดีแล้ว ฉันยังมีกองทัพกำลังใจอื่นๆอีกเพียบ พ่อแม่เอย พี่ๆเอย เพื่อนๆ ไม่ว่าจะสมัยมัธยมเปรี้ยวอมหวาน หรือเพื่อนๆที่ฝ่าฟันมรสุมเอฟมาด้วยกันสมัยมหาวิทยาลัย จนได้เพื่อนซี้ถูกใจในที่่ทำงาน..สารพัดเรื่องราวจะหยิบมาเล่าสู่กันฟัง..เพื่อผ่อนคลายความทุกข์ แชร์ความสุข หรือแม้แต่ระบายความโมโหกับสิ่งขัดใจที่เจอในแต่ละวัน..

เมื่อมาอยู่ไกลบ้าน แน่นอนว่า ตอนนี้ฉัมมีแค่สามีเป็นเพื่อนคู่คิดคนเดียวเท่านั้น..แม้ครอบครัวและบรรดาเพื่อนๆที่เมืองไทยยังคอยอ้าแขนรับฉันอยู่เสมอ แต่ในบางครั้งฉันเองก็มีปัญหาที่ไม่อยากให้เขาเหล่านั้นต้องมารับรู้..ฉันไม่อยากให้พวกเขาต้องมารับฟังปัญหาที่อาจจะดูงี่เง่าแต่ ณ เวลานั้นที่ฉันจิตตก มันคือปัญหาใหญ่ระดับประเทศ บางครั้งฉันเองยังต้องเลี่ยงที่จะไม่พูดเรืองบางเรื่องออกไป เพราะไม่อยากให้ที่บ้านเป็นห่วง..

จากเดิมที่หวังไว้มากว่าจะได้เรียนภาษาอย่างจริงจัง หลังจากไปรายงานตัวขึ้นทะเบียนขอบัตรพำนักแล้ว..เมื่อไม่ได้เป็นตามที่หวัง แน่ละฉันเกิดอาการจิตตก  เครียด  และไม่รู้จะไปพึ่งใครที่ไหน..ฉันย้อนมาพึ่งหน้าเวบไซด์ที่ฉันอาศัยหาข้อมูลเรื่องเอกสารวีซ่าอีกครั้ง..ฉันหวังว่าพี่ๆ เพื่อนๆ ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน อาจจะให้คำแนะนำฉันได้ ว่าเมื่อเจอระบบราชการเมืองน้ำหอมที่ไม่อาจจะหาหลักใดมากำหนดได้ว่า ควรทำเช่นไร เพราะแต่ละท้องที่ยังทำงานไม่เหมือนกัน..ระบบตามใจฉันซะมาก

ฉันเริ่มตั้งกระทู้ถามข้อมูลว่าควรจะทำอย่างไรดีกับปัญหาของฉัน..เพียงไม่นานมีผู้คนมากมายเข้ามากระทู้ทื่ว่าและให้คำแนะนำ แชร์ประสบการณ์หรือให้กำลังใจ..วินาทีที่ฉันนั่งอ่าน ฉันรู้สึกว่าลำคอมันตีบๆ ขอบตาร้อนๆ..คนพวกนี้เป็นใครกัน..ไม่ได้รู้จักกันเลยแม้แต่น้อยแต่ยังเข้ามาร่วมแบ่งปันความทุกข์ของฉันที่ระบายลงไปในหน้าต่างอิเลกทรอนิกส์..จากกระทู้ปรึกษาว่าทำอย่างไรถึงจะได้เรียนภาษา..มาถึงตอนนี้มีเพื่อนๆ พากันมาแนะนำเวบไซต์ สำหรับการเรียนภาษาด้วยตนเอง หรือแนะนำให้ลองไปติดต่อหน่วยงานอื่นๆดู..ฉันได้รับอีเมล์จากพี่ๆหลายท่านที่เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย..เพียงแต่ตัวหนังสือในกระทู้นั่น มันทำให้พวกเขาส่งอีเมล์มาพูดคุยและให่กำลังใจฉันที่ตอนนั้นอาการหนักอย่ในขั้นโคม่า..วนเวียนคิดแต่เรื่องที่ไม่ได้เรียนพาลคิดว่า อนาคตจะทำยังไง จะต้องตกงานอีกนานเท่าไร

พวกเธอทิ้งเบอร์โทรไว้ให้ พร้อมบอกว่ามีอะไรไม่สบายใจโทรมาคุยกันได้เสมอ..ฉันตื้นตันมาก..คนที่ไม่รู้จักกันเลยไม่เคยเห็นหน้า พวกเธอเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องยี่หระต่อตัวหนังสื่อไม่กี่บรรทัดของฉันในหน้ากระทู้นั่นก็ได้..แต่ความห่วงใยและใส่ใจก็ทำให้ฉันได้อีเมล์มาหลายฉบับ..ฉันกดเบอร์โทรทื่ได้มา..ปลายสายเป็นเสียงหญิงไทยใจดี..เธอบอกว่า เธอมาอยู่ที่นีนานแล้วเป็นสิบปี..เธอเห็นอาการฉันไม่สู้ดีนัก เลยอยากให้คำแนะนำและกำลังใจ..เป็นสิ่งที่ไทยด้วยกันจะช่วยกันได้ เพราะเธอเข้าใจดีว่า การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ อาจทำให้ฉันอึดอัดใจและซึมเศร้าได้ง่ายกับการปรับตัวให้ชินกับชีวิตที่นี่

เกือบสองชั่วโมงที่เราคุยกัน..บางท่านอาจจะคิดว่า ง่ายไปหน่อยมั้ย ไม่รู้จักกันจะไปเชื่อใจเขาได้ยังไง..จากน้ำเสียงของสาวช่างเจรจา มันฟังดูอบอุ่นเหมือนเรารู้จักกันมานาน เป็นคนบ้านเดียวกัน ไทยเหมือนกัน มีอะไรก็ต้องช่วยกัน..เธอแนะนำและปลอบใจ ให้กำลังใจ สำเนียงเมืองเหนือและสไตล์การพูดของเธอมันทำให้ฉันรู้สึกอุ่นๆในหัวใจ..ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำตามคำแนะนำของเธอได้ดีเพียงไร หรือสิ่งที่เธอพูดมานั้น มันจะเกินจริงหรือเชื่อถือได้หรือไม่ ฉันรู้เพียงว่าฉันสัมผัสได้ถึงความเอ็นดูที่เธอเพียรพยายามไถ่ถามฉันด้วยความเป็นห่วง..กำลังใจและคำปลอบโยนที่้เธอมีให้คนแปลกหน้าอย่างฉัน..และฉันก็รู้สึกมีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อไป

จากเดิมที่ไม่เคยใส่ใจกับบรรดาฟอร์เวิร์ดเมล์ขอบริจาคเลือด หรือคลิกเพื่อบริจาคให้แก่ผู้ประสบปัญหาต่างๆ..เพราะคิดว่ามันไม่มีจริง..แต่ตอนนี้ฉันพยายามจะช่วยเท่าที่ทำได้ เด็กน้อยที่รอบริจาคเกล็ดเลือด หรือ คุณยายชราที่ต้องเดินเร่ขายแกงหาเงินมาประทังชีวิต แม้แต่หมาน้อยที่ถูกทิ้งรอการถูกจับไปฆ่า หลากหลายชีวิตได้รับความช่วยเหลือจากการบอกกล่าวผ่านหน้าอินเตอร์เนท..วันนี้ฉันใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้มากขึ้น..การคิดถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายผ่านเรื่องราวและคำพูดผ่านตัวอักษร มันช่วยฉันอ่อนโยนและใส่ใจคนอื่นมากขึ้น  เพราะความมหัศจรรย์ของสัมพันธภาพที่ฉันได้ประจักษ์แก่ตัวเองจริงๆในวันนี้เอง