Sunday, January 30, 2011

ระบบขนส่งมวลชนฝรั่งเศส ภาคนี้ขอลองรถเมล์

ฉันนั่งหาข้อมูลการใช้รถเมล์ของที่นี่อยู่นาน..เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่สามีไม่อาจช่วยฉันได้ เพราะเขาก็ไม่เคยขึ้นรถเมล์เช่นเดียวกัน..ตั้งแต่ฉันเริ่มออกไปเรียน ไปติดต่อสถานที่อื่นๆเพียงลำพังแล้ว แม้ว่าจะยังสื่อสารไม่ได้ แต่มันทำให้ฉันกล้าที่จะไปทำอะไรเองมากขึ้น..แต่ก่อนสามีกลัวสารพัด กลัวฉันหลงทาง กลัวฉันถูกล้วงกระเป๋า ก็จะไม่อยากให้ไปไหนคนเดียว..เพราะความเป็นห่วง..แต่เหมือนพ่อแม่รังแกฉัน..ยิ่งห่วง ยิ่งเก็บฉันไว้ในบ้านมากเท่าไร..มันยิ่งทำให้ฉันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากเท่านั้น

ฉันนึกถึงภาพฝรั่งแบคแพคที่เดินเกลื่อนถนนในกรุงเทพ..พวกเขาก็พูดไทยไม่ได้ และแน่ละ คนไทยหลายๆคนก็ไม่อยากพูดภาษาอังกฤษ หรือพูดไม่ได้เลย แต่ฉันก็ยังเห็นฝรั่งพวกนั้นไปไหนมาไหนเพียงลำพังแถมดูจะมีความสุขกับวิถีชีวิตที่ตัวเองไม่คุ้นชินอีกต่างหาก..ความอายความไม่กล้ามันกลายเป็นตัวตัดโอกาสดีๆหลายอย่างในชีวิต ..ฉันเองแม้จะสื่อสารอังกฤษได้ในระดับที่สื่อสารเข้าใจถึงค่อนข้างดี  แต่เมื่อต้องเผชิญหน้าฝรั่งผมทองตาน้ำข้าวเข้าจริงๆ ฉันเองก็ยังตื่นๆ กลัวๆแถมคิดในใจว่า..อี๊ อย่าๆ อย่ามาถามฉัน ฉันกลัวไม่อยากพูด ถึงวินาทีนี้แล้วถ้าอยากรอดตายต้องเลิกอายได้แล้ว

จนวันนี้แล้วที่ฉันจะทดลองขึ้นรถเมล์คนเดียวดูบ้าง..แต่มิวายว่าสามีตัวดีก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี..เราตกลงกันว่าฉันจะลองนั่งรถเมล์จากสนามบินกลับมาที่บ้านเพียงคนเดียว หลังจากทำธุระในสนามบินเรียบร้อยและได้เวลาเข้าทำงานของพ่อตัวดี..เขาย้ำว่า ถ้ามีปัญหาอะไรให้โทรหาเขา และอย่านั่งหลับบนรถตามแบบที่ฉันทำประจำเวลาขึ้นรถเมล์ในกรุงเทพฯ..แผนที่เส้นทางเดินรถถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมคำถามจากสามีว่า ฉันจะต้องลงจากรถเมื่อไร..ฉันแอบขำสามีตัวเองแต่ถ้าหัวเราะออกมาตอนนี้คงถูกโกรธแน่ เพราะว่าจากแววตาเขาแล้ว ฉันรู้ดีว่าเขาห่วง ไม่อยากให้ฉันขึ้นรถเมล์คนเดียว ทั้งๆที่ยังไม่รู้อะไรมากนักแบบนี้..ฉันตอบไปว่า..พอรถจอดทีป้ายที่สาม นั่นคือฉันต้องลงแล้ว..ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจำป้ายรถเมล์ตรงหน้าอำเภอใกล้บ้านได้ อีกอย่างมีแผนที่อยู่ในมือ..ถามคนขับรถเอาก็ได้

ฉันเดินมาตามป้ายบอกทางในสนามบินจนมาถึงที่จอดรถเมล์ที่แบ่งไปช่องๆ มีหมายเลขกำกับ 1-8 จากตารางเดินรถ ฉันต้องเดินไปรอขึ้นรถที่ช่องหมายเลย 5 เวลาออกรถเที่ยวต่อไปคือ 17.10 ..ฉันยืนบิดไปบิดมา เดินวนๆแถวนั้นตั้งแต่ 16.45   จน 10 นาทีผ่านไปรถตู้หลังคาสูงสีเหลือง หมายเลข 1410 เป็นสายที่ฉันต้องขึ้นก็มาจอดที่ช่องหมายเลข 5 พอดี.. รอจนรถจอดเรียบร้อย ผู้โดยสารลงหมดแล้ว..ฉันเดินไปที่ประตูข้างคนขับที่ตอนนี้โชเฟอร์ได้กดกระจกลงมาเพื่อที่จะพูดกับฉันเหมือนกัน..Bonsoir Monsier..Un aller billet pour .., s'il vous plaît. บงซัว มอนซิเออร์ อา นะเล่ บิลเย่ ปูวร์..(ชื่อป้ายที่ฉันจะลง) ซิล วูล เปร่  แปลเป็นไทยก็คือ สวัสดีตอนเย็นค่ะ ขอตัวเที่ยวเดียวไป..ใบหนึ่งค่ะ..

ประตูเลื่อนอัตโนมัติของรถถูกกดเปิดเพื่อให้ฉันขึ้นไปบนรถ..ฉันรีบขึ้นไปหลบความหนาวในรถ แต่ยืนรอที่จะจ่ายเงินก่อน ..3.60 ยูโร สำหรับค่ารถ ..เกือบร้อยห้าสิบบาทสำหรับการเดินทางที่ใช้เวลา 30 นาที ถือว่าไม่แพง..พอๆกับค่ารถแท็กซี่เมืองไทย..ฉันรับเงินทอนมาพร้อมกับตั๋วรถ ซึ่งหน้าตามันก็คือใบเสร็จรับเงินที่ได้ตามร้านสะดวกซื้อในไทยมาก..มีรายละเอียดบอกว่า ฉันเดินทางระหว่าง 2 โซน ค่าโดยสารจึงเป็น 3.60 ยูโร  ถ้าแค่ภายในโซนเดียว 2.50 ยูโร  สภาพในรถสะอาดมาก เบาะที่นั่งอยู่ในสภาพดีและทุกที่นั่งมีเข็มขัดนิรภัยไว้ให้  ..คนขับหันมาบอกว่ารถจะออกเวลา 17.10 นะ..ฉันบอกไปว่า โอเค ฉันรู้แล้ว ตามสำเนียงของฉัน ซึ่งเขาคงรู้ว่าฉันเองก็พูดไม่ค่อยได้ และคงไม่ไปไหนเลยปล่อยให้ฉันนั่งรถอยู่ในรถอุ่นๆดีกว่า..จน17.05 น. ถึงตอนนี้ผู้โดยสารก็ยังคงมีฉันเพียงคนเดียว..ฉันแอบคิดว่า มีฉันคนเดียวแบบนี้ เขาจะยอมออกรถมั้ย..มันคงไม่คุ้มกับค่าน้ำมันที่จะไปส่งฉันถึงที่หมายถ้ามีผู้โดยสารคนเดียวแบบฉัน

ก่อนถึงเวลารถออกนาทีเดียว..พนักงานสนามบินสองคนเดินมาขึ้นรถ สองสาวยื่นการ์ดออกไปผ่านเครื่องสแกนการ์ดใกล้คนขับ..ฉันเดาว่าคงเป็นตั๋วรายเดือน หรือรายปี เพราะว่าทั้งสองคนไม่ได้จ่ายเงินสดแบบฉัน..ฉันคาดเข็มขัดนิรภัยตามป้ายเตือนที่แปะไว้รอบรถ แต่ผู้โดยสารท่านอืนหาทำไม่..อย่าได้แคร์ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า..เผื่อแพรวาตีนผีจะมาซิ่งแถวนี้..รถออกตรงเวลาเป๊ะ  คนขับรถและผู้โดยสารอีกสองสาวคงรู้จักและคุ้นเคยกันดี เพราะว่าคุยกันไป ถามไถ่สารทุกข์ตลอดทาง..ก็แน่ละ ถ้าสองสาวกลับบ้านสายนี้เวลานี้ทุกวัน ก็ต้องเจอพี่โชเฟอร์ทุกวันอยู่แล้ว..ฉันนั่งมองเส้นทางมาตลอด..ถึงป้ายเมื่อไรฉันก็เอาแผนที่มาส่องเทียบดูทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่ามาถูกและไม่หลงแน่นอน..ใกล้ถึงที่หมายแล้ว ฉันจำบรรยากาศข้างทางได้..มาถูกที่แน่ๆ

ฉันลงจากรถเป็นคนสุดท้ายที่ป้ายนั่น แต่ก็มีผู้โดยสารอีกหลายคนรอขึ้นสายนี้ต่อ  ฉันเดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น  ตอนนี้การขึ้นรถเมล์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวสำหรับฉันอีกต่อไป..รถเมล์ที่นี่ออกตรงตามเวลา เสียแต่ว่ามีไม่เยอะเท่ารถเมล์เมืองไทยก็เท่านั้น  แต่เรื่องความสะอาดและความเป็นระเบียบแล้วละก็ของไทยเรายังต้องปรับปรุงอีกเยอะเลย..ฉันไปท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือแม้แต่ระบบเมโทรของฝรั่งเศสเอง  ฉันพบว่ามันเข้าใจและใช้ง่ายกว่าที่เมืองไทยเยอะเลย ป้ายรถเมล์แยกแต่ละสายชัดเจน ระบบเมโทรที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั้งเมือง มันง่ายต่อการไปไหนมาไหนโดยระบบขนส่งมวลชน..ผิดกับบ้านเราที่ใครๆก็อยากมีรถขับเอง ไม่ต้องไปเบียดเสียดหรือวิ่งตามรถเมล์ให้หน้ามัน หัวยุ่งแบบที่เจอกันมา..

มาชื่นชมระบบของที่นี่ออกหน้า แต่อย่าเพิ่งหมั่นไส้ฉันนะ..ยังไงตอนนี้เอาฉันไปปล่อยให้กรุงเทพ ฉันยังบอกสายรถเมล์ไปไหนมาไหนได้แบบไม่ต้องเสียเวลาคิด..แต่ที่นี้จะไปไหนทีฉันยังต้องหาข้อมูลสารพัดกันหลง..ความสะดวกสบายกับความคุ้นเคยมันผิดกัน..ลึกๆแล้วฉันชินกับระบบลำบากๆแบบไทยๆมากกว่า..ฉันเดินมาเจอเพื่อนบ้านคุยกันอยู่ เราทักทายกันตามประสา ทั้งสองคนพยายามเข้าใจภาษาฝรั่งเศสแบบของฉัน  Nasera เชิญฉันและเอ็ดดี้เพื่อนบ้านอีกคนเข้าไปคุยต่อในบ้านของเธอ หลังจากยืนคุยหน้าบ้านมาพักใหญ่..เราคุยกันนานและนานมาก..เวลาผ่านไปจากหกโมงเย็นจนตอนนี้สามทุ่มแล้ว...เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันดังขึ้น..พ่อตัวดีโทรมาหา..เขาถามฉันด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่าตอนนี้ฉันอยู่ไหน..เขากลับมาถึงบ้านแล้วนะ..ด้วยลูกยุจากเพื่อนบ้านทั้งสอง ฉันแกล้งอำสามีไปว่า หลงทาง..พ่อตัวดีเริ่มเสียงว้าวุ่นมากขึ้น..ฉันอำอยู่พักใหญ่จนสงสารสามีตัวเอง ก็บอกไปว่า อยู่บ้าน Naseraนี่แหละ..สิ้นคำนั่น พ่อตัวดีกดวางสายทันที..วงแตก..งานเข้าซะแล้ว..สลายตัวบ้านใครบ้านมันโดยด่วน

ฉันนั่งจ๋อยงอนง้อสามีที่โกรธควันออกหู สำนึกผิดเมื่อเห็นหน้าและฟังเหตุผลจากปากที่พร่ำบ่นมุกตลกแบบไร้กาละเทศะของฉัน..ค่ะ ป้าสำนึกผิดแล้ว ต่อไปป้าจะไม่เล่นแบบนี้อีกแล้ว..ฮือๆๆ จากหนุ่มหน้าเปื้อนยิ้มมาตอนนี้เพิ่งเห็นสามีในโหมดพระเพลิง..น่ากลัวแบบไม่กล้าแหยมเลย..ฉันนึกหวั่นว่าเกิดเขาโกรธจัด ลงไม้ลงมือแบบพระเอกคุณพิศาล ประเภทตบจูบ ตบจูบ จะทำยังไง ถ้าตบแล้วจูบก็คงจะพอทำเนา แต่ท่าทางตอนนี้สามีอยากตบอย่างเดียวมากกว่า..ไม่มีจูบ..

Friday, January 28, 2011

มีงานให้ทำมั้ยครับ..Pôle emploi

ฉันขอเลิกเร็วกว่าปกติ 5 นาที เพื่อไปตามนัดกับ Pôle emploi ซึ่งคือหน่วยงานหนึ่งที่ทำหน้าที่หางานให้แก่คนว่างงาน รวมถึงการอบรมเพิ่มเติมแก่ผู้ว่างงานด้วย เพื่อให้สามารถหางานทำได้เร็วที่สุด..ระยะทางจากโรงเรียนถึง  Pôle emploi ถือว่าไม่ไกลถ้าขับรถ แต่ก็เล่นเอาหอบถ้าต้องเดินลงเนินเพื่อข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามไปที่หมายของฉัน..โชคดีที่พ่อตัวดีแวะมารับที่โรงเรียนนหลังจากเลิกงานในช่วงเช้า..ฉันเลยไม่ต้องเสียเหงื่อและมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ..ระหว่างหาที่จอดรถ เสียงมือถือของสามีดังขึ้น..เจ้าหน้าที่บ.ประกันภัยเอารถที่ไปส่งซ่อมมาเปลี่ยนกับรถที่เอามาให้ใช้ระหว่างส่งรถเข้าอู่..

 พ่อตัวดีบอกให้ฉันเข้าไปเองก่อน เดี๋ยวจะเลยเวลานัด เค้าจะรีบไปเปลี่ยนรถแล้วจะตามไปให้เร็วที่สุด..โดยก่อนที่จะบึ่งรถหายไปต่อหน้าฉัน ก็บอกติวประโยคที่ฉันต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่าฉันมาตามที่นัดไว้ตอนสิบเอ็ดโมงกว่า..เดินเข้าไปแบบรีบๆ เนื่องจากใกล้เวลานัดหมายแล้ว..ผู้คนมากมายที่มาติดต่อ ฉันเดินตรงไปต่อแถว ซ้อมบทอยู่คนเดียวเงียบ แต่ในหัวปั่นป่วนไปหมด  ..หลังจากปล่อยของที่เตรียมมานานไปกับเจ้าหน้าที่สาวสวยในชุดทำงานสุดเปรี้ยวนั่นแล้ว..ฉันลุ้นผลงานตัวเองจนลืมหายใจ..สรุปว่าไม่ผ่าน ยังสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง คราวนี้เลยงัดเอาเอกสารออกมาแสดงพร้อมตั้งตัวใหม่ พูดเสียงดังฟังชัดไม่อู้อี้ๆ เหมือนก่อนแล้ว..เออ ได้ผล หล่อนเข้าใจที่ฉันพูดแล้ว

ฉันถูกเชิญให้มานั่งที่โต๊ะกรอกรายละเอียดลงในแบบฟอร์มที่เจ้าหน้าที่ยื่นมาให้และขอพาสปอร์ตไปถ่ายสำเนา..ฉันพยายามกรอกเท่าที่กรอกได้ คือ ข้อมูลทั่วไป ประวัติการศึกษา..จนถึงประวัติการทำงาน..เจ้าหน้าที่สาวคนสวยที่เอาพาสปอร์ตมาส่งคืนพร้อมชะโงกมาขอดูรายละเอียดที่ขาดอยู่..เธอถามว่า เคยทำงานที่ฝรั่งเศสมั้ย ..แน่ละ ไม่เคยค่ะ..ปลายปากกาของเธอก็ขีดฆ่ารายละเอียดด้านการทำงานที่ฉันบรรจงกรอกไปเมื่อครู่..ซักถามเรื่องอื่นไม่นาน พ่อตัวดีก็เดินเข้ามาสมทบ..เรากรอกเอกสารจนเสร็จส่งคืนให้แล้วนั่งรอเข้าพบเจ้าหน้าที่..ไม่นานนักเราถูกเชิญให้เข้าไปในห้องแรก คือ เป็นการพบเพื่อแจ้งให้ทราบว่า เนื่องจากฉันไม่มีประวัติการทำงานในฝรั่งเศส นั่นก็หมายถึงไม่เคยมีประวัติการเสียภาษี ดังนั้น จึงไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือระหว่างหางานทำ ซึ่งก็นำเงินจากภาษีนั่นแหละมาช่วยเหลือ..ฉันไม่ติดใจอะไรนัก เพราะว่าไม่อยากได้เงิน ตอนนี้อยากได้ที่เรียนมากกว่า..ใช้เวลาไม่ถึงนาที เราออกมานั่งรอเพื่อเรียกสัมภาษณ์ในขั้นต่อไป

เกือบสิบห้านาทีเจ้าหน้าที่มาเชิญเราเข้าไปอีกห้องหนึ่ง..หลังจากเชิญนั่งและทักทายเป็นที่เรียบร้อย..เธอขอแบบฟอร์มรายละเอียดของฉันและ CV curriculum vitae เพื่อจะทำการลงประวัติของฉันเข้าสู่ระบบคนหางาน..เธอสักถามข้อมูลและกรอกเข้าระบบ..จากที่ดูเธอบอกว่าฉันมีทักษะค่อนข้างดี ที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี และประสบการณ์ทำงานมาหลายปี..นั่นจะทำให้ฉันมีโอกาสมากกว่าคนอื่น..แต่เธอคงลืมไปว่า ปัญหาของฉันคือ ฉันพูดฝรั่งเศสไม่ได้ต่างหาก ปากไวเท่าความคิดแต่ช้ากว่าสามี ..พ่อตัวดีโพล่งออกไปว่า แต่ภรรยาผมยังพูดฝรั่งเศสไม่ได้เลยนะครับ..แล้วแจ้งปัญหาที่ฉันไม่ได้รับสิทธิ์ให้เรียนจากโอฟี่..เราอยากให้ Pôle emploi ช่วยส่งฉันไปเรียนเพื่อจะได้มีโอกาสหางานทำได้ง่ายขึ้น เพราะว่าเราสองคนก็พยายามหาเรียนจากที่อื่นเช่น Maison de quartier  ..ฉันหวังว่าความพยายามที่เราทำไว้ เจ้าหน้าที่คงจะเห็นใจและหาที่เรียนให้  แต่กลายเป็นว่าเธอเห็นว่าฉันและพ่อตัวดีทำถูกแล้วที่ไปเรียนที่นั่น และฉันเองก็สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีซึ่งมันจะทำให้ฉันเรียนรู้ฝรั่งเศสได้เร็วกว่าต่างด้าวชาติอื่นที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ..แถมยังบอกให้เจ็บใจอีกด้วยว่า เธอจะสามารถส่งให้ฉันไปเรียนภาษาต่อในระดับที่สูงขึ้นได้..แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉันต้องได้ภาษาระดับพื้นฐานมาก่อน ซึ่งเธอคิดว่าอีกไม่เกินสี่เดือนข้างหน้าฉันน่าจะพูดได้ดีแล้ว...เอ่อ ไม่มีทักษะพื้นฐานแล้วไม่มีใครให้โอกาสไปเรียน แล้วฉันจะไปแสวงหาความฉลาดล้ำแบบนั้นมาจากไหน...

เธอลองหางานที่ฉันน่าจะทำได้ โดยเริ่มจากงานที่พูดภาษาไทยก่อน มีด้วย..คืองานแม่ครัวร้านอาหารไทยใน Chambery  อืมม..ไกลจากเมืองที่อยู่พอดู เกือบสองชั่วโมงแถมทำกับข้าวอีก..แม่ช้อยของฉันไม่รำนอกบ้านค่ะ..ขี้อายเก็บเนื้อเก็บตัวไม่กล้าแสดงออกสู่สายตาชาวโลก..นอกนั้นก็งานออฟฟิตแบบที่ฉันเคยทำมาแต่เป็นแบบใช้สองภาษา คือ ฝรั่งเศสและอังกฤษ..แต่อย่างว่าตอนนี้ตำแหน่งยังไม่มี..ที่ไหนๆก็มีแต่เอาคนออก..จากสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้..ฉันเข้าใจดีและรู้ดีว่า ณ ตอนนี้ ฉันเองก็ยังไม่พร้อมที่จะทำงานโดยภาษาฝรั่งเศส..เจ้าหน้าที่ยื่นตารางการรายงานตัวมาให้ ต้องทำทุกเดือนและสามารถทำได้ทางอินเตอร์เนท...หากฉันไม่ทำตามก็จะถูกตัดชื่อออกจากระบบคนว่างงาน..ไม่ได้รับความช่วยเหลือเริ่องการหางานอีกต่อไป..แต่ก็สามารถมาสมัครใหม่ได้อีก..แต่เสียเวลามาดำเนินการใหม่ทั้งหมด..

ความหวังที่จะได้เรียนกับที่นี่จบลงพร้อมกับที่เราเดินออกมาไปที่รถ..ฉันปลอบใจตัวเองอยู่เงียบว่า เอาเถอะ อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็มีที่เรียนอาทิตย์ละ 6 ชั่วโมง มันดีกว่าตอนเรียนเองที่บ้านเป็นไหนๆ แถมพ่อตัวดีก็พยายามช่วยสอนและพูดอังกฤษกับฉันให้น้อยลง..เพื่อฉันจะได้ฝึกตัวเองอยู่ตลอด ..ฉันคงจะรอความช่วยเหลือจากคนอื่นอย่างเดียวไม่ได้ซะแล้ว..ถ้าไม่ก้าวเดินแล้วเมื่อไรฉันจะวิ่งได้..วันนี้ฉันอาจจะยังคลานๆ คลำทางกับชีวิตแบบใหม่ที่นี่..มันนานพอที่ฉันควรจะเลิกกลัวเลิกอายแล้วผลักดันตัวเองให้พูดได้สักที..ฉันจะเริ่มลงมือทำมันและไม่หวนไปโทษตัวเองว่าตัดสินใจผิดที่มาอยู่ที่นี่..แล้วฉันจะผ่านมันไปได้ ฉันเชื่อแบบนั้น..

Thursday, January 27, 2011

ทำธุรกรรมที่ธนาคารและหอบสังขารไปหาคุณหมอ

เราพากันเดินไปที่ธนาคารใกล้ๆบ้านด้วยอาการสั่นสะท้านจากลมหนาวยะเยือกที่พัดมาแบบไม่สนใจใคร..พ่อตัวดีต้องการให้ฉันเปิดบัญชีธนาคารเพราะเป็นสิ่งจำเป็นหากเราได้งานทำแล้ว.เงินเดือนจะจ่ายเข้าบัญชีของเรา และห่วงในสวัสดิภาพของศรีภรรยา เนื่องจากชอบหนีไปช้อปปิ้งแถมจ่ายด้วยเงินสด และเป็นยูโรใบละหนึ่งร้อย เนื่องจากเวลาไปแลกเงินที่เมืองไทย มักไม่ค่อยจะมีแบงค์ย่อยให้สักเท่าไร..และไอ้เจ้าแบงค์ร้อยยูโรเนี่ยแหละ มักจะเป็นที่ต้องสงสัยของบรรดาแคชเชียร์ที่มักจะทำแบบเมืองไทย คือ ถ้าได้รับแบงค์พันมาจ่าย จำต้องยกขึ้นส่องดูว่าเงินปลอมหรือเปล่าทุกครั้งไป..ที่นี่ก็ทำแบบนั้นเช่นกัน แต่บางห้างก็จะมีเครื่องตรวจแบงค์แบบพกพาที่ไว้ตรวจแบงค์ 100 ยูโรโดยเฉพาะ..พ่อตัวดีคงกลัวฉันจะถูกปล้นหรือไม่ก็โดนแคชเชียร์ด่าเข้าสักวัน ..ซื้อของไม่ถึง 10 ยูโร แม่คุณเล่นยื่นด้วยร้อยยูโรตลอด..นิสัยชอบแตกแบงค์คงติดมาจากไทย

เมื่อมาถึงเราพบกับเจ้าหน้าที่สาวสวยคนเดิมกับที่เจอเมื่อคราวมาติดต่อทำเรื่องเปิดบัญชีเมื่ออาทิตย์ก่อน เธอเชิญเราเข้าไปนั่งในห้องทำงานด้านในที่แยกออกมาเป็นสัดส่วน  หน้าตาธนาคารที่นี่ไม่เหมือนกับที่เมืองไทยที่เวลาจะทำธุรกรรมอะไร ลูกค้าอย่างเราๆ จะเป็นคนเขียนกรอกแนบฟอร์มแล้วเดินไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ที่มีพนักงานหน้าแฉล้มรอต้อนรับอย่างน้อยสองคนต่อหนึ่งสาขา..เว้นแต่เราจะมาทำธุรกรรมอื่นๆ ที่นอกเหนือจาก ฝาก ถอน โอนเงิน ถึงจะเชิญเราไปติดต่อในที่ลับหูลับตา..เป็นการส่วนตัว  แต่ที่นี่ให้เดินตามมาด้านในเลย  ..ฉันยื่นพาสปอร์ต ,สมุดครอบครัวและ บิลค่าน้ำค่าไฟที่มีชื่อฉันอยู่ด้วยออกไปให้เจ้าหน้าที่สาวสวยตรงหน้าตามคำขอ..เธอแนะนำตัวว่าชื่อ เอมิลี่..ซึ่งต่อไปเธอคือเอเจนท์ที่ทำหน้าที่ดูแลบัญชีของฉัน มีอะไรก็ตามมาถามเอมิลี่อย่างเดียว..เอมิลี่พิมพ์ๆ พลิกๆดูเอกสาร แต่ปากก็เจื้อยแจ้วคอยสนทนาอยู่ไม่หยุด เพราะสามีช่างซักที่ถามโน่่น นี่ นั่นตลอด..

ฉันนั่งเซนต์เอกสารหลายแผ่นอยู่ตรงหน้า..เอมิลี่ถามว่าวันนี้จะเอาเงินเข้าบัญชีเลยมั้ย..ฉันพยักหน้ารับพร้อมยื่นแบงค์ร้อยยูรใบสุดท้ายในกระเป๋าออกไปให้  เอมิลี่ยิ้มขำๆ บอกว่ายังไม่ต้องเดี๋ยวพาออกไปเอาเงินใส่เครื่องด้านนอกเอง แต่ตอนนี้มาฟังเอมิลี่ขายประกันก่อน.. เอมิลี่แนะนำเรื่องประกันชีวิตที่จะหักเงินจากบัญชีของฉันส่วนหนึ่งต่อเดือน ไม่มากหรอกเหมือนประกันแบบออมทรัพย์ที่เมืองไทยนั่นแหละ..พ่อตัวดีเห็นดีเห็นงามที่จะให้ทำ ฉันก็ตกลงตามนั้น  เอมิลี่ยิ่นแฟ้มเอกสารมาให้ตรงหน้าพร้อมกระดาษหนึ่งใบที่บอกรหัสลูกค้า รหัสผ่านสำหรับการใช้งานมาให้..สำหรับอินเตอร์เนทแบงกิ้งนั่นแหละ..เราเดินตามเอมิลี่มาที่ตู้เอทีีเอ็มเพื่อเอาเงินเข้าบัญชี  เอมิลี่อธิบายขั้นตอนการเอาเงินเข้าบัญชีให้ฟัง..จ๊ะ ไม่ยากหรอกจ๊ะเอมิลี่ง่าย ป้าเข้าใจ หาเงินมาใส่บัญชีสิ ยากกว่า ..เหอะ

เอมิลี่เดินมาส่งที่หน้าประตูบอกว่าอีกอาทิตย์หนึ่งจะส่งรหัสสำหรับบัตรเอทีเอ็มไปให้ ส่วนตัวการ์ดให้มารับกับเธอที่สาขาเมื่อได้จดหมายแจ้งอีกที..เราจากลาคนสวยมาแล้วเดินตรงไปยังคลินิกที่อยู่ไม่ไกลเท่าไรนักทันที..พ่อตัวดีมีอาการเหมือนกรดไหลย้อน ทานยามานานก็เป็นๆ หายๆ วันนี้เลยมาให้หมอดูอีกครั้ง แถมพ่วงเอาฉันมาเพื่อจะให้ดูสารรูปมือขี้แพ้ของฉันที่ตอนนี้มันแตกระแหง เพียงแต่ไม่มีฝุ่นสีแดงเหมือนดินลูกรัง แต่เป็นเลือดแดงๆ ซิปๆที่ออกมาตามรอยแตกของผิวนั่นเอง..มีคนไข้มาคอยก่อนหน้า 2 คน ..พ่อตัวดีแจ้งกับพนักงานต้อนรับว่ามาตรวจตามที่นัดไว้ เธอขอชื่อไปแล้วบอกให้นั่งรอก่อน หมอประจำตัวของพ่อตัวดียังไม่มา..สายนิดหน่อย..รอประมาณ15 นาที มีหญิงสาวมาเชิญไปที่ห้อง..ฉันคิดว่าเธอคงเป็นพนักงานต้อนรับอีกคนที่มารับกะต่อจากยัยคนแรกที่เจอ ซึ่งตอนนี้หล่อนแต่งองค์เตรียมตัวจะกลับบ้านแล้ว..ที่ไหนได้สาวน้อยคนนั้น คือหมอนั่นเอง หน้ายังเด็กอยู่มาก แถมแต่งตัวธรรมดา ไม่มีเสื้อกราวน์เหมือนที่คุ้นชินตาจากเมืองไทย..

หมอแจ้งว่าวันนี้เธอตรวจแทนหมอประจำตัวของพ่อตัวดี เพราะว่าหมอมีอุบัติเหตุนิดหน่อยรถชนเลยมาไม่ได้..เราสองคนไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ขอให้ได้ตรวจเป็นพอ..ตรวจสามีก่อนซักข้อมูลแล้วเรียกไปชั่งน้ำหนักวัดความดันด้านใน จากนั้นก็ออกมาออกใบสั่งยาและใบส่งตัวให้ไปตรวจปัสสาวะและน้ำเชื้อเพื่อตรวจการติดเชื้อจากการโหมลดน้ำหนักทำให้ติดเชื้อในถุงอัณฑะว่าหายดีแล้วรึยัง และอีกใบคือให้ไปส่องกล้องดูช่องท้อง..ระหว่างนั้นก็มีสายเรียกเข้าอยู่ตลอด..หมอก็รับโทรศัพท์คนไข้ที่มาจองนัดด้วยเป็นระยะๆ ..จนหมอขอการ์ด vital ของสามีไปทำการกรอกข้อมูลต่างๆนานาๆ ก็ยื่นใบต่างๆ นานาที่ว่ามาให้ตรงหน้า..เอาล่ะ ของสามีเสร็จแล้วต่อไปถึงคิวฉันบ้าง..มือหยาบๆแตกๆยื่นออกไปตรงหน้าหมอ..หมอยื่นมือสวยๆของเธอมากดๆ คลำๆ ลูบๆ แผลที่มือและพลิกมือของฉันดูอีกด้านเพื่อหารอยแผลอื่นว่ามีอีกมั้ย..ฉันตอบไปว่าไม่มีแล้วค่ะ เป็นที่มืออย่างเดียว ..หมอพยักหน้ารับทราบแล้วถามว่า เป็นมานานแล้วใช่มั้ย ใช่ ฉันตอบไป..เป็นๆ หายๆ ..หมอคนสวยบอกว่าฉันแพ้สารเคมี..ฉันเลยบอกว่า แพ้โลหะ..พวกเหรียญ อลูมิเนียม..แต่หมอเสริมมาว่า สภาพแผลคือติดเชื้อร่วมด้วยเพราะเริ่มมีแผลเปื่อย..ซึ่งหมอคิดว่ามาจากการทำความสะอาดแล้วใช้สารเคมีเข้มข้นร่วมด้วย..

แดจังกึมภาคฝรั่งเศสรึเปล่าเนี่ย..แม่นมากฉันทำความสะอาดบ้านไล่ตั้งแต่ ห้องครัวยันถูพื้นใช้ Javel ก็คลอรีนเราดีๆนี่แหละ ทำความสะอาดฆ่าเชื้อ..แต่ตอนล้างเตาแก๊สดันขี้เกียจใส่ถุงมือ เชื้อมันคงมาหาตอนนั้น..หมอพิมพ์ใบจ่ายยาให้..แต่เหมือนว่าชื่อของฉันยังไม่เข้าไปอยู่ในฐานข้อมูลของประกันสังคม..ทั้งที่ยื่นเรื่องไปเกือบสองอาทิตย์..งานนี้เลยเสียค่าตรวจไป 6.8 ยูโร  แต่มาทำเรื่องเบิกคืนทีหลังได้..หมอพยายามอธิบายวิธีการดูแลมือของฉันเป็นภาษาอังกฤษ..แต่บางคำฟังแล้วก็ไม่เข้าใจทั้งฉันเองและหมอ  เลยหันไปบอกสามีแทนดีกว่า..ง่ายขึ้นเยอะ..หมอเดินออกมาส่งหน้าประตูพร้อมรอรับคนไข้รายต่อไป..เห็นแล้วนึกสงสารหมออยู่ลึกๆว่า ถ้าหมอย้ายไปเมืองไทย หมอจะเจอโลกใหม่ที่เราแทบจะกราบกรานหมอเลยทีเดียว ไม่ต้องทำเองทุกอย่างหัวซุกหัวซุนแบบนี้

ออกจากคลินิกแวะร้านขายยาต่อ.หมอจ่ายกาวิสคอนมาให้พ่อตัวดีกิน 3 เดือน ส่วนของฉันได้ยาพ่นฆ่าเชื้อ สเตียรอยด์ทาแก้คันและครีมบำรุงหลอดใหญ่ ระยะเวลา 3 เดือนเหมือนกัน..ของพ่อตัวดีรับยาฟรีไม่เสียตังค์เพราะประกันสังคมจ่าย แต่ส่วนของฉันต้องจ่ายเองไปก่อนแล้วเบิกทีหลัง..เภสัชกรคนสวยที่ฉลาดด้วยเลยบอกว่าของฉันเอาไปพอสำหรับเดือนเดียวก่อน พอยาหมดแล้วค่อยมาเอาใหม่ ตอนนั้นชื่อของฉันน่าจะเข้าระบบแล้วจะได้ไม่ต้องออกเงินไปก่อนเยอะ ...คนสวยน้ำใจงามคิดแทนวางแผนให้เสร็จ

หอบถุงยาใบใหญ่เข้าบ้านกันคนละถุง..นึกเทียบกับเมืองไทยว่า ไปหาหมอตามสิทธิ์ 30 บาทรักษาทุกโรคคงไม่ได้ยามากและดีขนาดดี ได้แต่พวกยาผสมแป้งเยอะๆตัวยาน้อยๆมาให้  แต่ที่นี่ยาที่ให้เป็นต้นตำรับทั้งนั้น มั่นใจได้ว่าได้ของดีมา..ฉันเข้าใจแล้วว่าจากภาษีมหาโหดที่จ่ายกันไป คนที่นี่ถึงต้องเรียกร้องสิทธิ์ในทุกทางทุกด้านให้สมกับเม็ดเงินที่เสียไปกับภาษี..ฉันคงยังต้องเรียนรู้อะไรจากที่นี่อีกเยอะ..พ่อตัวดีบอกว่า หมอทั่วไปแบบนี้เขายังมาตรวจกับฉันได้ แต่ต่อไปฉันต้องไปหาหมอเฉพาะทางสำหรับผู้หญิง..ซึ่งแน่นอนว่าฉันต้องไปคนเดียว  เล่นเอาฉันนึกหวั่นๆ ว่าจะคุยกับหมอรู้เรื่องมั้ย..แถมตรวจภายในอีก..โอ๊ย อายจัง..

Friday, January 21, 2011

ไปเรียนภาษากันเถอะ

ฉันมานั่งรอที่หน้า Maison de quartier รอเรียนภาษาสำหรับบ่ายวันนี้ ..หลังจากไปติดต่อฉันได้คอร์สภาษาที่เน้นการออกเสียง..เรียนจันทร์เช้าและอังคารเช้าและบ่าย..สามีมาหย่อนฉันทิ้งไว้และบึ่งรถไปทำงานกะบ่ายต่อ ก่อนไปถามเพื่อความแน่ใจว่าฉันกลับบ้านได้แน่นะ ฉันบอกว่าได้ ถึงตอนนี้จะนั่งรถเมล์ไม่เป็น แต่จากระยะสามป้ายรถเมล์ใกล้ๆ ฉันว่าเดินเอาก็ยังไหว

ก่อนเข้าเรียนฉันได้เจอบรรดาต่างด้าวแบบฉันเยอะแยะมาก สองสามีภรรยาจากอัลบาเนียวัย 50 ที่ต้องมาเรียนภาษากันใหม่หลังจากย้ายมาตั้งรกรากที่นี่  คุณป้าจากกัมพูชาที่ต้องมาเรียนภาษาเพิ่มเพราะจะทำการขอสัญชาตินั่นเอง รวมถึงหนุ่มสาวชาวอาหรับอีกหลายคนที่ต้องมาเรียนการอ่านเขียนเพราะพูดซะคล่องแต่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ก็มี  ระหว่างที่ครูอาสาสมัครทั้งหลายกำลังประชุมแบ่งนักเรียนกัน มาดามหรือครูคนแรกที่เป็นคนที่รับสมัครฉันเข้าเรียน บอกว่าให้ฉันไปเข้าร่วมกลุ่มสนทนากับเพื่อนๆนักเรียนคนอื่นๆ ไปพลางๆก่อน ฉันรีบออกตัวว่า เอ่อ ยังพูดไม่ได้เลย จะให้คุยยังไงมันยากนะ  ครูแหม่มสวนมาว่าก็แค่แนะนำตัว ลองพูดดู ..ฉันเดินไปหาสองสามีภรรยาจากอัลเบเนีย แนะนำตัวเอง ถามชื่อ ตามแบบฉบับที่เรียนมาเป๊ะ แรกๆ ก็เขินๆ หลังๆ ชักจะขำตัวเอง เลิกอาย เพราะว่า สองคนนั่นก็ไม่ต่างจากฉันสักเท่าไร แต่ดันคุยกันรู้เรื่อง..เออ มั่วจนได้ดี  ...หลังจากนั้นครูประชุมแบ่งนักเรียนกันแล้ว เราก็แยกย้ายไปตามมุมต่างๆของห้องเพื่อเริ่มเรียนตามโซน

ฉันเรียนกับครูแหม่มวัยกลางคนท่าทางใจดี พูดช้า เพราะอยากให้ฉันฟังทัน..เราเริ่มเรียนกันตั้งแต่คำทักทาย แต่ที่นี่ไม่ได้เน้นให้ฉันฟังอย่างตอนเรียนที่เมืองไทย..ฉันต้องอ่านแทบทุกคำให้ครูฟัง เพราะว่าครูอยากให้ฉันฝึกการออกเสียง.. เรียนไปทยอยทำแบบฝึกหัดไป แต่มีสือการสอนที่ดีมากแถมเรียนตัวต่อตัวทำให้ฉันลืมไปเลยว่า ครบสองชั่วโมงแล้ว..ก่อนกลับครูเอาชีทมาให้เพิ่มแล้วบอกว่า เธอจะมาแค่วันอังคารบ่ายเท่านั้น  เรียนคราวหน้าวันจันทร์ฉันคงต้องเรียนกับครูคนอืนก็เรียนต่อจากชีทนี่แล้วกัน

ฉันเดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าเดิมมาก ดีกว่าตอนที่นั่งอ่านหนังสือหมกตัวอยู่คนเดียวเป็นไหนๆ อย่างน้อยวันนี้ฉันได้เห็นผู้คนมากมายที่ยังต้องพยายามเรียนภาษาเหมือนฉัน มันทำให้ฉันมีแรงฮึดว่า ฉันไม่ได้แย่อยู่คนเดียว แถมระหว่างทางที่เดินลงเนินเขาเพื่อกลับบ้าน ครูคนหนึ่งแต่ไม่ได้สอนฉันจอดแวะถามว่าฉันจะไปไหน เธอจะไปส่ง ...ฉันบอกชื่อซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านไป..เพราะคิดว่ามันสะดวกกับทั้งฉันและครูไม่ต้องแวะไปส่งถึงบ้าน..ช่วงไม่ถึงห้านาทีเราก็พูดคุยกันด้วยดี ..อย่างน้อยฉันก็ภูมิใจที่เริ่มจะสื่อสารฝรั่งเศสได้ด้วยตัวเองบ้างแล้ว  จากเดิมที่พอมีสามข้างตัว ฉันก็จะไม่ใคร่พยายามเอ่ยวาจาออกมามากนัก

กลับมาถึงบ้าน รายงานตัวกับสามีที่ยังอยู่ที่ทำงานว่า ภรรยาถึงบ้านแล้วโดยสวัสดิภาพ มิต้องเป็นห่วง ..แล้วลงมือเก็บกวาดเคหะสถานที่ปล่อยให้รกรุงรังเพราะรีบไปเรียนแลัวนั่งพักผ่อนกายาอยู่หน้าทีวีพร้อมขนมนมเนยนานาชนิด..กินเอาตายแต่ทำงานเพียงหยิบมือ..แม่ผีเรือนจริงๆ...นั่งเพลินไปหน่อยจดมืดค่ำ สามีใกล้จะกลับ ฉันยังไม่ได้เตรียมมื้อเย็นเลย กระวีกระวาดเข้าไปในครัวหยิบโน่นฉวยนี่มาเตรียมทำสปาเกตตีผัดซอสให้คุณชาย..ต้มเส้นเพิ่งเส้นแบบอัลดันเต้ คุณเธอก็มาแสดงตัวต่อหน้าฉันในห้องครัว เพียงแต่วันนี้มาแปลกไม่พูดอังกฤษสักคำ พ่นฝรั่งเศสใส่อย่างเดียว..แต่ฉันยังคงตอบเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเดิม..แต่พ่อตัวดีทำเป็นไม่เข้าใจ บอกว่าฟังภาษาอังกฤษไม่เข้าใจ..ให้ตอบเป็นฝรั่งเศส..เอาละสิ แล้วจะพูดยังไงให้สามีที่รักเข้าใจในไวยากรณ์นรกของฉันหล่ะ..

ค่ำนั้นระหว่างมื้อเย็นเป็นมื้อเย็นที่ใช้เวลาบนโต๊ะอาหารนานมาก อาหารตรงหน้าพร่องไปไม่เท่าไร ไม่ใช่เพราะว่ามันไม่อร่อย หรืออิ่มจนกินไม่ลง..ฉันใช้เวลาทั้งหมดในการแสดงท่าทางเพื่ออธิบายให้สามีฟังว่า วันนี้ไปทำอะไร เรียนเป็นยังไง เจอใครบ้าง มีเพื่อนรึยัง แล้วกลับมาบ้านยังไง..ถ้าพูดเป็นอังกฤษป่านนี้คงเล่าจบพร้อมฟาดอาหารตรงหน้าไปแล้ว แต่นี่ฝรั่งเศสล้วนๆ เล่าไป ขำไป คิดไม่ออกไป แต่ก็ต้องทำ เพราะถือว่าฝึกตัวเองแล้วก็เห็นใจพ่อตัวดีที่ถูกเพื่อนๆ และครอบครัวว่าตลอดว่า ที่ฉันยังพูดฝรั่งเศสไม่ได้เป็นความผิดของสามีเองที่ดันพูดอังกฤษกับฉันไม่เลิก..อา เบ เซ เด  มันไม่ง่านเหมือนเนื้อเพลง อาเซเดเฮ ที่เปิดเมื่อไรป้าแดนซ์กระจาย..ฉันได้แต่พยายามละทิ้งความอายออกไป พูดมันออกมาทั้งผิดๆถูกๆ อย่างน้อยฉันก็ได้ฝึก เวลาไม่เคยรอใคร แล้วฉันก็ไม่ควรที่จะละทิ้งโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองแค่เพราะฉันอาย..อายครูบ่รู้วิชา   ด้านได้อายอด..วินาทีนี้ฉันเลิกอาย ฉันพ่นสารพัดคำออกไปเพื่อจะจบการเล่าเรื่องชีวิตประจำวันวันนี้ออกไป เพราะตอนนี้ท้องไส้เรียกร้องให้จัดการกับอาหารตรงหน้าก่อน ซึ่งอาจารย์ที่นั่งอยู่ข้างๆคงได้ยินเสียงเรียกร้องนั้นดี..และไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์สปาเกตตีสังหารสามี จึงยินยอมยุติการติวเข้มนั่น..เพราะตอนนี้หน้าภรรยามันสลักคำว่า หิวๆๆๆ Tu as comprend?

Tuesday, January 18, 2011

เริ่มต้นเรียกร้องสิทธิ์

หลังจากได้สติกเกอร์มหัศจรรย์มาแล้ว..พ่อตัวดีพาฉันไปติดต่อที่สำนักงานประกันสังคม เพื่อที่จะทำเรื่องให้ฉันสามารถใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลในนามของสามีได้..ที่ถูกที่ควรแล้ว ฉันน่าจะใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่จดทะเบียนสมรสแล้วด้วยซ้ำ  แต่ที่เพิ่งจะมาได้ตอนนี้เพราะว่าประกันสังคมเล่นแง่ บอกว่าฉันยังถือแค่วีซ่าท่องเที่ยวระยะสั้น หรือแม้แต่ตอนมาติดต่ออีกครั้งหลังได้วีซ่าระยะยาวก็ยังไม่ยอมทำให้ อ้างว่าต้องมีการ์ด เด เซจูร์แล้วเท่านั้น

เราพากันไปติดต่อ Sécurity Sociérity ประกันสังคมนั่นแหละ ผู้คนมากมายแต่ส่วนมากที่เจอเป็นแขกอาหรับ หรือไม่ก็ผิวสี พากันมาติดต่อ มีกะเหรี่ยงเอเซียคือฉันคนเดียว ส่วนเจ้าของประเทศส่วนมากจะเป็นผู้สูงอายุ หรือแม่ลูกอ่อนที่กระเตงลูกมาติดต่อด้วยเลย..รอจนได้เข้าห้องไปพบเจ้าหน้าที่ที่เป็นลุงวัยกลางคนค่อนไปทางปลายใส่แว่นหนาๆที่ห้อยต่ำลงมาเกือบปลายดั้ง  พ่อตัวดีแจ้งความประสงค์ไปว่า จะมาเอาชื่อฉันใส่ร่วมกับประกันสังคมของเขา..ลุงขอดู catre de séjour การ์ด เด เซจูร์ หรือ การ์ดอนุญาติให้พำนักนั่นเอง

เหมือนเก็งข้อสอบถูกหมด..สิ้นเสียงสามีที่อธิบายว่า ฉันเพิ่งขอการ์ด เด เซจูร์เป็นครั้งแรก เพราะฉะนั้นจะได้แค่สติกเกอร์มหัศจรรย์ที่เคยเล่าไปแล้วก่อนหน้านี้..มาติดคู่วีซ่าระยะยาวเท่านั้น การ์ดแข็งจะได้ก็ต่อเมื่อขอต่ออายุการพำนักครั้งต่อไป ที่จะต้องยื่นขอก่อนวีซ่าระยะยาวหมดอายุ 2 เดือน

ลุงแว่นหนาก็บอกมาหน้าตาเรียบเฉยว่า ก็ต้องรอมาติดต่อคราวหน้าที่ได้การ์ดแข็งมาแล้วเท่านั้น..ฉันยื่นเอกสารที่ืทาง OFII สำเนาให้มาให้สามีไป มันเป็นข้อชี้แจ้งสิทธิ์ของต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่ในฝรั่งเศส ..เขียนระบุว่า ชาวต่างด้าวที่สมรมกับประชากรชาวฝรั่งเศสแล้ว มีสิทธิ์ใช้ประกันสังคมร่วมกับคู่สมรสนับแต่วันที่มีการสมรสเกิดขึ้น..ซึ่งพ่อตัวดีก็พยายามมาติดต่อขอทำเรื่องแต่ก็ได้คำตอบเดิมอยู่ทุกครั้ง..ลุงนั่งอ่านอยู่แวบเดียว เปลี่ยนแนวเลยที่นี้ ..ลุงขอพาสปอร์ตของฉัน livre de famille สมุดครอบครัวที่ได้มาตอนจดทะเบียน vital card ของสามี และใบเกิดของฉัน..ซึ่งต้องแนบใบเปลี่ยนชื่อไปให้ด้วย...ฉันแอบลุ้นอยู่ในใจว่าลุงจะเล่นแง่เรื่องใบเกิดของฉันที่แปลมาแล้วเกิน 3 เดือนหรือไม่ เพราะที่ฝรั่งเศสใบเกิดมีอายุแค่ 3 เดือน หมดอายุก็ไปขอใหม่ที่อำเภอ  แต่ปรากฎว่าลุงยอมให้ผ่านแต่โดยดีหลังจากงงนิดหน่อยกับใบเปลี่ยนชือ..ระหว่างที่ลุงเอาเอกสารทั้งหมดไปทำสำเนา ฉันก็กรอกแบบฟอร์มทีลุงยืนมาให้ก่อนหน้านี้ไป ซึ่งก็ใส่ข้อมูลพื้นฐานต่างๆ ของฉันและสามี..เสร็จเรียยร้อย ลุงก็ยื่นแบบฟอร์มมาให้หนึ่งใบ บอกว่าเวลาฉันไม่สบายไปหาหมอก็เอาใบนี้ให้หมอจะได้ใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลฟรี

ก่อนกลับบ้านเราแวะไปธนาคารเพื่อติดต่อขอเปิดบัญชีในนามของฉันเอง..ที่ต้องติดต่อหลายหน่วยงานเพราะว่าไหนๆสามีลางานมาแล้ว ต้องทำทุกอย่างให้เสร็จเลยทีเดียว..แต่ปรากฎว่าเราทำได้เพียงจองคิวที่จะมาเปิดบัญชีเท่านั้น..ธนาคารที่นี่ต้องนัดหมายกันล่วงหน้า ส่วนมากลูกค้าติดต่อกันผ่านโทรศัพท์หรืออินเตอร์เนทเท่านั้น  ฉันรู้แต่ว่าคราวหน้าต้องเตรียมพาสปอร์ตและเงินเปิดบัญชีขั้นต่ำ 50ยูโร มาเท่านั้นแหละ อย่างอืนฟังเขาพูดกันไม่ทัน

ระหว่างทางเดินไปที่ลานจอดรถหน้าประกันสังคม เราเดินผ่าน Maison de quartier พ่อตัวดีฉุดให้ฉันรีบเดินตามมาด้านในหลังจากดูเวลาทำการของที่นี่ที่ใกล้จะปิดแล้วในวันนั้น ..เราไปติอต่อขอเรียนคอร์สภาษาฝรั่งเศสสำหรับผู้ใหญ่แบบฉัน  ที่นี่มีสำนักงาน 4  สาขา แต่ถ้าฉันจะเรียนที่นี่จะได้เรียน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 2 ชั่วโมง ซึ่งจะสอนโดยอาสาสมัครที่มาทำงานช่วยเหลือสังคม แต่ว่าฉันจะต้องเรียน 2 สาขาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไร

เรากลับถึงบ้านแล้ว..พ่อตัวดีลงทะเบียนให้ฉันกับ pôle emploi หน่วยงานของรัฐที่ช่วยเหลือเรื่องการหางานให้ประชาชน..พ่อตัวดีลงทะเบียนไปทางอินเตอร์เนท แล้วหันมาบอกฉันที่เอาแต่นั่งอ่านโบร์ชัวร์เรื่องการเรียนภาษาว่า ...เดี๋ยวพรุ่งนี้จะโทรหา pôle emploi อีกครั้งเพื่อเล่าเคสของฉันให้ทราบเพือที่จะขอความช่วยเหลือเรื่องเรียนภาษา  ฉันใจชื้นขึ้นมาหน่อยว่าพอจะมีหนทางแล้ว..อย่างน้อยก็ลงทะเบียนหางานไปด้วย รอเรียนภาษาไปด้วย เผื่อมีงานก็อกๆแก็กๆทำไปก็จะดี..แต่ก็ยังขอให้สามีร่างจดหมายขอเรียนไปกับ OFII อีกทางหนึ่งด้วย..แต่แน่นอนก่อนที่จะไปเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากใครๆ ฉันเองก็ควรจะช่วยผลักดันตัวเอง ด้วยการอ่านหนังสือที่หอบหิ้วมาจากไทยแต่มิค่อยได้รับการเหลียวแลสักเท่าไร เพราะคาดหวังจะรอเรียนกับครูตัวเป็นๆ  แต่เมื่อฟ้าผ่ากลางอากาศแบบนี้คงจะไม่ไหวแล้ว..ฝึกเท่านั้นที่เราต้องทำ..

Friday, January 14, 2011

OFII ที่รัก

เรากำลังมุุ่งหน้าไปที่ OFII Grenoble (Office Francais de l'immigration et de l'intégration) ตามที่มีหมายเรียกให้ไปรายงานตัวเพื่อให้รับสติ๊กเกอร์มหัศจรรย์ตามที่พ่อตัวดีแอบแซว
มันมหัศจรรย์มากเพราะเสมือนต่อยอดวีซ่าระยะยาวที่ได้รับมาตอนขอวีซ่าระยะยาวติดตามคู่สมรส ด้วยตัววีซ่าเองฉันสามารถแค่อาศัยในฝรั่งเศสรวมถึงดินแดนโพ้นทะเลอื่นๆในครอบครองของฝรั่งเศสเท่านั้น มิสามารถเดินทางเข้าออกสหภาพยุโรปได้เหมือนเคยเฉกเช่นวีซ่าเชงเก้นที่ได้รับตอนขอวีซ่าระยะสั้น..แต่ช้าก่อน ถ้าคุณมีสติ๊กเกอร์มหัศจรรย์นี่แล้วละก็ สถานภาพของคุณจะเปลี่ยนไป คุณจะเดินทางเข้า-ออกในสหภาพยุโรปได้ดั่งชาวฝรั่งเศสพึงกระทำ คุณจะสามารถได้ชั่วโมงเรียนภาษาฟรี และการอบรมอื่นๆเพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตที่นี่..จวบจนไปถึงการสามารถทำงาน ใช้สิทธิ์ประกันสังคมร่วมกับสามี มีสิทธิ์เปิดบัญชีธนาคาร หรืออะไรก็ตามที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตที่นี่...

นัดหมายเวลาดีที่แปดโมงครึ่ง ฉันและพ่อตัวดีที่ออกจากบ้านก่อนเจ็ดโมงแจ้นขึ้นทางด่วนเข้าสู่เมือง Grenoble ถือว่าคาดการณ์มาถูกว่าจะเจอรถติดและเสียเวลาเดินหาอาคารสำนักงานของ OFII เรามาถึงตอนแปดโมงสิบห้านาที แต่ยังหลบความหนาวนั่งรออยู่ในรถเพราะว่าประตูยังไม่เปิดให้เข้าไป..จนเกือบแปดโมงครึ่งคนอื่นๆที่มารายงานตัวเหมือนกันก็ทยอยมา..สามสาวเอเซีย (ไทย เวียดนาม เกาหลี)และ สาวสามกับหนึ่งหนุ่มจากยูเครน พ่วงมากับหนุ่มใหญ่จากมาดากัสก้า..เราทยอยไปยื่นพาสปอร์ตและจดหมายนัดให้แก่เจ้าหน้าที่แล้วพากันเข้าไปนั่งรอที่ห้องอบรม..มีคำชี้แจงการอบรมหลากหลายภาษาไว้ให้แก่ผู้ที่ไม่เข้าใจภาษาฝรั่งเศส..แต่ไม่มีภาษาไทย จ๋อยไปแต่ไม่เป็นไรพ่อตัวดีบอกว่าเด๊๋ยวอธิบายให้ฟังเอง..(สามีสามารถ)

ดูเหมือนจะมีล่ามมาแปลภาษาให้ด้วยวันนี้คือ ภาษายูเครนและภาษาอังกฤษ สาวจังกึมและพ่อหนุ่มมาดากัสก้าที่พ่นฝรั่งเศสไฟแลบไม่จำเป็นต้องใช้ ส่วนสาวสวยจากเวียดนามที่ไม่ได้ทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษก็มีสามีเป็นล่ามกิติมศักดิ์แล้ว..คุณป้าล่ามภาษาอังกฤษจึงบ่ายหน้ามานั่งข้างๆฉันแทน..เอาน่า มีคนช่วยแปลให้ฟังตั้งสองคนท่าจะดี ฉันคิดไว้แบบนั้น แต่ไหงคุณป้าล่ามไม่พูดอังกฤษกับฉันหล่ะคะ..เอาแต่อธิบายเป็นฝรั่งเศส ซึ่งก็พอจะเข้าใจบ้างเพราะรู้ข้อมูลมาก่อนส่วนหนึ่งและป้าแกพยายามพูดช้าๆ ให้ฉันจับใจความได้ทัน..แค่แอบงงว่า สรุปแล้วป้าเป็นล่ามภาษาอะไรค่ะ..อย่าบอกนะว่าอังกฤษ..ชิ

แอบอิจฉาชาติอื่นที่เค้าสามารถเอาใบขับขี่มาเปลี่ยนเป็นของฝรั่งเศสได้เลย..แปดชีวิตต่างด้าววันนั้นมีฉันจากแดนสยามคนเดียวเนี่ยแหละที่ไม่สามารถเอาใบขับขี่ไปเปลี่ยนได้..(โอวว ฉันทำผิดอะไร )

เริ่มขั้นตอนโดยเจ้าหน้าที่สามคนเข้ามาอธิบายคร่าวๆ ว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง ตรวจร่างกาย เอ็กซเรย์ปอด สัมภาษณ์ข้อมูลส่วนตัวเพื่อจัดการอบรมอื่นๆให้ภายหลัง แล้วจากนั้นก็จะได้สติกเกอร์มหัศจรรย์นั่นมาครอบครอง..ตามข้อมูลที่หาจากในอินเตอร์เนท บอกว่าจะมีการเปิดวีดีโอให้ดูเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานของสังคมฝรั่งเศส ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง..แต่ที่นี่ไม่มี มีแต่เจ้าหน้าที่มาอธิบายว่าเจ้าสติกเกอร์มีดีอะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง แล้วก่อนสองเดือนที่มันจะหมดอายุขัยของมันที่เท่ากับอายุวีซ่าระยะยาวที่ได้มา ต้องขอการ์ด เดอ เซจูร์ อีกที่จะได้ปีต่อปี จนครบ 3 ปี ถึงจะได้การ์ดระยะยาวอายุ 10 ปี จากนั้นก็เลือกเอาว่าจะยื่นขอสัญชาติหรือไม่ ที่ทำได้หลังแต่งงานครบ 4ปี และอาศัยในฝรั่งเศสมาอย่างน้อย 3ปี งานนี้พ่อตัวดีแอบเม้าท์สาวสวยจากยูเครนที่เป็นคนถามว่าเมื่อไรจะขอสัญชาติได้ พอเจ้าหน้าที่ตอบว่า4 ปีหลังแต่งงาน ถึงกับทำหน้าเหยว่า ตั้ง 4ปี นานมาก..สงสัยจะไม่ค่อยรักสามีเท่าไร..(พอกันทั้งคู่เลยเนอะ..เรื่องชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเนี่ย) จากนั้นก็จะแยกย้ายไปตามห้องต่างๆเพื่อเริ่มทำขั้นตอนทั้งหมดแบบที่ว่ามา

ฉันถูกเรียกให้เข้าห้องสัมภาษณ์เป็นห้องแรก พ่อตัวดีไม่ตามมาด้วย มีแต่ป้าล่ามที่ตามมาเท่านั้น เจ้าหน้าที่ให้ฉันเช็คข้อมูลส่วนตัวของฉันจากหน้าจอมอนิเตอร์ว่าถูกต้องหรือไม่ แล้วเริ่มขอดูเอกสาร ฉันสารภาพเลยว่าฉันฟังไม่ออกเลย พูดเร็วมาก แต่พอจะเดาเอาได้ว่าเขาจะขอเอกสารอะไร..ฉันยื่นเอกสารใบประกาศสองใบที่ได้จากสถานฑูตที่กทม.ให้ดู เจ้าหน้าที่ถามถึงเรื่องการศึกษา ฉันก็ส่งใบปริญญาที่แอบไปแปลมาก่อนบินมาที่นี้ให้ดู แล้วถามเรื่องประวัติการทำงาน..ฉันตอบเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆเพราะคิดประโยคเป็นฝรั่งเศสตอบไปไม่ได้ สุดท้ายเจ้าหน้าที่กับป้าล่ามให้ฉันเลือกว่าจะมาอบรม la vie en france หรือไม่ ที่เกี่ยวกับการบรรยายประวัติและข้อมูลต่างๆของฝรั่งเศส ใช้เวลา 1วันเต็ม และจากนั้นก็จะช่วยเหลือในเรื่องให้ข้อมูลการหางาน..แต่ไม่ได้ช่วยหาให้นะ..แต่เดิมได้รู้มาว่า การอบรมนี้บังคับให้ต่างด้าวทุกคนเข้าฟังเพราะมีผลต่อการขอการ์ดอยู่อาศัยในปีต่อมา เมื่อเจ้าหน้าที่บอกให้ฉันเลือก ฉันจึงตกลงที่จะเข้าร่วมอย่างว่าง่าย..

แต่พอฉันอ่านรายละเอียดของสัญญาที่เอามาให้เซนต์ ส่วนของการรับการทดสอบภาษาเพื่อให้ได้ชั่วโมงเรียนฟรีที่กำหนดไว้ไม่เกิน 400 ชั่วโมง ฉันไม่มีระบุ เมื่อไถ่ถามไปเจ้าหน้าที่และอีป้าล่ามก็บอกว่า ฉันได้ใบประกาศการทดสอบภาษามาแล้วจากเมืองไทย เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาเรียนที่นีอีก ฉันรีบอธิบายไปว่าทดสอบแบบที่ว่ามันพื้นฐานมาก ฉันได้ใบประกาศก็จริงแต่ตอนนี้ฉันยังไม่สามารถจะสนทนา หรืออ่านเขียนได้ดีพอ ฉันต้องการที่จะเรียนเพราะว่าฉันเพียงฟังเข้าใจแต่ไม่สามารถพูดโต้ตอบได้เลย..ฝรั่งสองคนก็สวนมาว่า นั่่นคือปัญหาของฉันที่ไม่กล้าพูดออกมาเองต่างหาก ฉันต้องแก้ปัญหานั้นโดยกระโดดข้ามความกลัวแล้วพูดออกมา..ฉันยังไม่ยอมที่จะไม่ได้เรียนฟรี ฉันยืนยันว่าฉันจำเป็นที่จะต้องได้คอร์สเรียนจริงๆ ทำอย่างไรฉันถึงจะได้ ..เจ้าหน้าที่เลยบอกว่า กลับไปเขียนจดหมายส่งมาขออีกที ถ้าได้รับการพิจารณาก็จะได้คอร์สเรียน..แม่เจ้า

เดินจ๋อยๆออกมาหาสามีเล่าให้ฟังคร่าวๆ แล้วฉันก็ถูกเรียกไปเอ็กซเรย์ปอด..มีห้องเป็นสัดส่วนให้เปลี้องผ้าส่วนบนออกแม้กระทั่งบราฟองน้ำหนาๆของฉัน..เดินกอดอกเปลือยๆ ตามเจ้าหน้าที่เข้ามาอีกห้องด้านในเพื่อทำการเอ็กซเรย์ สงสัยพุงนำหน้านม ทำให้แหม่มเจ้าหน้าที่หันมาถามว่า ท้องอยู่รึเปล่า..ป่าวหรอก ไออ้วนเฉยๆ..ชิ เรียบร้อยแล้วก็ส่งให้ฉันไปใส่เสื้อผ้าได้แล้วนั่งรอฟิล์ม
แล้วรอพบพยาบาลเพื่อชั่งน้ำหนัก ส่วนสูง วัดสายตา ซึ่งงงๆกับชีวิตมากเพราะป้าแกหน้าดุมาก แล้วไม่พูดอังกฤษสักคำ เสร็จแล้วมารอพบแพทย์ ดีหน่อยที่หมอพูดอังกฤษ ไม่งั้นคงสนุก..หมอเป็นผู้ชายสั่งให้ฉันถอดเสื้อแล้วนอนบนเตียง..ฉันใจหายนิดนึงก่อนจะถามว่าต้องหมดเลยเหรอ บราด้วยเหรอ หมอบอกว่าไมต้องเหลือแค่บราก็พอ..ลุงหมอก็กดๆดูตรงท้อง คลำต่อมแถวคอ แล้วก็เอาหูฟังมาฟังตามท้อง อก หลัง ไหล่ ซึ่งปกติหมอไทยฟังเฉพาะที่หัวใจ นีแกฟังหมดทุกทีเลย..จากนั้นก็วัดความดัน ถามเรื่องสูบบุหรี่มั้ย เรื่องวัคซีน เรื่องยาประจำตัว..แค่นั้นเอง..แล้วก็ดูฟิล์ม แล้วส่งใบรับรองสุขภาพให้เป็นอันเสร็จ

จนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายทำการติดสติ๊กเกอร์มหัศจรรย์ถัดจากหน้าวีซ่า ฉันยื่นรูปถ่าย พาสปอร์ต ใบเสร็จค่าน้ำค่าไฟที่มีชื่อฉันแสดงอยู่ด้วย พร้อมหลักฐานการจ่ายเงินค่าแสตมป์อากร 340 ยูโร เจ้าหน้าที่ก็ทำการติดสติกเกอร์พร้อมส่งคืนมาให้ฉันเป็นอันเสร็จพิธี เกือบเที่ยงพอดี..ด้วยความที่พ่อตัวดียังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใส่ชื่อของฉันลงในประกันสังคมร่วมกับพ่อตัวดีที่ประกันสังคมไม่ยอมทำให้จนกว่าฉันจะได้การ์ดอยู่อาศัยแบบการ์ดแข็งไม่ใช่สติกเกอร์แปะลงในพาสปอร์ตแบบนี้..เลยต้องขอข้อมูลเอาไปยันกับประกันสังคมจนถึงถามเรื่องการเรียนภาษาของฉันอีกรอบ..แหม่มเจ้าหน้าที่คนนี้ก็ยิ้มเจื่อนๆแบบเห็นใจและจดรายละเอียดไปพร้อมบอกว่าจะติดต่อกลับมาอีกครั้งผ่านทางสามีเพื่อช่วยเหลือในเคสของฉัน แต่ก็ควรจะส่งจดหมายมาทิ้งไว้เป็นหลักฐานด้วยว่าเรามีการร้องขอคอร์สเรียนนอกเหนือจากการตัดสินของเจ้าหน้าที่



พ่อตัวดีคงรู้ว่าฉันจ๋อยที่ไม่ได้เรียน.. เขาบีบมือฉันเบาๆ แล้วบอกว่าไม่เป็นไร เรายังมีอีกหลายทาง..ไม่ต้องกังวลไป ต้องดีใจนะ ต่อไปได้หางานทำแล้ว วันนี้ดีจะตาย วันครบรอบวันเกิดสามีแถมเป็นวันที่ฉันได้ใช้สิทธิ์แบบคู่สมรสของชาวฝรั่งเศสเต็มขั้นสักที..จะมาจ๋อยทำไม..ฉันพยายามทำตัวให้ร่าเริงแต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด..ยังคงคิดถึงเรื่องเรียนภาษาต่อไปแบบเงียบๆอยู่คนเดียว

Sunday, January 9, 2011

รั้วรอบขอบเตียง

คุณจะรู้มาก่อนมั้ยว่า ต่อไปข้างหน้าจะต้องมานอนร่วมเตียงกับพ่อหนุ่มพุงโตที่มีอกอุ่นๆไว้ให้ซุกยามหนาว..แต่เขามีออพชั่นแถมมาให้ด้วย..ฉันไม่เคยรู้มาก่อนหรอกว่า พ่อตัวดีจะพกโรงสีข้าวไว้ด้วยตอนนอน..แรกๆฉันยังจำใจยอมทนเพราะเห็นแก่ว่าเขาคงเหนื่อยมาจากการทำงานแถมต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง กลับมาบ้านก็ตอนฟ้ามืดแล้ว..เลยปล่อยให้นอนบรรเลงเพลงไปตามอัธยาศัย..ส่วนฉันอาศัยที่อุดหูที่ได้แจกมาจากบนเครื่องมาช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง..แต่หลังความเกรงใจมันผันผวนกับเสียงกรนที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ฉันเริ่มแอบหนีไปนอนห้องอื่นบ้าง แอบไปช้อนคอพ่อตัวดีให้นอนในท่าที่ดีขึ้นบ้าง..

จนในที่สุดความเกรงใจมลายสูญ ฉันใช้สองมืออันหยาบกร้านเขย่าตัวสามีให้ตื่น..แล้วบอกให้รู้ตัวว่า เออ ยูกรนนะ เปลี่ยนท่านอนซะจะได้ไม่กรน..ทำแบบนี้ทุกครั้งที่เขาแสดงอาการ ซึ่งหลังๆอาการกรนดีขึ้นแต่มีอาการอื่นตามมาคือ ผายลม..ของจริง เสียงจริง ไม่ต้องใช้แสตนด์อิน..ตดได้ในทุกที่ ห้องนั่งเล่นระหว่างนั่งดูทีวี ห้องกินข้าวหลังจากซัดของหวานไปเรียบร้อย ไปจนถึงห้องนอน ซึ่งอาจจะต้องเรียกว่า ละเมอตด..เพราะแกตดแบบไม่รู้ตัวจริงๆ..แรกๆฉันก็รับไม่ค่อยได้ แสดงอาการหงุดหงิดนิดหน่อย แต่ฉันก็เพลาอาการของขึ้นนั่นลง เพราะสังเกตว่าสามีต้องเอ่ยปากขอโทษทุกครั้งที่ตด..จนฉันชินชาและรับได้ในที่สุดแต่เขาเองก็ยังพร่ำขอโทษทุกครั้งที่ตดแบบรู้ตัวทุกครั้ง..

ฉันนั่งดูละครฉากสามีภรรยานอนร่วมเตียง ดูโรแมนซ์สวยงาม ตื่นขึ้นมาพระเอกนางเอกจุมพิตรับวันใหม่ด้วยความดูดดื่ม ไม่มีอาการเมาขี้ตา..ฉันเองเคยนึกภาพแบบนั้นของตัวเองบ้างตามแบบฉบับสาว(แก่)ช่างฝัน..แต่แล้วก็พบว่าในความเป็นจริงนั้น สารรูปของฉันเองซะอีกที่จะดูไม่ได้ตอนตื่นนอน ผมที่บรรจงหวีให้เรียงเส้นสลวยก่อนเข้านอน ตอนนี้มันยุ่งเหยิงเป็นรังนกย่อมๆ ตาก็เกรอะกรังไปด้วยขี้ตา แถมในบ้างคืนมีแถมคราบน้ำลายที่มุมปากอีก..แต่คุณสามีดันบอกว่า ดีออก เซ็กซี่แบบธรรมชาติดี..(ขอบพระคุณค่ะสามี..เมียเยินแค่ไหนก็ยังชมเนี่ย)..

ตามมาด้วยเรื่องเข้าพระเข้านาง..ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สารพัดสารคดีเนื้อหนังทั้งญี่ปุ่น ฝรั่ง เกาหลี หากมีใครหยิบยื่นหรือส่งต่อ ฉันก็มักจะรับมาดูแบบไม่มีรีรอ..จนมาถึงคราวที่ต้องลงสนามจริงๆ สารพัดสื่อการเรียนการสอนเหล่านั้น ไม่ช่วยอะไรเลย สอบตกนอนตัวแข็งทื่อหลับหูหลับตาจนมันผ่านไป อาการหนักจนสามีพยายามไม่เข้าใกล้เพราะคิดว่าภรรยาเป็นพวกเกลียดกลัวการมีสัมพันธ์ ฉันพยายามที่จะปรับตัวเองให้เปิดใจกับเรื่องแบบนี้มากขึ้น..ไม่น่าสนุกนักหรอกที่จะต้องให้สามีมานั่งเสียใจ น้ำตาไหลทุกครั้งเพราะเขาคิดว่า มันเหมือนเขาข่มขืนฉัน โดยที่ฉันได้แต่หลับหูหลับตาให้มันผ่านพ้นไป ฉันรู้สึกขวยเขินที่จะต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะถามว่ามันสำคัญถึงขนาดไหน จริงๆแล้วมันไม่เหมือนแค่เอาคนสองคนมามีสัมพันธ์กันแล้วให้มันจบไปเหมือนในบรรดาสารคดีแม่แบบที่ดูมา..มันคือการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ของใจโดยอาศัยร่างกาย เพราะถ้ามันเป็นแค่ความใคร่ เขาคงไม่ต้องมาสนในเฝ้าถามอีกฝ่ายหรอกว่ามีความสุขหรือไม่

ฉันเป็นภรรยาก็อยากให้สามีอยู่กับเราแล้วมีความสุข การปรับตัวมันค่อยเป็นค่อยไป เหมือนการเขยิบสองอาณาเขตให้มาอยู่ร่วมกันได้ โดยที่ไม่ได้เสียความเป็นตัวเองออกไป เพียงแต่เริ่มที่จะเรียนรู้และเข้าใจอีกฝ่ายให้มากขึ้น และรู้จักงัดกลยุทธ์ต่างๆมาใช้เพือลดอารมณ์ขุ่นๆ มัวๆของคนสองคนออกไป..ฉันเรียนรู้ที่จะเปิดเผยความรู้สึกตัวเองออกมาให้มากขึ้น..เดิมที่ชอบจะเก็บทุกอย่างไว้ในใจ พอนานเข้ามันก็กลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่ไมน่าดูเอาซะเลย ส่วนพ่อตัวดีเรียนรู้ที่จะใส่ใจและคิดถึงความรู้สึกของฉันมากขึ้น..จากเดิมที่ออกแนวอยู่คนเดียวมานานจนลืมตัวไปว่าตอนนี้มีห่วงอันโตเกาะอยู่แน่นหนา..เป็นภารกิจที่ต้องทำกันไปชั่วชีวิตบางคนอาจคิดว่า ผู้หญิงเสียเปรียบในหลายๆอย่าง..มันอาจจะจริงหรือไม่จริง ฉันไม่สนใจที่จะหาคำตอบให้เสียเวลาและอาจจะเสียกำลังใจตัวเอง..ฉันคิดว่าเมือแต่งงานมันคือการแบ่งปัน เรียนรู้ที่จะให้และรับแบบที่เราเต็มใจไม่อึดอัด

หลายคนไขว่หา เฝ้ารอคนที่ดีพอดี..แต่ฉันก็ได้ข้อคิดว่าจากเพื่อนรุ่นพี่น้ำใจงามคนหนึ่งว่า เลิกแสวงหาคนที่ดีพอ มามองหาคนที่พอดีจะดีกว่า ฉันไม่มั่นใจหรอกว่าฉันและพ่อตัวดีเราเป็นคนที่ดีพอของกันและกันรึเปล่า ตอนนี้ฉันรู้แต่ว่าเราเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันให้มีความสุขในชีวิตคู่แบบพอดีมากกว่า

Tuesday, January 4, 2011

เมื่อแม่ช้อยต้องรำ

สองมือหยาบๆที่ขี้แพ้สารพัดทั้งน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก รวมถึงวัตถุที่เป็นโลหะ ยันเหรียญ ทำให้ฉันไม่ค่อยมีอารมณ์จะเป็นแม่ช้อยที่พกเสน่ห์ปลายจวักมาเองสักเท่าไร..ออกจากบ้านเพื่อตะลีตะเหลือกไปทำงาน(ต้องตะลีตะเหลือกเพราะตื่นสาย..เข้างานไม่ทัน) กว่าจะกลับบ้านอีกทีก็ค่ำมืด..จึงเป็นข้ออ้างที่ดีมากสำหรับการไม่เข้าครัว แถมด้วยความที่แม่ของฉันเองนั่นฝืมือทำกับข้าวเข้าขั้นเทพมากๆ แล้วฉันจะเสียเวลามาเข้าครัวจับตะหลิวให้แม่กริ้วทำไม..แทบทุกครั้งถ้าฉันลงมือทำอะไรก็ตาม แม่จะดูขัดตาขัดใจกับท่วงท่าลีลาของฉันมาก..มันดูเก้งก้าง ลุกลี้ลุกลนปนน่าสมเพช..พี่ชายของฉันซะอีกที่ยังได้ฝีมือการทำอาหารไปจากแม่บ้าง

อยู่เมืองไทยของกินมีมากมายสารพัดเมนูให้เลือกสรร ตั้งแต่เดลิเวรี่ส่งฟรี(จริงหรือ) ถึงบ้าน ไปยันเสาะแสวงหาเอาได้ตามความต้องการของท่านๆ ไล่ไปตั้งแต่สารพัดอาหารตามสั่ง ข้าวหมูแดงรสเลิศ บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง ก๋วยเตี๊ยวลูกชิ้นปลาร้อนๆ ยันปลาหมึกปิ้งน้ำจิ้มแซ่บๆ ที่เอ่ยมายังไม่ถึงครึ่งของอาหารที่สามารถหาได้ที่ตลาดโต้รุ้งใกล้บ้าน..แถมมี 7-11 ที่บอกว่าหิวเมื่อไรให้แวะมา..ขยันเปิดมันตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด สอดคล้องวิถีคนไทยที่ไม่ยอมหลับยอมนอนได้ดี ..จำได้ลางๆว่า สมัยยังสาวหลังจากผับปิดตอนตีสอง ก๊งมาได้ที เพื่อนขอแวะกินข้ามต้มข้างทางแก้เมาก่อนกลับบ้าน..ต้มยำรสแซ่บ ไข่เจียวปูฟู ผัดผักบุ้งไฟแดง แถมด้วยยำปลาสิดไข่เค็ม..เอ่ยมาล้วนน่าทาน..แต่เมรีขี้เมาแบบฉันตอนนั้น ได้กลิ่นอาหารขึ้นมาแล้วต้องรีบขอถุงหิ้วจากเด็กเสริ์ฟเลย..ไม่ได้จะมาห่ออาหารกลับบ้านนะ..เอามาอาเจียน..ส่วนอีเพื่อนก็ตั้งหน้าตั้งตาซดน้ำต้มยำกันซี้ดซ้าดได้อารมณ์ ปล่อยให้ฉันฟุบหน้าลงข้างๆจานไข่เจียวปูต่อไปพร้อมมือที่ถือถุงอ้วกไว้แน่นหนา..(เมาแบบมีศักดิ์ศรี ไม่เดือดร้อน เลอะเทอะใคร)นี่คือความอุดมสมบูรณ์ของกรุงเทพ..หาของกินได้ตลอดเวลาจริงๆ

แต่พอฉันเปลี่ยนมาอยู่ที่นี่..แน่นอนว่า อาหารไทยมันไม่ได้มีมากมายเหมือนกรุงเทพฯ อันนี้ฉันทำใจมาก่อนแล้ว ครั้นมาเจอวัฒนธรรมการกินที่มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมืองไทย อาทิเช่น..การกินอาหารแยกประเภทเป็นอย่างๆ พ่อตัวดีเคยเสิร์ฟเพนเน่(พาสต้าหลอดตรงๆตัดปลายเฉียงทั้งสองด้านยาวประมาณ ห้าเซนติเมตร)ที่ต้มสุกแต่ไร้การปรุงรสใดๆ มาพร้อมแฮมสดที่ก็ไม่ผ่านความร้อนใดๆมาให้อีกเช่นกัน..แล้วเอามอสซาเลลาชีสมาให้โรยหน้าเส้นเพนเน่เท่านั้น..กล้ำกลืนฝืนกินเอาใจสามีอยู่สองครั้งโดยตัวช่วยเกลือ พริกไทย ซอสมะเขือเทศแล้วแอบเอาไปเวฟต่ออีกสองนาที..ในขณะที่คุณชายเคี้ยวแฮมอย่างอร่อยจดหมด แล้วค่อยหันมาจัดการกับเพนเน่ที่มีชีสเยิ้มคลุมอยู่อย่างสบายอารมณ์ แต่พอฉันบรรจงทำข้าวหมูแดงมาถวายตรงหน้า พ่อคุณเล่นจิ้มๆเอาหมูแดงที่ราดซอสชุ่มๆไปกินจนหมดตามด้วยหมูกรอบและไข่ต้ม แล้วค่อยหันมาละเลียดกินข้าวหอมมะลินิ่มๆตัวขาวๆ อวบๆ นั่นเพียงลำพัง..ฉันพยายามสอนการกินแบบคนไทยให้หลายครั้ง..สุดท้ายก็ยังกินแบบของเขาอยู่ดี..ตามใจหล่อน..ไม่อยากจะขัดศรัทธา

เมื่อสวรรค์ประทานให้ฉันเจอร้านเอเซียในเมืองที่อยู่แล้ว ฉันออกอาการดีใจมากเดินอยู่ในนั้น สนุกว่าไปเดินช้อปปิ้งดูเสื้อผ้าอีก ฉันหยิบแทบจะทุกอย่างที่รู้จักและเป็นของไทยลงรถเข็นตั้งแต่ ข้าวสาร น้ำปลา ซีอิ้วขาว น้ำพริกเผา กะปิ พริกขี้หนู มาม่า เส้นหมี่ วุ้นเส้น ฯลฯ โดยมีสามีตัวดีที่วันนั้นฉันชมเขาไม่ขาดปากว่า ดีจัง น่ารักที่สุด ทั้งที่ปกติไม่เคยเลยจะพูดหวานๆด้วย..เขาบอกว่า ซื้อไปเลยอยากได้อะไรก็หยิบไป เขาชอบดูตอนฉันเลือกของ มันเหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ หยิบไปยิ้มไปแถมบางทีมีกรี๊ดด้วย..(ป้าลืมตัว)

หลังจากเครื่องปรุงพร้อมแต่คนยังไม่พร้อม ด้วยความอยากเป็นตัวผลักดันหลังจากคลอดอาหารง่ายๆจำพวกข้าวไข่เจียวหมูสับ หมูกระเทียม ข้าวผัด ออกมาขายแทนอาหารของพ่อตัวดีแล้ว..ฉันก็เริ่มหาสูตรทำอาหารอื่นๆตามมา ไข่พะโล้ ข้าวหมูแดง หมูอบน้ำผึ้ง แกงส้ม ซุปไก่ หมูสะเต๊ะ แน่นอนบางอย่างมีผู้ช่วย..โลโบ้เท่านั้นอร่อย (ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ พูดตามความจริง หลังๆ ถึงจะมีพวก ไอเชฟ อะไรๆตามมาอีกหลายยี่ห้อก็ไม่เคยได้ค่าโฆษณาอะไร..จริงๆนะ) จากแรกๆที่ผัดหมี่เส้นยังกรุบๆแข็งๆ..หมูอบที่หนักน้ำตาลจนหวานเจี๊ยบ แต่หลังจากทำหลายๆครั้ง มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนแปลกใจตัวเองว่า เออ จะทำจริงๆ ก็ทำได้นะ ฉันทำเองอร่อยเองกันสองคน จนพ่อตัวดีอาจหาญไปเชิญเพื่อนมาทานข้าวที่บ้านนั่นแหละ ด้วยอารมณ์อยากโชว์ฝีมือศรีภรรยา

ฉันนำเสนอมื้อเย็นมื้อนั่นด้วย เปาะเปี๊ยแฮมชีส สเต็กหมูแดง(อันนี้โลโบ้ช่วยได้) ข้าวผัดธัญพืชที่แอบโรยหมูหยองไปเชิดชูรสชาติไว้ สลัดผัก ตบท้ายด้วยของหวาน Flan de coco คัสตาร์ดกะทิแต่จริงๆมันเหมือนขนมหม้อแกงมากกว่านะ.. ผ่านไปได้ด้วยดีหรือแขกเหรื่อที่มากล้ำกลืนทานกันก็ไม่รู้ได้ ทานกันจนหมดแต่คนทำอย่างฉันแอบลุ้นทุกคำของทุกคนเลยว่าจะกินได้มั้ย..เล่นเอาเครียดและเหนื่อยไปเลยทีเดียว จากนั้นฉันก็ได้ต้อนรับเพื่อนๆสามีอีกหลายครอบครัวที่ทยอยมาชื่นชมอาหารไทยแบบของฉัน..นั่นแหละฉันเริ่มต้องหาสูตรที่ง่ายทำไม่ยาก รสไม่จัดมานำเสนอมากขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อฉันคุยกับครอบครัวหรือเพื่อนๆที่เมืองไทย ทุกคนต่างตะลึงว่า ฉันทำไอ้พวกที่ว่ามาได้ด้วยเหรอ ไม่น่าเชื่อ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแหละว่า ความอยากมันชนะทุกสิ่ง มันผลักดันให้ฉันต้องขวนขวายสารพัดเมนูมาบรรเทาความโหยหาอาหารไทย และแถมด้วยความไม่ยอมแพ้เมื่อพ่อตัวดีบอกว่า เขาจะทำขนมไทยให้ฉันกินแต่ไปกางสูตรเวียดนามที่บอกว่านี่คือขนมไทย..ฉันเลยต้องหาวิธีทำข้าวเหนียวสังขยามาสู่สายตาชาวโลกแบบไม่เคยนึกฝันว่าชีวิตนี้จะมูนข้าวเหนี่ยวกินเอง..แม่ช้อยของฉันอาจจะรำคร่อมจังหวะไปบ้าง หรือลืมท่ารำอยู่บ่อยๆ..แต่มันก็ทำให้รู้ว่าไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ถ้าพยายาม..เนอะแม่ช้อยเนอะ

ปล.ขอขอบพระคุณสารพัดเวบไซด์ ครัวไกลบ้าน หรือ pantip ห้องก้นครั ฯลฯ ที่ท่านผู้ใจดีมีเมตตามารีวิววิธีการทำอาหารต่างๆเป็นวิทยาทานแก่สาวไทยไกลบ้านแบบฉันได้คัดลอกตามอัธยาศัย

Monday, January 3, 2011

OH yeh yeh>> Mr.Postman

หนึ่งอาทิตย์แล้วที่ฉับกลับมาแดนน้ำหอมอีกครั้ง คราวนี้ถือเป็นการมาตั้งรกรากระยะยาวเลยทีเดียว เพราะไม่ต้องบินกลับไปต่อวีซ่าที่เมืองไทยอีกแล้ว..แต่พอมาเจอหิมะที่มาเร็วกว่ากำหนด จากคนที่เคยกรี๊ดกร๊าดเป็นบ้าเป็นหลังตอนเห็นหิมะ..ถึงขนาดโยนตะหลิวทิ้ง วิ่งไปคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายรูปเกล็ดหิมะที่โปรยมาขาวโพลนไปหมด ก็ทำมาแล้ว..แต่ตอนนี้เจอของจริงที่เห็นแต่หิมะเต็มไปหมด..หนาวจนเสื้อแจ็กเก็ตที่ฝากเพื่อนซื้อมาจากฮ่องกงหวังว่าจะทนความหนาวได้บ้าง..สรุปว่าแพ้ยับ ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางข้ามวันข้ามคืนบวกกับความหนาวที่ร่างกายปรับไม่ทัน ทำให้ฉันนอนจับไข้เป็นอาทิตย์ตั้งแต่กลับมา บรรดาเพื่อนพ่อตัวดีที่ขยันกันเชิญไปทานข้าวเย็น ต่างก็เตรียมข้าวปลาอาหารเก้อ เพราะอาการฉันจะดีๆในช่วงเช้าๆ พอจะมีเรี่ยวแรง แต่พอตกเย็นเริ่มแล้วอาการออก หนาว ไข้ตัวร้อน มึนหัวมาก สุดท้ายแพ้น๊อค..อดไปกินข้าวฟรีทุกครั้งไป

พ่อตัวดีทนไม่ไหว จับฉันใส่เสื้อ(เก่าๆของเขา สมัยยังหนุ่ม)ประมาณห้าชั้น ถุงมืออย่างหนา ถุงเท้าขาวถึงเข่า ออกมาหาซื้อเครื่องกันหนาวให้ฉันอีก..ฉันได้บอดี้สูทคล้ายๆที่ใส่ดำน้ำพร้อมกางเกงเจ้านี่ใส่เป็นปราการแรก ถัดมาคือลองจอนอย่างหนาอันนี้ใส่หลังจากใส่เสื้อปกติ จากลองจอนต่อด้วยสเวตเตอร์ที่ไม่หนามากแต่อุ่นดีจัง..แล้วค่อยตามด้วยแจ็กเก็ตและผ้าพันคออีกชั้น ฉันใช้มารยาสาไถขอซื้อบูทมาใส่เริ่ดๆแบบสาวแฟชั่นบ้าง..คู่นี้พ่อตัวดีก็ว่าไม่เหมาะ สวย เฉี่ยวแต่จะเดินแล้วลื่นง่าย..บลาๆๆ ท้ายที่สุด ฉันได้บูทมาลุยหิมะ พื้นยางหนาๆ แน่นอนว่ามันไม่ลื่น แต่หาได้มีความสวย เก๋ แม้สักนิดไม่ ใส่แล้วเหมือนคนงานจะออกไปโกยหิมะ..ไม่ได้ดูสวยระหง ขายาวขึ้นมาบ้างเลย..กรี๊ดๆๆ เจ็บใจนังตัวดี..

หน้าหนาวที่กรุงเทพก็ยังแตะสามสิบสามองศาแต่มาอยู่นี่ติดลบห้า..เกือบสี่สิบองศาที่มันแตกต่างกัน..คิดแล้วก็สมควรจะไข้เนอะ แถมฉันเป็นมนุษย์ที่ชอบบริโภคน้ำแข็งมาก..มาอยู่นี่ฉันก็ยังแอบกินน้ำแข็งที่พ่อตัวดีสั่งห้ามไว้แล้ว..กินน้ำแข็งทีไรได้เรื่องทุกที..ฉันกินโค้กใส่น้ำแข็งเย็นเจี๊ยบชื่นใจได้สักพัก พอหนาวก็เดินไปหน้าฮีตเตอร์อังไอร้อน..เวียนไปแบบนี้..ตกบ่ายได้เวลาจับไข้ที่ไม่รู้จะด่าใครดีนอกจากตัวเอง

วันนี้ฉันเริ่มมีสติว่า เอ่อ จะมานั่งเป็นไข้ไม่สบายแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ หลังจากที่พ่อตัวดีเอาสารพัดอาหารและยาแก้ไข้มากองตรงหน้าพร้อมโทรศัพท์ บอกว่า กินซะถ้าอาการหนักมากให้โทรหาด้วย..อยากอยู่ดูแลแต่ว่าต้องไปทำงานนะ..ฉันที่ยังอาการไม่แย่มาก เพราะว่ายังไม่ได้แอบไปกินน้ำแข็ง พยักรับคำเหมือนเด็กว่าง่าย..ฉันเริ่มหาข้อมูลว่าควรจะติดต่อกับ OFII เพื่อทำการส่งแบบฟอร์มขอการ์ดเดอ เซ จู ,สำเนาหน้าพาสปอร์ตและหน้าที่มีตราประทับเข้าประเทศ ว่าควรทำอย่างไร..จนได้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ พ่อตัวดีตัดสินใจโทรไปถามรายละเอียดอีกครั้งก่อนที่เราจะเริ่มทำอะไรต่อไป..ได้ความว่า ยูสองคนไม่ต้องมาหาที่สำนักงานเลยนะ..แค่ส่งเอกสารที่ว่าทั้งหมดใส่ไปรษณีย์มาก็พอ..แหม..คนอยากเห็นหน้าก็ไม่ได้ ไม่ไปก็ได้..

เราเลยบ่ายหน้าไปที่ไปรษณีย์แทน..ฉันถือซองเอกสารที่จะส่งไว้ในมือ ก่อนส่งเอกสารไปทั้งหมด ฉันสแกนเก็บเอาไว้ก่อน..เกิดว่าไปรษณีย์ทำหล่นแล้วฉันจะไปเอาที่ไหนได้อีก..ของอย่างนี้ รอบคอบไว้ก่อนเป็นดีที่สุด

สามีตัวดีคงอยากจะฝึกฉันมาก รีบดันฉันไปที่หน้าเคาน์เตอร์แล้วบอกว่า งานนี้เขาไม่ช่วยนะ ให้ฉันลองพูดเอง..นังบ้า..แล้วหล่อนจะไม่ให้ฉันเตรียมตัวมาก่อนเลยรึไง..ฉันยิ้มแหยๆ กล่าว บงชู่ว์กับลุงใส่แว่นหน้าดุตรงหน้า..อารมณ์คงไม่ค่อยดีที่มาเจอกะเหรี่ยงแบบฉัน.. Je voudrais envoyer cette letter, sil vous plait. เฌอ วูเด องโวเย เซท เลทเทอร์ ซิล วู แปล่ ฉันจะส่งจดหมายนี้ค่ะ..(อันนี้พูดไปตามไวยากรณ์มั่วๆแบบของฉันนะคะ..ห้ามลอกเลียนแบบ) en Recommandée Avec Accusé de Réception aussi, sil vous plait. เสียงพ่อตัวดีที่อยู่ข้างหลังสำทับตามหลังมา คือ ส่งแบบลงทะเบียนด้วยนะครับ หึ สุดท้ายแล้วก็ช่วยจนได้..ลุงหน้าดุที่ตอนนี้มุมปากเริ่มอมยิ้ม ส่งแบบฟอร์มมาให้ฉันใบหนึ่ง แน่ละ ฉันต้องกรอกเอง..ฉันกรอกรายละเอียดที่อยู่ของ OFII ลงไป ที่มุมบนซ้าย ส่วนชื่อที่อยู่ของฉัน ที่กรอบสีเหลี่ยมใหญ่ๆ ด้านขวา..ถามว่าอ่านออกเหรอ..เปล่าหรอกค่ะ เดาเอาจากศัพท์บางคำ..ฉันส่งคืนให้ลุงซึ่งรับไปดูแล้วเหมือนช่วยตรวจดูว่าถูกรึเปล่า ลุงแปะๆ ปั๊มๆ เอาเข้าเครื่องชั่ง แล้วเอ่ยปากบอกค่าธรรมเนียม เกือบห้ายูโรสำหรับส่งเอกสารหกแผ่้น..แพงจังเลยค่ะคุณลุง..รับเงินทอนมาพร้อมสำเนาแบบฟอร์มที่ฉันเพิ่งกรอกไปเมื่อครู่

วันถัดมาฉันก็ได้รับใบแจ้งว่าจดหมายถึงผู้รับแล้ว..เร็วดีจัง แถมวันต่อมา OFII ก็มีจดหมายส่งมาหาว่าได้รับเอกสารที่ส่งมาแล้ว มีอะไรบ้าง..แล้วจะส่งจดหมายนัดมาอีก.. หายไปสองวัน คราวนี้ได้จดหมายนัดให้ไปรายงานตัว ตรวจร่างกาย สัมภาษณ์เพื่อวัดระดับภาษา ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า..เร็วดีจัง..แต่นัดล่วงหน้านานจัง คงเป็นเพราะเดือนนี้มันเดือนของคริสต์มาสละมัง กลางเดือนแบบนี้เลยไม่ใครสนใจจะทำงานแล้ว..เหอๆๆ ฉันแกะออกมาอ่าน เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็อยากจะดูด้วยความตื่นเต้น เปิดดิกหาศัพท์แปลไปเรือย แต่ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจจนต้องรอพ่อตัวดีมาอ่านให้ฟัง ..พ่อตัวดีเตรียมลางานไว้เลยล่วงหน้า จะได้ไม่ขัดใจเจ้านาย..อ่านรายละเอียดของเอกสารที่ต้องเตรียมไป..มีหลักฐานที่อยู่อาศัยเช่น พวกบิลค่าน้ำค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน..ที่ต้องมีชื่อฉันอยู่ในนั้นด้วย..ร้อนถึงสามีต้องโทรไปถามอีกว่า เอกสารที่ว่าคืออะไร..ติดต่อไปๆมาๆหลายที่ วันต่อมาฉันก็เห็นบิลค่าน้ำค่าไฟที่มืชื่อฉันร่วมอยู่กับพ่อตัวดีอยู่..ตอนนี้เหลือแค่ซื้อแสมป์อากร 340 ยูโร แล้วรอไปรายงานตัว ..แพงจริงๆ จ่ายโน่น นี่ นั่น หยุมหยิมไปหมดจนเริ่มสงสารสามีตัวเองจริงๆ

มีเวลาหนึ่งเดือนในการฝึกปรือทักษะภาษา..แต่คราวนี้ฉันไม่ได้นั่งท่องนั่งอ่านอะไรมาก เพราะว่าฉันอยากได้ชั่วโมงเรียนเยอะๆ เรียนฟรีที่นี่เยอะๆ อย่างน้อยฉันก็มืออะไรทำและได้เจอผู้คนและจะได้เจอเพื่อนๆแม่บ้่านผู้ร่วมชะตากรรมอีกหลายคนต่อไป..

Saturday, January 1, 2011

ฝ่าพายุหิมะ มาหานะเธอ

ฉันมายื่นแจกยิ้มสยามให้พนักงานเช็คอินสายการบินแอร์ฟรานซ์อยู่พักใหญ่..สายการบินนี้ขึ้นชื่อมากเรื่องคุมเข้มน้ำหนักกระเป๋าเกินนิดๆหน่อยๆ อย่าได้หวังมาขอเด็ดขาด..แล้วสัมภาระที่ฉันตัดใจขนเข้าขนออกอยู่หลายรอบ ตอนนี้มันยี่สิบสี่กิโล เกินมาหนึ่งกิโล..แล้วกระเป๋าที่จะหิ้วขึ้นเครื่องที่ให้สิบสองกิโล ตอนนี้มันพอดีเป๊ะมาก..เอาน่าขอเถอะ กว่าฉันจะได้กลับเมืองไทยคงปีหน้า โอกาสนี้ขอขนไปประทังชีวิตต่างแดนก่อนนะ..

ฉันยังนึกเคืองสามีอยู่นิดหน่อย ไม่รู้ด้วยความที่เขาซื่อหรือฉันพูดไม่เคลียร์ไม่รู้..หลังจากที่ได้วีซ่าแล้วสามีก็ถามว่าจะกลับมาเมื่อไรจะได้ส่งตั๋วมาให้..ฉันบอกไปว่าขออยู่กับแม่อีกหน่อยแล้วกันนะ ขอกลับเดือนหน้าแล้วกัน..สามีรับปากว่าได้เลยไม่มีปัญหา..แต่อีกอาทิตย์หลังจากนั้น ฉันได้รับตั๋วเครื่องบิน เดินทางวันแรกของเดือนถัดมาเลย..เยี่ยมจริงๆ คิดถึงเมียมากเหรอค่ะ..จากนั้นแผนการณ์ที่ว่าจะทยอยไปลาญาติๆ เพื่อนฝูง ใช้เวลากับครอบครัวก็ต้องกระชับวงล้อมมากขึ้น..จำได้ว่าก่อนเดินทางกลับฉันคิวทองมาก..นัดเลี้ยงส่งแทบจะทุกวัน..บางวันกลางวันเย็น วิ่งงานโน้น งานนี้เป็นที่สนุกสนาน..เพื่อนๆแปลกใจว่าทำไมกินน้อยจัง..กินสิ..ฉันไม่อยากจะบอกว่า ตอนนี้กินจนเอียนแล้ว..ขอมาอย่างเดียวส้มตำ อันนี้แม่ซัดไม่ยั้งเลย

ผ่านด่านเช็คอินมาได้ โดยไม่ลืมย้ำพนักงานว่ากระเป๋ารอรับปลายทางคือลียงนะคะ ไม่ใช่ปารีส..พนักงานแอบเหวอนิดหน่อย..แต่ก็เช็ครายละเอียดสักครู่แล้วหันมาบอกว่าเรียบร้อยแล้ว..ฉันเดินเข้าด้านในเพื่อผ่านการตรวจคนเข้า ออกประเทศ ไม่มีปัญหา..จนถึงตรวจกระเป๋าที่จะเอาขึ้นเครื่องรวมถึงตัวฉันเองด้วย..เหมือนทุกอย่างจะเรียบร้อยดี แต่ระหว่างที่ฉันหอบกระเป๋าและเตรียมใส่โน้ตบุ๊ครุ่นโบราณหนักอึ้งเข้ากระเป๋า..พนักงานก็เชิญมาขอตรวจกระเป๋าอีกรอบ..ฉันงงว่ากระเป๋าฉันมีอะไรเหรอ มันมีแค่โน้ตบุ๊ค หนังสือเรียน ดิกชันนารีกับข้าวของประทินโฉมที่จะใช้บนเครื่องบินเท่านั้นแหละ..จนเปิดซิปด้านในออก อ้าวเฮ้ย ถุงอะไร แป้งๆ ขาวๆ ฉันเอาอะไรมาอ่ะ..เจ้าหน้าที่ถามว่าผงอะไร..พอพลิกมาอีกด้านฉันถึงจะได้ว่า..อ๋อ ฉันซื้อแป้งท้าวยายม่อมมาด้วย..แล้วความที่กระเป๋าน้ำหนักจวนเจียนเต็มพิกัด ฉันเลยโยนเจ้านี่ลงกระเป๋าที่จะเอาขึ้นเครื่องด้วย..พอเจ้าหน้าที่เห็นก็หัวเราะเบาๆ..ถามว่าเอาไปทำกับข้าวเหรอครับ..ค่ะ จะเอาไปทำขนมถ้วย..ฉันตอบไปแบบอายๆปนขำๆ

จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ปารีสบินตรงแบบไม่มีแวะพักที่ไหน จะใช้เวลาประมาณสิบสามชั่วโมง..ฉันพยายามที่จะหลับทันทีเมื่อไฟในห้องโดยสารปิดลง เพราะรู้ดีว่าถ้าไม่พยายามหลับตอนนี้จะเปิดปัญหา Jetlag ตามมาแน่นอน..แต่ทำยังไงก็หลับไม่ลง ไหนจะเพราะคุณแหม่มสาวตัวใหญ่ที่นั่งเบียด ไหนจะเสียงหนูน้อยวัยอ้อแอ้ที่คงหูอื้อจากแรงกดอากาศ จนต้องแผดเสียงร้องไห้จ้าลั่นเครื่องบิน..ฉันเปลี่ยนมาดูหนังไปแทน จนคิดว่าล้าๆเคลิ้มๆ จะนอนแล้ว..คุณแอร์ฯเปิดไฟ แจกอาหารให้กินอีกแล้ว..กินก็กิน เดี๋ยวไม่คุ้ม..ทั้งที่ฉันไม่หิวหรอก แต่กินตามหน้าที่..ออกจากเมืองไทยเที่ยงคืน ฉันมาถึงปารีสสนามบินชาร์ล เดอ โกลด์ เวลาหกโมงครึ่งตอนเช้า..ต้องต่อเครื่องไปลียงเจ็ดโมงครึ่ง เดินทางหนึ่งชั่วโมงก็จะถึงลียง..อีกไม่นานก็จะได้นอนหลับพักสบายบนเตียงอุ่นๆแล้ว..ปลอบใจตัวเองไปแบบนั้น ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองโดยที่เจ้าหน้าที่รับพาสปอร์ตพร้อมตั๋วเครื่องบินต่อไปลียงไปดูแล้วคืนมาให้แบบไม่มีการประทับตราขาเข้าให้แบบทุกครั้งที่ผ่านมา..ฉันทึกทักเอาเองว่า สงสัยคงให้ไปประทับตราที่ลียงละมัง เพราะนี่เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ฉันต่อเครื่องจากปารีสไปลียง..ทุกทีพ่อตัวดีมารอรับตั้งแต่ปารีสไปลียงแล้วบึ่งรถกว่าห้าชั่วโมงไปลียงแบบทุลักทุเล..

ฉันเดินออกมาตามป้าย transit จนมาเจอผังแสดงเที่ยวบิน..มองหาเที่ยวบินของตัวเอง..มีครบเพียงแต่ว่า มันมีตัวหนังสือแดงๆ Annuler ..โอว ถ้าจำไม่ผิด คำนี้มันแปลว่ายกเลิกนี่หว่า..แถมประตูเกทที่ต้องไปเช็คอินก็ไม่มี..แน่แล้ว ฉันคิดว่าไฟลท์ยกเลิกแน่ๆ..เดินหน้ามึนๆ เซ็งๆ แถมง่วงไปติดต่อที่ประชาสัมพันธ์ซึ่งตอนนี้คนไปต่อคิวยาวเหมือนกัน..รอจนได้ตั๋วใบใหม่มาถือในมือ..จากเดิมบินเจ็ดโมงครึ่ง คราวนี้ฉันต้องรอจนบ่ายโมงครึ่งถึงจะได้ขึ้นเครื่อง ได้คูปองอาหารว่างและเครื่องดื่มมาปลอบใจหนึ่งใบที่เจ้าหน้าที่บอกว่าเอาไปใช้ที่ภัตตาคารไหนก็ได้..อืมม รับมาแบบงงๆ แต่ก็เอา จัดแจงหาโทรศัพท์โทรหาพ่อตัวดีจะได้ไม่ต้องไปรอเก้อที่สนามบิน..ปลายสายรับแล้วบอกว่ากำลังจะออกจากบ้านแล้ว..ฉันบอกว่าไม่ต้องรีบเพราะว่าไฟลท์เลื่อน..พ่อตัวดีถามว่าได้บินอีกทีกี่โมง ฉันบอกไป แล้วเสียงเตือนเวลาหมดก็ดังขึ้ึ้น..เจอกันที่สนามบินบ่ายสามคือคำสุดท้ายที่เราพูดกัน..

ฉันเดินหาเก้าอี้ว่างๆนั่งพัก..จะเล่นอินเตอร์เนทค่าเวลา..ก็นึกเสียดายเงินเพราะว่าชั่วโมงละสี่ยูโร จะซื้อแบบเต็มวันสิบยูโรก็งกอีก..เพราะใช้ไม่คุ้ม เลยคว้าสมุดเกมสุโดกุมาเล่นแทน..จนเกือบสิบเอ็ดโมง คิดว่าได้เวลากำจัดคูปองอาหารที่ว่า..ร้านอาหารดีๆที่มีที่นั่งตอนนี้ถูกจับจองให้พรืดจากบรรดาผู้โดยสารที่เจอโรคเลื่อนแบบฉัน..ฉันเลยเดินมาที่ซุ้มขายเบเกอรรี่และกาแฟชื่อว่า Paul ฉันสั่งขนมปังชอกโกแลตและกาแฟร้อนด้วยภาษาฝรั่งเศส..แล้วถามว่าฉันจะใช้คูปองนี้ได้มั้ย..คนขายบอกว่าไม่เปลี่ยนเป็นแซนวิชเหรอ..ในนี้ระบุให้เป็นแซนวิช..แต่พนักงานหญิงอีกคนบอกว่า เบเกอรี่ก็ใช้ได้..ฉันเลยรับสองอย่างที่ว่ามาแบบไม่ต้องเสียตังค์ แต่ที่แน่ๆพนักงานสองคนนั่นคงเสียขวัญกับภาษาฝรั่งเศสแบบของฉันอยู่ไม่น้อย

จัดการกับสองอย่างที่ว่า ทำธุระส่วนตัวต่อในห้องน้ำ สภาพหนังหน้าตอนนี้อย่าให้พูดเลย หน้าซีดๆ เหลือง ขอบตาคล้ำ ตาแดง..เหมือนคนเสพยามาก..เที่ยงครึ่งแล้ว ฉันคิดว่าไปรอในเกทดีกว่า เดินไปเช็คอินตรวจกระเป๋าที่จะเอาขึ้นเครื่อง..เหมือนจะดี แต่มาติดตรงแป้งท้าวยายม่อมอีกนั่นแหละ..เจ้าหน้าที่คงนึกว่าเฮโรอีน..แถมฝรั่งก็อ่านภาษาไทยไม่ออก..ฉันเลยต้องบอกไปว่า pour fait la cuisine. พัว เฟ ลา คุยซีน..สำหรับทำอาหาร..อา..เสียงเจ้าหน้าที่เบิกตาโพล่ง ตอบกลับมา แต่ก็ยอมให้ฉันผ่านมาโดยดี..

ที่เกทคนเยอะมากจนไม่มีที่นั่ง..ฉันหาได้แคร์ไม่ อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะได้ขึ้นเครื่องแล้ว ไม่ต้องนั่งก็ไม่ว่าอะไร..ฉันจับจ้องที่จอทีวีที่บอกไฟลท์บินและเกทว่าต่อไปเที่ยวบินนี้จะพาฉันกลับบ้าน..เกทข้างๆเป็นไฟลท์ที่จะเดินทางไปอัมสเตอร์ดัม ไฟลท์ออกก่อนของฉันครึ่งชั่วโมง..แต่ภาพตรงหน้าคือ ยังไม่มีเครื่องบินมาจอดเทียบท่า หิมะโปรยลงมาบางๆ สักพักเจ้าหน้าที่ประกาศไฟลท์เลื่อนไปเป็นหกโมงเย็น..ฉักนึกสงสารบรรดาผู้โดยสารไฟลท์นั้นอยู่ในใจ..แต่ไม่มากเพราะว่าอารมณ์นั้นฉันไม่คิดอะไรนอกจากอยากจะถึงบ้านให้เร็วที่สุด..แต่เหมือนเหตุการณ์โดมิโน แทบทุกเกททยอยเลื่อนไฟลท์ ฉันพยายามมองหาเกทที่จะไปลียงที่เปลี่ยนไปมาห้าครั้ง จนได้ความว่าจะได้บินอีกทีห้าโมงครึ่ง..แม่เจ้า..ผู้โดยสารหลายคนไปโวยที่เจ้าที่รับเช็คอินที่เกท..ก็ได้รับคูปองเครื่ิองดื่มมาเป็นการปลอบขวัญแทน..ฉันไม่อยากกินอะไรทั้งนั้นเลยมองหาที่นั่งแล้วเล่นสุโดกุต่อไปฆ่าเวลา..

ตอนนี้ห้าโมงสิบนาที ฉันยังนั่งอยู่อย่างเซ็งๆ และง่วงกับการเจอไฟลท์ดีเลย์เพราะหิมะตกแบบนี้ แต่จะมาหลับตอนนี้ไม่ได้ เดินทางคนเดียวต้องปลุกตัวเองให้ตื่นตลอด..ไม่งั้นมีรายการสัมภารหายจะไปเรียกร้องเอากับใคร..สักพักแหม่มฝรั่งพูดฝรั่งเศสอย่างรัวกับฉันที่ตอนนั้นสมองตายเพราะเหนื่อยล้ามากและไม่อยากจะรับฟังด้วย..ฉันยิ้มเจื่อนๆแบบให้รู้ว่าไม่รู้เรื่องเป็นการตอบ..จนเธอพยายามพูดอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่นว่า..give me the chair>>I have baby พร้อมเปิดเสื้อโค้ทตัวใหญ่ออก แล้วชี้ไปที่ท้องของเธอ..ฉันไม่ได้สนใจจะดูท้องเธอหรอก ว่าเธอจะหลอกฉันรึเปล่า แค่เธอบอกว่ามีเบบี้ฉันก็ทะลึ่งพรวดลุกให้แล้ว ไม่ต้องโชว์ท้องคุณแม่ยังสาวที่มองไม่ออกว่าท้องแบบนั้นให้ดูก็ได้.

ยืนรอต่อไปจนเห็นเครื่องบินมาเทียบท่าตอนห้าโมงครึ่ง ผู้คนแย่งกันขึ้นเครื่องแบบอดทนรอไม่ไหว..ฉันรอแบบรั้งท้าย..ยื่นตั๋วพร้อมพาสปอร์ตให้ไป แต่ติดตรงนามสกุลในตั๋วเป็นนามสกุลสามี แต่พาสปอร์ตยังเป็นของเดิม..ฉันเลยต้องเอาทะเบียนสมรสโชว์ให้ดู ก่อนที่พนักงานจะปล่อยให้ขึ้นเครื่อง..สามีทำงานบริการในสายการบิน ฉันเลยได้สิทธิ์พนักงานซื้อตั๋วในราคาถูก แน่นอนว่าต้องใช้นามสกุลสามี..เพราะฉะนั้นฉันยังต้องพกทะเบียบสมรสไปตลอดหากยังใช้พาสปอร์ตของไทย..ที่ฉันก็ไม่คิดจะไปเปลี่ยนหลักฐานทุกอย่างของฉันในเมืองไทยให้เป็นนามสกุลสามี..อยากเป็นนางสาวที่ไทยใครจะทำไม..ถึงจะเป็นมาดามแล้วที่นี่ก็ตาม

ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเท่านั้นฉันก็ถึงลียงตอนหนึ่งทุ่ม..ฟ้ามืดหิมะโปรย..บรรยากาศหนาวยะเยือก..เดินไปตามป้ายบอก สุดท้ายฉันมาโผล่ที่จุดรอรับกระเป๋าโดยไม่มีการตรวจคนเข้าเมืองอีกแต่อย่างใด ฉันเห็นสามีตัวดียืนยิ้มเผล่อยู่ตรงนั้นแล้ว..ใช้สิทธิ์พนักงานเข้ามาข้างในหน้าตาเฉย..ฉันดีใจที่เขามารอรับแต่เหนื่อยเกินกว่าที่จะโผกระโดดกอดแบบในหนังที่สามีตัวดีอย่างให้ฉันลองทำแบบนั้นบ้าง..แต่ฉันอ้วนเกินกว่าจะกระโดดได้..ไม่เอาดีกว่า..ฉันถามสามีว่าไม่มีตรวจคนเข้าเมืองเหรอ..ที่ปารีสไม่ประทับตราให้ ฉันนึกว่าจะให้ทำที่ลียง..แต่ที่นี่ดันไม่มีต้องซะอย่างงั้น..ทำไงอ่ะ..ต้องเอาหน้าพาสปอร์ตที่มีประทับตราการเข้าประเทศของฉันไปยื่นให้ OFII หรือสำนักงานคนต่างด้าวของที่นี่ด้วยนะ..สามีตัวดีเลยขอพาสปอร์ตของฉันไปถามตำรวจประจำสนามบิน..พักเดียวก็มาหาฉันที่ได้กระเป๋าเรียบร้อยเตรียมกลับบ้านได้..แล้วบอกว่า ต้องไปให้ตำรวจประทับตราให้โดยต้องไปติดต่อสำนักงานของตำรวจในสนามบิน..

คุณตำรวจแอบงงว่าทำไมที่ปารีสไม่ประทับตราให้ฉัน..ฉันก็ยื่นให้ดูหมดทั้งตั๋วเครื่องบิน boarding pass, passport ฉันบอกไปว่าเขาคงง่วง.. เพราะมันเช้ามาก..ตำรวจหันมาขยิบตาให้แบบขำๆก่อนจะประทับตราและเซนต์ชื่อให้อย่างไม่มีปัญหาอะไร..เดินออกมาข้างนอกที่บรรยากาศเหมือนหนังผีฝรั่ง หนาวๆ มืดๆ หมอกๆแบบฟ้าปิด พื้นมีหิมะที่แข็วตัวจนเป็นน้ำแข็ง ลื่นๆ เปียกๆ หนาว ง่วง เดินลำบาก..ทรมานจริงๆ ฉันบอกพ่อตัวดีว่า มื้อนี้ฉันไม่ทำกับข้าวแล้วนะ ไม่ไหวอยากนอน..พ่อตัวดีเลยแวะซื้อพิซซ่ากลับไปกินที่บ้าน..กล่องพิซซ่าอุ่นๆถูกวางตรงหน้าตัก..ช่วยได้มากเลย อุ่นๆ หอมๆ แต่ตอนนี้ไม่อยากกินอยากนอนอย่างเดียว..

สองเท้าเหยียบหน้าประตูบ้านตอนสองทุ่ม ถ้านับจากเวลาที่ฉันออกจากบ้านที่เมืองไทยตอนสองทุ่มไปสนามบินสุวรรณภูมิ ตอนนี้ก็ยี่สิบแปดชั่วโมงที่ฉันไม่ได้หลับไม่นอน..พ่อตัวดีจัดแจงเตรียมข้าวของสำหรับมื้อค่ำและเปิดฮีทเตอร์ห้องนอนเพราะดูสภาพแล้วเมียคงไม่ไหวเป็นแน่..ฉับรับพิซซ่ามาถือในมือแล้วกัดไปสองคำ นั่นคือสิ่งที่ฉันจำได้..จนเช้ามาพ่อตัวดีบอกว่า เมื่อคืนสภาพฉันย่ำแย่มาก หลับคาโซฟา พิซซ่าก็ถือติดมือไม่ยอมปล่อยด้วย..กว่าจะแกะพิซซ่าออกแล้วลากเข้าห้องนอนได้..เหนื่อยเลย..อุเหม่ จริงเหรอเนี่ย..แล้วพิซซ่าฉันตอนนี้อยู่ไหน..เอามาเลย..ฉันจะกิน ฉันหิว..โอวว คุณพระ